EA ติดอันดับหุ้นยั่งยืนต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน

บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำปี 2564 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สะท้อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG)

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงานและยานยนต์ไฟฟ้า เปิดเผยว่า กลุ่ม EA มุ่งดำเนินธุรกิจที่เป็น Green Product ไม่ก่อมลพิษ โดยพัฒนาพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ (Commercial EV) ทั้งรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า และเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการกำหนดนโยบายและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้ ผู้ถือหุ้น ผู้ร่วมค้า และพนักงานอย่างเป็นธรรม

“บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับคัดเลือกเป็นหุ้นยั่งยืน THSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยบริษัทพร้อมสานต่อนโยบายและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้แนวทางการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่ยั่งยืน ซึ่งถือเป็นเป้าของบริษัทที่จะร่วมผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของไทย และตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม” นายอมร กล่าวทิ้งท้าย

อ่านเกมธุรกิจ อานตี้ แอนส์ เจาะตลาด Plant-based

อานตี้ แอนส์ ผู้นำตลาดซอฟท์เพรทเซลในประเทศไทย บริหารงานโดย บจก. เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป (ซีอาร์จี) จับมือ MEAT ZERO เปิดตัวสินค้าใหม่ “Meat Zero Pizza Pretzel” ครั้งแรก! ของอานตี้ แอนส์ กับเมนูจากพืช (Plant-Based) ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับสุขภาพ และเป็นเมนูที่ดีต่อใจผู้ที่ต้องการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ และกลุ่มมังสวิรัติยืดหยุ่น (Flexitarian)

นายสุชีพ ธรรมาชีพเจริญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่ม Bakery&Beverage Cuisine เปิดเผยว่า ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งกระแสการตอบรับเนื้อจากพืชกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทย โดยจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2563 การบริโภคเนื้อจากพืชในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืชมีการพัฒนาให้มีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเปิดใจมากขึ้น จึงเป็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภค ซึ่งการร่วมมือกันระหว่าง อานตี้ แอนส์ และ MEAT ZERO เป็นการนำเอาจุดแข็งของทั้ง 2 แบรนด์ คือ ความเป็นผู้นำตลาดซอฟท์เพรทเซลในประเทศไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร กับเพรทเซลสีน้ำตาลทอง กรอบนอกนุ่มในและความอร่อยที่สาวกเพรทเซลคุ้นเคย มาร่วมพัฒนากับ MEAT ZERO ผู้นำด้านนวัตกรรมอาหารที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมของซีพีเอฟ เป็นแบรนด์แพลนต์เบสของไทยที่มีความโดดเด่น ให้รสชาติที่อร่อย รวมถึงกลิ่นและเนื้อสัมผัสที่เหมือนเนื้อไก่จริง ๆ

สำหรับแผนการตลาด เน้นทำการตลาดออนไลน์ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มแฟนของอานตี้ แอนส์ และกลุ่มมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น (Flexitarian)หรือกลุ่มผู้บริโภคที่รับประทานอาหารมังสวิรัสติแบบยืดหยุ่นเป็นครั้งคราวที่ขณะนี้มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
ส่วนการสื่อสารกับลูกค้าเน้นสื่อสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย, อินฟลูเอนเซอร์ ,
KOLs และบล็อกเกอร์ ทั้งสายสุขภาพ และ สายไลฟ์สไตล์ ครอบคลุมทุกแฟลตฟอร์ม ทั้ง Facebook, IG, TikTok, Twitter เป็นต้น

โดยตั้งเป้าว่าแคมเปญนี้จะสามารถสร้างยอดขายเติบโตได้กว่า 20% Meat Zero Pizza Pretzel แป้งเพรทเซลสูตรเฉพาะจากอานตี้ แอนส์ ท๊อปด้วย Spicy Shredded Chicken (Plant-Based) และ Mozzarella Cheese แบบจัดเต็ม เอาใจสาวกเพรทเซล ราคากล่องละ 79 บาท (Delivery ราคา 89 บาท) หรือซื้อเป็นเซ็ตสุดคุ้ม Set A : Meat Zero Pizza Pretzel + Lemonade 16 oz. ราคา 116 บาท (ปกติราคา 124 บาท) Set B : Meat Zero Pizza Pretzel + Almond Stix + Lemonade 22 oz. ราคา 169 บาท (ปกติราคา 183 บาท)
**เมื่อซื้อ Meat Zero ชุดใดก็ได้ สามารถแลกซื้อ Almond Pretzel ได้ในราคา 29 บาท

“พิมรี่พาย” รัวกระดิ่ง! ชวนเพื่อนรักสั่งคนละครึ่งบน LINE MAN

กริ๊งๆๆๆ! เสียงสั่นกระดิ่งรัวต้องมาหนึ่ง! รับแม่ “พิมรี่พาย” แม่ค้าสุดเซ็กซี่ที่เพิ่งมีข่าวมงลงร้อนๆ รับบทพรีเซ็นเตอร์ครั้งแรกในชีวิต งานนี้ไม่ใช่แค่ขายทุกอย่าง แต่ขอมาช่วยเชียร์ขายอาหารร้านคนละครึ่งบน LINE MAN ให้มียอดปังเป็นพลุแตก ประเดิมภารกิจแรกกรุยชุดเขียวสดถ่ายภาพโปรโมทแคมเปญ “คุ้มคนละชั้น สั่งคนละครึ่ง” จาก LINE MAN ที่เจ้าตัวเป็นพรีเซ็นเตอร์ ปังตรงไหนเอาปากกามาวงขอวงทั้งหน้ากระดาษเลยจ้า คนละครึ่งเฟสนี้จะคุ้มกว่าเดิม เพราะ “พิมรี่พาย” การันเตอทูการันตี LINE MAN คุ้มคนละชั้น สั่งคนละครึ่ง ให้เต็มอิ่มกับเมนูโปรดจากร้านคนละครึ่งมากที่สุดครอบคลุมทั่วไทยกว่า 40,000 ร้านมีทุกอย่างที่อยากกิน พ่วงความคุ้มแบบเหนือชั้นถึง 4 ต่อ สั่งอาหารจ่ายครึ่งเดียว ลดเพิ่มสูงสุด 60% ส่งฟรี 5 กม. แถมสั่งบ่อยได้ส่วนลดเพิ่มสูงสุด 100 บาท สั่งง่าย จ่ายสบายกว่าเดิม อาหารถึงมือไวเพราะ LINE MAN ไม่แวะ สั่งคนละครึ่ง ต้องสั่งผ่าน LINE MAN เท่านั้น เชื่อพิมสั่งเลยที่ https://lineman.onelink.me/1N3T/f17d6247 แอบกระซิบหลังจากนี้สาวพิมรี่พายเตรียมผลงานแซ่บๆ กับ LINE MAN อีกชุดใหญ่ต้องรอติดตามนะเธอ

 

SWC ทุ่มงบ 100 ล้าน รีแบรนด์ดิ้ง ‘เชนไดร้ท์’ ครั้งใหญ่รอบ 5 ปี

‘บมจ.เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น’ หรือ SWC ประกาศรีแบรนด์ดิ้ง ‘เชนไดร้ท์’ ยกระดับผลิตภัณฑ์ทุกมิติ ปรับภาพลักษณ์ใหม่ ตอกย้ำผู้เชี่ยวชาญเรื่องการกำจัดปลวกและแมลงรบกวน เปิดตัวดีไซน์บรรจุภัณฑ์และปรับสูตรใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘เชนไดร้ท์ น็อกไว ยุง มด แมลงสาป ตายครบจบทุกแมลง’ เดินหน้าเสริม Route to Market ให้แข็งแกร่ง เพิ่มดิสทริบิวเตอร์กระจายสินค้าเข้าถึงช่องทางจำหน่ายทั่วประเทศ สร้าง Partnership กับร้านค้าที่มีศักยภาพเพิ่มการเติบโตทุกช่องทาง พร้อมส่งกลยุทธ์ Brand identity ตอบโจทย์การใช้งานแต่ละประเภท ชูการตลาด 360 องศา ดึง ‘หมาก-ปริญ สุภารัตน์’ ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ หวังสิ้นปีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่ม 35% ในปีนี้ พร้อมประกาศแผนบุกเวียดนามและเมียนมาร์ ดันรายได้ CLMV แตะ 10% ของรายได้รวมต่างประเทศ คาดยอดขายสินค้ากลุ่มกำจัดแมลงทุกช่องทางแตะ 1,350 ล้านบาท

นายธนากร วัฒนวิจารณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชอร์วู้ด  คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SWC ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยแผนรุกกลุ่มผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงรบกวนแบรนด์ ‘เชนไดร้ท์’ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ และเป็นพอร์ตรายได้หลักของกลุ่ม SWC โดยทุ่มงบ 100 ล้านบาท รีแบรนด์ดิ้งครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปีเพื่อปรับภาพลักษณ์แบรนด์สินค้าให้ดูทันสมัยและตอกย้ำผู้เชี่ยวชาญเรื่องการกำจัดปลวก ยุง แมลงสาป มด และมอด ที่ยกระดับผลิตภัณฑ์ทุกมิติทั้งดีไซน์บรรจุภัณฑ์และปรับสูตรใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘เชนไดร้ท์ น็อกไว ยุง มด แมลงสาป ตายครบจบทุกแมลง’

“แบรนด์ เชนไดร้ท์ เป็นผู้นำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านการป้องกันและกำจัดปลวก-แมลงในเมืองไทยมานานกว่า 20 ปี และเป็นแบรนด์ที่ทำรายได้หลักคิดเป็นสัดส่วน 70% ของรายได้รวม เป็นผู้นำตลาดกลุ่มสเปรย์กำจัดปลวกที่มีส่วนแบ่งตลาด 90% (ข้อมูลจากนีลเส็น เดือน ม.ค.-ก.ค.2564) เชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์สเปรย์กำจัดแมลงสาบ และยุงให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นายธนากร กล่าว  

นายธนากร เผยแผนการตลาดแบรนด์ ‘เชนไดร้ท์’ มุ่งสร้างการเติบโตของกลุ่มสินค้าสเปรย์กำจัดแมลง โดยการปรับดีไซน์บรรจุภัณฑ์ให้เข้าใจง่ายต่อการเลือกใช้ มีการใช้คัลเลอร์โค้ดเข้ามาบ่งชี้ ประเภทของผลิตภัณฑ์ ภายใต้สัญลักษณ์สีส้ม เขียว เหลือง ตอบโจทย์ทุกปัญหาแมลงเพื่อสื่อสารคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันและสร้างการจดจำให้แก่ผู้บริโภค โดยผลิตภัณฑ์ที่สามารถกำจัดแมลงสาป ยุง มด ใช้สัญลักษณ์สีเขียว ส่วนผลิตภัณฑ์กำจัดยุง ใช้สัญลักษณ์สีเหลือง และผลิตภัณฑ์กำจัดปลวก มอด มด และแมลงคลานใช้ลัญลักษณ์สีส้ม เป็นสูตรที่ขายดีที่สุดจาก ‘เชนไดร้ท์’ การแบ่งกลุ่มตามประเภทแมลงที่กำจัดได้โดยมีสีของกระป๋องมาบ่งชื้ จะช่วยสร้างการจดจำแบรนด์ และผลิตภัณฑ์ได้ดี และช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น

‘เชนไดร้ท์’ ดำเนินการสื่อสารการตลาดครบ 360 องศา เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านทางโทรทัศน์ สื่อโฆษณากลางแจ้งและสื่อออนไลน์ พร้อมดึง ‘หมาก-ปริญ สุภารัตน์’ เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรก เนื่องจากมีภาพลักษณ์และไลฟ์สไตล์แบบคนรุ่นใหม่ที่ฉลาดเลือก ได้ปล่อยโฆษณาชุดแรก สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มกำจัดแมลงสาป ยุง มด ภายใต้คอนเซ็ปต์ สมาร์ท ไฟต์เตอร์ น็อกไว ยุง มด แมลงสาป ตายครบจบทุกแมลง และจะมีการปล่อยโฆษณา สำหรับผลิตภัณฑ์กำจัดยุง และกำจัดปลวก ตามลำดับ คาดหวังส่วนแบ่งการตลาด 35% ซึ่งจะทำให้ยอดขายรวมทุกช่องทางแตะ 1,000 ล้านบาทในปีนี้

นายอนุศาสตร์ สระทองเวียน ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพาณิชย์ SWC กล่าวว่า SWC เสริมความแข็งแกร่งระบบจัดจำหน่ายสินค้าหรือ Route to Marketโดยเพิ่มผู้แทนจำหน่าย (Distributor) จาก 6 ราย เป็น 14 ราย เพื่อกระจายสินค้าเข้าถึงผู้บริโภคให้ครอบคลุมทั่วประเทศได้ดีขึ้น พร้อมเดินหน้าสร้าง Partnership กับคู่ค้าทางธุรกิจ ในการร่วมมือกันทำการตลาดและการขายในลักษณะพันธมิตร เติบโตร่วมกันไม่ว่าจะเป็นร้านค้าใหญ่ใน Traditional Trade หรือกลุ่มร้านค้า Modern Trade เพื่อสร้างอิมแพคไปสู่ผู้บริโภคได้อย่างเข้าถึงและถูกต้องตามกลยุทธ์รายช่องทาง ซึ่งจะผลักดันให้สินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคมากขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพาณิชย์ กล่าวว่า  บริษัทฯ เดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศในเชิงรุกให้ครอบคลุมกลุ่มประเทศ CLMV หลังได้เข้าไปทำตลาดที่ สปป.ลาวและกัมพูชาแล้ว ล่าสุดได้นำ ‘เชนไดร้ท์’ ทำตลาดเวียดนามและเมียนมาร์ ผ่านเทรดเดอร์และตัวแทนจัดจำหน่ายในช่วงไตรมาส 4 ภายใต้การดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดรับกับตลาดท้องถิ่น  (Local Market) โดยมุ่งพัฒนาและกระจายสินค้าผ่านช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ พร้อมสื่อสารการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสร้างการรับรู้แบรนด์ วางเป้าหมายการขายกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเป็น 10% ของรายได้รวมต่างประเทศ จากรายได้ครึ่งปีแรกที่มีสัดส่วน 5% ของรายได้รวมต่างประเทศทั้งหมด

ส่วนภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทย (Fast Moving  Consumer Goods) ในช่วงที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบ Covid-19 ส่งผล พฤติกรรมผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดยตลาดสเปรย์กำจัดแมลงได้รับผลกระทบ -3.4% อย่างไรก็ตาม แบรนด์ ‘เชนไดร้ท์’ ยังทำยอดขายเติบโต +6% และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มจาก 23% เป็น 26% (ข้อมูลนีลเส็นเดือน ม.ค.-ก.ค. 2564) โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าสิ้นปีจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 35%

แกะรอย.. หนังโฆษณา Coffee Series

เจ้าของสินค้า : บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน)

ชื่อสินค้า : ไดมอนด์ คาเฟ่ ร้านกาแฟสำเร็จรูปตราเพชร

ชื่อเรื่อง : Coffee Series

รูปแบบ : ภาพยนตร์ความยาว 75 วินาที 

ช่องทางสื่อสาร : 

1. สื่อออนไลน์ ได้แก่ Youtube, Facebook และ Instagram : DIAMONDBrandOfficial

2. สื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร 

3. สื่อ ณ จุดขาย ภายในร้านค้าตัวแทนจำหน่าย

ผู้สร้างสรรค์และผลิตโฆษณา : บริษัท วิว ไวด์ จำกัด          

บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด ยิปซัม อิฐ คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูป และบริการหลังการขายภายใต้เครื่องหมายการค้า ตราเพชร เป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างกลุ่มไฟเบอร์ซีเมนต์และมีประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 35 ปี ต้องการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ไดมอนด์ คาเฟ่ ร้านกาแฟสำเร็จรูปตราเพชร แก่กลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยชูจุดแข็งด้านการออกแบบร้านกาแฟที่ตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานครบถ้วน มีหลายขนาดและโทนสีให้เลือก พร้อมติดตั้งด้วยทีมงานมืออาชีพ และสามารถควบคุมงบประมาณได้ตามที่กำหนด 

แนวคิดโฆษณา : ภาพยนตร์โฆษณา Coffee Series นำเสนอทางเลือกสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจร้านกาแฟ ซึ่งมุ่งตอบโจทย์การช่วยแก้ปัญหาด้านการสร้างร้านกาแฟด้วย ไดมอนด์ คาเฟ่ ร้านกาแฟสำเร็จรูปตราเพชร ที่ตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานร้านกาแฟอย่างครบถ้วน มีหลายขนาดและรูปแบบให้เลือกสรรตามต้องการ ก่อสร้างด้วยวัสดุคุณภาพสูง ส่งมอบความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยการรับประกันคุณภาพหลังการขาย อีกทั้งนำเสนอการตอบโจทย์ด้านการกำหนดงบประมาณการก่อสร้าง ที่ลูกค้าจะทราบล่วงหน้าและสามารถควบคุมได้ หมดความกังวลจากงบประมาณก่อสร้างบานปลาย

เนื้อเรื่องย่อ : เปิดเรื่องด้วย พรีเซนเตอร์หนุ่มคนรุ่นใหม่ทักทายกับผู้ชมว่า “ถ้าคุณฝันอยากเป็นเจ้าของร้านกาแฟ อยากมีร้านสวยๆ ฟังก์ชั่นครบ แต่มีงบจำกัดและไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี ให้ตราเพชรดูแลคุณสิครับ”  จากนั้น จึงนำเสนอคุณสมบัติของไดมอนด์ คาเฟ่ ร้านกาแฟสำเร็จรูปจากตราเพชร ได้แก่ การออกแบบและติดตั้งด้วยวัสดุคุณภาพตราเพชร ภายใต้งบประมาณที่ลูกค้าสามารถเลือกสรรได้ โดยมี 5 ขนาดให้เลือกตามต้องการ คือ 12, 16, 20, 40 และ 63 ตารางเมตร ซึ่งแต่ละขนาดมีให้เลือก 2 โทนสี ที่เป็นเอกลักษณ์ให้เลือกและมีชื่อสอดคล้องกับเมนูกาแฟ ได้แก่ เอสเปรสโซ่ โทนสีน้ำตาลเข้ม สะท้อนถึงความเท่ ทันสมัย สไตล์โมเดิร์น ลาเต้ โทนสีอ่อน ในบรรยากาศอบอุ่น เรียบง่าย สไตล์มินิมอล พร้อมการออกแบบภายใน ที่ตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานร้านกาแฟโดยเฉพาะ ทั้งเคาน์เตอร์ให้บริการและสำหรับวางสินค้า พื้นที่ทำงานครัว พื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบและอุปกรณ์ พื้นที่สำหรับลูกค้าภายในร้าน ซึ่งใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพจากตราเพชร ติดตั้งด้วยทีมงานมืออาชีพ และมั่นใจด้วยการรับประกันหลังการขาย ก่อนจะจบด้วยพรีเซนเตอร์หนุ่มในชุดบาริสต้า ยืนอยู่หน้าร้านกาแฟ พร้อมเสียงปิดท้าย “มาเริ่มต้นเปิดร้านกาแฟ กับตราเพชร สิครับ คุณภาพเคียงคู่ร้านคุณ สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง”

UBE ตอกย้ำความมั่นใจเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง

บมจ. อุบล ไบโอ เอทานอล หรือ UBE ผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังแบบครบวงจร ตอกย้ำความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน พร้อมรุกขยายธุรกิจต่อเนื่อง ผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-30% รุกสู่การเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจอาหารระดับโลก (Food Tech) พร้อมมองหาโอกาสลงทุนใหม่ทั้ง JV หรือ M&A เพื่อเสริมศักยภาพเติบโตอย่างยั่งยืน  

นายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทฯ จะเร่งเดินหน้าตามแผนงาน เพื่อเป้าหมายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจอาหารระดับโลก (Food Tech) จากเดิมที่บริษัทฯ เริ่มต้นจากการดำเนินธุรกิจเอทานอลและแป้งมันสำปะหลัง โดยปัจจุบัน UBE ได้ปรับกลยุทธ์ด้านพอร์ตสินค้า เน้นสินค้าที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทั้งการผลิตเอทานอลที่เป็นเกรดอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถนำมาใช้ในสเปรย์และเจลเแอลกอฮอล์ ภายใต้แบรนด์ UBON BIO และ Klar ซึ่งมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ 70% นำมาใช้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกัน จะขยายพอร์ตสินค้าแป้งมันออร์แกนิค แป้งฟลาวมันสำปะหลังที่เป็นสินค้าเติบโตสูง ซึ่งเป็น High Value Product ภายใต้แบรนด์ “Tasuko” และ “Savvy” สามารถใช้ทดแทนแป้งสาลีในอุตสาหกรรมขนมและเบเกอรี่ โดยวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อทดแทนการใช้แป้งสาลีในทุกมิติ เช่น ขนมปัง เบเกอรี่ เส้นพาสต้า เส้นราเมน ขนมขบเคี้ยว พิซซ่า แป้งชุบทอด เป็นต้น รวมถึงแป้งทางเลือกเพื่อสุขภาพใหม่ที่ไม่มีกลูเตน ปัจจุบันได้พัฒนาผลิตภัณฑ์แป้งผสมสำเร็จรูป แพนเค้ก คุกกี้ และบราวนี่ จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ ทำให้ UBE ก้าวสู่ธุรกิจปลายน้ำมากขึ้น จากเดิมที่ทำธุรกิจกลางน้ำ และมีมาร์จิ้นที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้มีจากการขายรวม 2,946.11 ล้านบาท เติบโต 40%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,104.23 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเอทานอล 47% ธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง 50% และธุรกิจเกษตรอินทรีย์ 3% โดยการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เป็นตัวเร่งให้กลุ่มผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 106.6 ล้านบาท สูงกว่าปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิทั้งปี 99.3 ล้านบาท ซึ่งแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2564 คาดว่ายังดีอย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร และตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละ 20-30% ซึ่งจะทำให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นได้เห็นพัฒนาการของบริษัทฯ อย่างแน่นอน

ขณะที่แผนงานระยะยาวภายใน ปีข้างหน้า จะขยายกลุ่มธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ (Food Tech) มากขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพและความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งสามารถต่อยอดเพื่อสร้างการเติบโตได้อีกมากและเป็นสินค้าที่มีอัตรามาร์จิ้นดี ตลอดจนมองโอกาสลงทุนใหม่ๆ ทั้งร่วมลงทุน (JV) และเข้าควบรวมกิจการ (M&A) โดยเฉพาะธุรกิจปลายน้ำ และอาจพิจารณาแบรนด์สินค้าที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศเพื่อต่อยอดสินค้ากลางน้ำอีกด้วย

เรามีความมั่นใจในผลการดำเนินงานของบริษัทฯ  เนื่องจากเราได้ปรับพอร์ตธุรกิจให้มีความหลากหลาย ทั้งธุรกิจเอทานอล ธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง ธุรกิจเกษตรอินทรีย์ รวมถึงมีทีมผู้บริหารและทีมงานที่แข็งแกร่ง พร้อมมุ่งมั่นบริหารงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ สะท้อนจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่มีรายได้เติบโต 40% โดยเงินที่ได้จาก IPO เราก็จะนำไปลงทุนขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโต และขอบคุณนักลงทุน ผู้ถือหุ้น ที่เชื่อมั่นและให้ความไว้วางใจบริษัทฯ ทีมผู้บริหาร ตลอดจนพนักงานทุกคน โดยบริษัทฯ จะมุ่งมั่นทำผลงานให้ดีและขอให้มั่นใจได้ว่าจะทำงานตามแผนงานต่าง ๆ เพื่อทำให้ UBE เติบโตอย่างยั่งยืน” นายเดชพนต์ กล่าว 

WGE มั่นใจผลงานครึ่งปีหลังโตแจ่ม

WGE มั่นใจผลงานครึ่งหลังโตแจ่ม หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย หนุนโปรเจคก่อสร้างภาครัฐ-เอกชน ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง โชว์ไตรมาส 3/64 คว้างานใหม่ 6 โปรเจค ดัน Backlog เพิ่มเป็น 3.7 พันล้านบาท และอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่อีก 2-3 พันล้านบาท ฟากผู้บริหาร “เกรียงศักดิ์ บัวนุ่ม” ลั่นพร้อมประมูลงานก่อสร้างภาครัฐเต็มเหนี่ยว วางเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ควบคู่ไปกับการบุกตลาดก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม หนุน Backlog แตะ 5 พันล้านบาท ตามแผน

นายเกรียงศักดิ์ บัวนุ่ม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ WGE ผู้ให้บริการรับเหมาก่อสร้างอาคารแบบครบวงจร เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มั่นใจว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้งานประมูลก่อสร้างของภาครัฐและเอกชน ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯมีแผนเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐมากขึ้น เนื่องจากมองว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างถนน งานสะพาน ทั้งนี้ วางเป้าสัดส่วนงานภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 50% เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 23%

นอกจากนี้ ยังมีแผนบุกตลาดงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อขยายฐานลูกค้า ลดความเสี่ยงความผันผวนธุรกิจ และมั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี Backlog มีโอกาสที่จะไปแตะที่ระดับ 5,000 ล้านบาท ใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ตามแผนงานที่วางไว้

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3/64 บริษัทฯได้งานใหม่ 6 โปรเจค ประกอบด้วย  1. โครงการก่อสร้าง อาคาร 2-GA01,2-GB01 โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (งานโครงสร้าง และงานสถาปัตย์) ของบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  2. โครงการงานจัดหาและติดตั้งงานระบบภายใน อาคาร 2-GA01,2-GB01 โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ของบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  3.โครงการก่อสร้างสะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟสายห้วยทราย – ปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ของกรมทางหลวง 4.โครงการก่อสร้างสะพานลอยกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 1 บริเวณ บ.ชะแมบ (ขาเข้า) 1 ระหว่าง กม.69+700.000 – กม.71+825.000 รวมระยะทาง 2.125 กิโลเมตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  5. โครงการ ก่อสร้างสะพานลอยกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 1 บริเวณ บ.ชะแมบ (ขาออก) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 6.งานก่อสร้างเขื่อนดินป้องกันน้ำท่วมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ส่งผลให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มเป็น 3,697.28 ล้านบาท

ประธานกรรมการบริหาร WGE กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย และงานประมูลก่อสร้างของภาครัฐและเอกชนที่ทยอยมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯมั่นใจว่า ปริมาณงานในมือรอรับรู้รายได้ของบริษัทฯในปีนี้จะกลับมายืนในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2562 ที่มี Backlog กว่า 5,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างประมูลงานมูลค่า 2,000-3,000 ล้านบาท

‘ทีวี ธันเดอร์’ ขายคอนเทนต์ต่างชาติ คาดรายได้ปี 64 กว่า 30 ล้าน

ในสถานการณ์ที่ทั่วโลกประสบวิกฤติโควิด-19นั้น ต้องยอมรับว่าในแวดวงบันเทิงล้วนแล้วแต่เจอ ผลกระทบไม่แพ้แวดวงอื่นๆ แต่ถึงอย่างไรนั้นในการทำงานก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่ดี  นายณฐกฤต วรรณภิญโญ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) มั่นใจปีนี้บริษัทจะสามารถเติบโต ได้ 10-15% เมื่อเทียบกับปี 2563 แม้ประเทศไทยจะยังเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ที่ยังไม่ดีขึ้นจากปีก่อน

สถานการณ์โควิด-19 เป็นปัญหาที่เจอกันทุกวงการ อย่างเราอยู่ในวงการบันเทิงแน่นอนได้รับผลกระทบนี้เช่นกัน เพราะไม่สามารถถ่ายทำทั้งรายการ และซีรี่ส์ได้ แต่ในระหว่างที่ประสบกับวิกฤติระดับ โลกเช่นนี้ เราก็ได้ปรับกลยุทธ์ในการทำงานหลายส่วน ทั้งการบริหารต้นทุนอย่างเหมาะส รวมถึงการสร้างช่องทางการหารายได้ในแบบที่บริษัทไม่เคยทำ และยังไม่ได้ focus มาก่อน อย่างการขายลิขสิทธิ์ คอนเทนต์ไปต่างประเทศ ตั้งแต่ต้นปี ทีวี ธันเดอร์ ตั้งเป้าเรื่องนี้อย่างชัดเจน เราได้มีการเปิดเจรจาตกลง ขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปในประเทศญี่ปุ่น ส่วนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ก็อยู่ในขั้นของการเจรจาพูดคุยเรื่องตัวเลข 

โดยในปี 2564 ทีวี ธันเดอร์ ตั้งเป้าขายคอนเทนท์ไว้ที่ 30 ล้านบาท คาดหวังว่าในอนาคตรายได้ในส่วนการขายลิขสิทธิ์จะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากความต้อง กา  คอนเทนต์ของไทยในต่างประเทศ ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเรามีกลยุทธ์ในการขายทั้งคอนเทนท์ที่มีอยู่ในมือ และแผนในการสร้างคอนเทนต์เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นซีรี่ส์ที่มีความหลากหลายของบท เน้นความเป็นสากลมากขึ้น เราไม่เพียงแต่มองที่ความต้องการของคนดูในประเทศไทย แต่เรายังมองไปที่ความต้องการของตลาดต่างปรเทศอีกด้วย รวมถึงรายการวาไรตี้ต่างๆ ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องลงทุน หรือเพิ่มเม็ดเงิน ประเมินสัดส่วนรายได้จากการเริ่มต้นขายคอนเทนท์อยู่ที่ประมาณ 8-10% ของรายได้ รวมทั้งหมด วันนี้เรามองข้ามช็อตถึงการผลิตงานปี 65 แล้ว เราเริ่มสะสม backlog ในมือไว้เพื่อเตรียม สร้างการเติบโตเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ เชื่อว่าบริษัทจะกลับมามีความสามารถในการทำกำไร ได้ดีกว่าเดิมแน่นอน

ผ่าความสำเร็จ Dr.JiLL ยืนหนึ่งก้าวสู่ปีที่ 8 

ประสบความสำเร็จก้าวสู่ปีที่ 8 สำหรับ Dr.JiLL (ด็อกเตอร์จิล) เซรั่มอันดับ 1 ของไทย การันตีด้วยยอดขายและรางวัลมากมาย ล่าสุด Dr.JiLL เป็นแบรนด์สกินแคร์สัญชาติไทยเพียงเจ้าเดียวที่ถูกจัดอันดับที่เป็น 1 ใน 10 แบรนด์มาแรงจากผลสำรวจของ ควอลิตี้โพล ซึ่งได้สำรวจแบรนด์สกินแคร์มากกว่า 100       แบรนด์กับผู้บริโภคทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์เซรั่ม Dr.JiLL G5 Essence Plus (ด็อกเตอร์จิล จีไฟว์ เอสเซ้นส์ พลัส) ยังทุบสถิติยอดขายหลายล้านชิ้น พร้อมคงยอดขายเซรั่มอันดับ 1 มาตลอด 7 ปี และในปี 2021 ซึ่งกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 โดย Dr.JiLL ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ให้เข้มข้นขึ้น พลัส สารไฮยาลูโรนิก ฟิลลิง สเฟียร์ และสารบำรุงนวัตกรรมใหม่ถึง 10 ชนิด ตอกย้ำจุดแข็งของแบรนด์ในเรื่อง “ขวดเดียวตอบโจทย์ปัญหาผิว” และดึงพระเอกซูเปอร์สตาร์ระดับอินเตอร์ฉายา “สามีแห่งชาติ” อย่าง ซงจุงกิ (Song Joong Ki) มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อขยายเข้าสู่ตลาดสากล เช่น จีน และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายสักก์พิพัฒน์ ประภาสิทธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีอาร์เจแอล กรุ๊ป จำกัด (DRJL GROUP) เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้ Dr. JiLL ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือ คุณภาพและมาตรฐานของสินค้า เราใส่ใจอย่างมากในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค เพราะผลิตภัณฑ์ของเราสามารถตอบโจทย์ทุกสภาพผิวและปัญหาผิว ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถครองใจผู้บริโภคในวงกว้างมาเป็นระยะเวลายาวนาน และได้รับความไว้วางใจจากนักแสดงแถวหน้าของเมืองไทย รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอีกมากมาย อาทิเช่น มาริโอ้ เมาเร่อ, คริส หอวัง, แพท    ณปภา ตันตระกูล, สกาย วงศ์รวี นทีธร เป็นต้น

อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จที่สามารถทำให้ Dr.JiLL เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ คือ ความเชี่ยวชาญในการทำการตลาดออนไลน์ เรามีการทำวิจัยผู้บริโภคในเชิงลึก (Consumer Research) และมีระบบการจัดเก็บข้อมูลและบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าที่ทันสมัย (CRM, Consumer Relationship Management System) ทำให้เราเข้าใจความต้องการของลูกค้าเราเป็นอย่างดี สามารถทำสื่อการตลาดที่ตรงใจกลุ่มลูกค้าของเราได้

ที่ผ่านมายอดขายหลักของเรามาจากช่องทางออนไลน์ ส่งผลให้เรายังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 และในปีนี้เราได้ขยายช่องทางการจัดหน่ายใหม่เพิ่มผ่านพันธมิตรที่มีศักยภาพหลายหลายช่องทาง อาทิ เช่น วัตสัน (Watson) ลาซาด้า (Lazada) ช้อปปี้ (Shopee) และช่องทางอื่น ๆ อีกมากมาย

นอกจากนั้น Dr.JiLL ยังคงมุ่งหน้าสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ตลอดจนพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ในปีที่ผ่านมา Dr.JiLL ได้ริเริ่มกิจกรรมเพื่อสังคมภายใต้ชื่อ “โครงการ 1 อิ่ม” โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งมาสนับสนุนโครงการอาหารกลางวันให้กับเด็กที่ด้อยโอกาส

นายสักก์พิพัฒน์ กล่าวว่า “ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ในปัจจุบัน Dr.JiLL อยากเป็นส่วนหนึ่งในการให้กำลังใจและช่วยเหลือและเด็กที่ได้รับความเดือดร้อนหรือต้องกักตัวอยู่ในที่พักอาศัยเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ให้มีอาหารรับประทานตามหลักโภชนาการ ซึ่งนอกเหนือจากการสนับสนุนอาหารมอบให้เด็กแล้วนั้น ยังสนับสนุนเงินให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท เพื่อขยายห้องไอซียูเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้ป่วยขั้นวิกฤตได้จำนวนมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีอีกหลายๆโครงการที่ทางเรากำลังอยู่ในช่วงดำเนินการจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น” 

Dr.JiLL นับเป็นแบบอย่างองค์กรเอกชนประเทศไทยที่เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว ยังไม่ลืมตอบแทนคืนสู่สังคม ทั้งนี้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและโปรโมชั่นต่างๆของ Dr.JiLL ได้ที่เว็บไซต์ www.drjill.co.th หรือ Line @Dr.JiLL99 

บอร์ด B52 เคาะแผนปรับโครงสร้างทุน

บอร์ด B52 ไฟเขียวแผนปรับโครงสร้างทุน รวบพาร์-ลดทุน พร้อมล้างขาดทุนสะสมเกือบหมด! ผู้บริหารระบุไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น เหตุเป็นการปรับปรุงตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น มั่นใจส่งผลดีต่อทุกฝ่าย ที่สำคัญมีโอกาสสูงที่จะได้รับการปลดล็อกเครื่องหมาย C ในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันตัวเบาพร้อมลุยธุรกิจเพื่ออนาคตสดใสเต็มสตีม

นางสาวนราวดี วรวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี-52 แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ B52 เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯครั้งที่ 9/2564 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมามีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2564 เพื่อพิจารณาโอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน จำนวน 8,297,905 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทฯ ตามงบแสดงฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 จำนวน 888,508,872 บาท ซึ่งภายหลังการโอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน 8,297,905 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทฯ แล้ว จะทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสะสมตามงบแสดงฐานะทางการเงินเฉพาะกิจการ เหลือจำนวน 880,210,967 บาท

นอกจากนี้ ยังมีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นของบริษัทฯ โดยการรวมมูลค่าที่ตราไว้ จากเดิมที่มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เป็นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท ซึ่งส่งผลให้จำนวนหุ้นของบริษัทฯ ลดลงจำนวน 2,404,798,095 หุ้น จากเดิม 3,206,397,460 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เป็นจำนวน 801,599,365 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท ซึ่งการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นของบริษัทฯ ดังกล่าวจะเป็นผลให้จำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ลดลงในอัตราส่วน 4 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่

พร้อมกันนี้ ให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 1,202,399,047.50 บาท จากทุนจดทะเบียนจำนวน 1,603,198,730 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 400,799,682.50 บาท และลดทุนจดทะเบียนชำระแล้วลงจำนวน 974,171,260.50 บาท จากทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 1,310,895,013.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 327,723,753 บาท ตามลำดับโดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัทฯ จากเดิมมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท เป็นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท (จำนวนหุ้นคงเดิมเท่ากับ 655,447,506 หุ้น) เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทฯ ที่คงเหลืออยู่จำนวน 880,210,967 บาท และส่วนต่ำมูลค่าหุ้น ที่ปรากฏในงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ สำหรับงวดไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ปรากฏมีส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นจำนวน 170,989,992 บาท

การลดทุนจดทะเบียนและลดทุนจดทะเบียนชำระแล้วตามที่กล่าวแล้วข้างต้น จะทำให้เกิดส่วนเกินทุนจากการลดทุน (ทุนสำรองอื่น) จำนวน 974,171,260.50 บาท เพื่อบริษัทสามารถนำส่วนเกินทุนจากการลดทุนดังกล่าวมาชดเชยผลขาดทุนสะสมที่เหลืออยู่จำนวน 880,210,967 บาท และส่วนต่ำมูลค่าหุ้น จำนวน 170,989,992 บาท ได้ตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ได้

“การลดทุนโดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อมูลค่าของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด การลดทุนดังกล่าวเป็นการปรับปรุงตัวเลขทางบัญชีเพื่อการชดเชยผลขาดทุนสะสมทางบัญชีเท่านั้น การจดทะเบียนลดทุนจดทะเบียนและทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ โดยการลดพาร์ จาก 2.00 บาท เป็น 0.50 บาท จะเกิดขึ้นภายหลังการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นและจำนวนหุ้นของบริษัท โดยการรวมพาร์ จาก 0.50 บาท เป็น 2.00 บาท กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว”

บริษัทฯ ได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2564 ในวันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 เวลา 10.00 น. โดยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) โดยจะทำการถ่ายทอดสดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) จากห้องประชุมของบริษัท ชั้น 7 อาคารเพรสิเด้นท์ ทาวเวอร์ เลขที่ 973 ถนนเพลินจิตแขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุม (Record Date) ในวันที่ 18 ตุลาคม 2564

“แผนการปรับโครงสร้างทุน ผ่านการ รวบพาร์และลดทุน เพื่อนำเงินส่วนเกินทุนจากการลดทุนมาล้างขาดทุนสะสมในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในแนวทางแก้ไขกรณีที่หลักทรัพย์ของบริษัทฯถูกขึ้นเครื่องหมาย C เนื่องจากส่วนผู้ถือหุ้นน้อยกว่า 50% ของทุนชำระแล้ว เมื่อปรับปรุงตัวเลขทางบัญชีครั้งนี้เรียบร้อยแล้วมีโอกาสที่ B52 จะได้รับการอนุมัติให้ซื้อขายตามปกติในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีความพร้อมอย่างยิ่งในการเดินหน้าขยายธุรกิจ ทั้งที่เติบโตด้วยตนเองและที่ร่วมกับพันธมิตรตามแผนงานที่วางไว้ และมีโอกาสจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเมื่อมีกำไรสุทธิและกระแสเงินสดที่เพียงพอ ซึ่งตามนโยบายของบริษัทฯ กำหนดจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ”นางสาวนราวดี กล่าวในที่สุด