EA ตั้งเป้าขายรถโดยสารไฟฟ้า 500 คัน ภายในสิ้นปีนี้

บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มั่นใจ ปลายปีนี้ ยอดขายรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ ทะลุเป้า 500 คัน ตอกย้ำศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ที่ขับเคลื่อน ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% พร้อมเชื่อว่าหากมีมาตรการสนับสนุนการใช้รถ EV ออกมาในไตรมาส 4 นี้ จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำได้เร็วขึ้น

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงานและยานยนต์ไฟฟ้า เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ส่งมอบรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้กับลูกค้าไปแล้ว 77 คัน และกำลังทยอยส่งมอบเพิ่มเติมในเดือนตุลาคม รวมเป็น 116 คัน โดยมีเป้าการขายรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ภายในสิ้นปีนี้รวม 500 คัน นอกจากนี้บริษัทฯ มีการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าไว้รองรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยเทคโนยี Ultra Fast Charge ที่ทันสมัยที่สุด ที่ใช้เวลาชาร์จเพียง 15 นาที”

โดยกลุ่ม EA มุ่งดำเนินธุรกิจที่เป็น Green Product ไม่ก่อมลพิษ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Electric Vehicle) ทั้งรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า และเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า เพื่อยกระดับการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะให้มีความทันสมัย สะดวกสบาย และลดมลพิษอย่างยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society)

“หากภาครัฐออกนโยบายมาสนับสนุนการใช้รถ EV มากขึ้น จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามความตกลงปารีส ซึ่งประเทศไทยกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ได้ร้อยละ 20-25 หรือจำนวน 111-139 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2573 และจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ ในอาเซียน อีกทั้งยังช่วยยกระดับรายได้ของคนไทยให้ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง” นายอมร กล่าวทิ้งท้าย

EA คว้า 4 รางวัลด้านพลังงาน

บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงานของไทย คว้า 4 รางวัล ได้แก่ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ด้านพลังงานทดแทน ประเภทโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) จากงาน ASEAN Energy Awards 2021 จัดขึ้นโดย ASEAN Centre for Energy จากโครงการโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์และน้ำมันไบโอดีเซล จังหวัดปราจีนบุรี ที่มีส่วนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ภายใต้เป้าหมายในการสร้างสมดุลปาล์มน้ำมันในประเทศ โดยบริษัทฯ มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทำการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มดิบ ซึ่งเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล 800,000 ลิตรต่อวัน หรือสามารถผลิตน้ำมันไบโอดีเซลได้มากกว่า 188  ล้านลิตรต่อปี เทียบเท่าการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 120,708,369.56 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

นอกจากนี้ยังคว้าอีก 3 รางวัลดีเด่นด้านพลังงานทดแทนและด้านอนุรักษ์พลังงาน จากงาน Thailand Energy Awards 2021 ซึ่งจัดโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ได้แก่ รางวัลดีเด่นด้านพลังงานทดแทน ประเภทโครงการที่เชื่อมโยงกับระบบสายส่งไฟฟ้า (On-Grid) จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบหมุนตามดวงอาทิตย์ จังหวัดพิษณุโลก รางวัลดีเด่นด้านพลังงานทดแทน ประเภทโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) จากโครงการโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์และน้ำมันไบโอดีเซล จังหวัดปราจีนบุรี และรางวัลดีเด่นด้านอนุรักษ์พลังงาน ประเภทขนส่ง จากเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า MINE SMART FERRY

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงาน เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้รับ 4 รางวัล จาก 2 เวทีด้านพลังงาน ทั้ง ASEAN Energy Awards และ Thailand Energy Awards โดยบริษัทฯ มีความตระหนักถึงความสำคัญด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมพลังงาน มุ่งสร้างเสถียรภาพพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต

JR คว้างานสร้างโรงไฟฟ้า BGRIM มูลค่า 165.85 ล้าน

บมจ.เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ (JR) คว้างานใหม่สร้างโรงไฟฟ้าของ บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 3 จำกัด มูลค่ารวม 165.85 ลบ. ในโครงการสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยขนาด115kV และ22kV ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ระยะเวลาก่อสร้าง 15 เดือน  ฟากซีอีโอ”จรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ” ระบุโครงการดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนให้มูลค่า Backlog เพิ่มขึ้นแตะระดับ 5.5 พันล้านบาท ทำให้มีรายได้รอรับรู้ระยะยาวกว่า 3 ปี เดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อีกเพียบ เน้นงานมาร์จิ้นสูง มั่นใจผลงานปีนี้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้

นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR เปิดเผยว่าบริษัทฯได้ลงนามในสัญญาการจ้างงานในโครงการสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยขนาด115 kVและ 22k V มูลค่าโครงการรวม 165.85 ล้านบาท (รวมvat) ซึ่งเป็นโครงการของ บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 3 จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง โดยมีระยะเวลาในการก่อสร้าง 15 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2564 – วันที่ 19 ธันวาคม  2565) ซึ่งเป็นประเภทงานวิศวกรรม ก่อสร้าง และงานจัดซื้อของโครงการ

“การได้งานในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯมีงานในมือรอรับรู้รายได้( Backlog) เพิ่มขึ้นแตะระดับ 5,500 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้ในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีแผนที่จะเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาส 4/256 ยังมีที่คาดว่าจะประมูลอีกราว 200 ล้านบาท โดยเป็นงานวางระบบไฟฟ้า 180 ล้านบาท และงานวางระบบสื่อสาร 19 ล้านบาท ส่วนในช่วงปี 2565 คาดว่าจะยังมีงานที่จะเข้าประมูลอีกราว 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงานวางระบบไฟฟ้า 6,700 ล้านบาท และงานวางระบบสื่อสาร 480 ล้านบาท ดังนั้นสะท้อนให้เห็นว่า JR ยังคงมีผลงานที่เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว”นายจรัญกล่าว

เขากล่าวอีกว่าแนวโน้มการดำเนินธุรกิจครึ่งปีหลังยังเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีงานในมือรอรับรู้รายได้ไว้แล้ว   ขณะที่มีการประมูลงานโครงการใหม่เข้ามาเพิ่มเติมต่อเนื่อง   เน้นงานโครงการที่มีมาร์จิ้นสูง รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนงานขายอุปกรณ์มากขึ้นในระหว่างที่รอการเปิดให้ประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพู เฟส 2 มูลค่า กว่า 6,000 ล้านบาท รวมทั้งปัจจุบันประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถรักษาอัตราการทำกำไรไว้ได้เป็นอย่างดีและมั่นใจว่าผลงานในปี 2564 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

นอกจากนี้ บริษัทฯยังใช้ความเป็น Engineering Base และ IT Solution Base ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ในการขยายงานไปยังประเภท Oil&Gas มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีกลุ่มลูกค้าและรายได้เริ่มทยอยเข้ามาแล้ว โดยจากที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปเจาะในกลุ่มฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดยเป็นงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยให้กับโครงการของบริษัทไทยออยล์ ซึ่งบริษัทฯรับงานจากกิจการร่วมค้า Petrofac South East Asia, Saipem Singapore และ Samsung Engineering ทำให้มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจของกลุ่มบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ต่อเนื่อง

PRAPAT โชว์แผนพร้อมรับเปิดประเทศ-ท่องเที่ยวระยะ2

PRAPAT เดินหน้าโชว์แผนพร้อมรับเปิดประเทศ-ท่องเที่ยวระยะ2 ชูโมเดลธุรกิจของภูเก็ตแซนด์บอกซ์ เพิ่มลูกค้าใหม่ พร้อมดันยอดขายไตรมาส4 ปรับขึ้นอยู่ในระดับ 75-80%  จากยอดขายปกติก่อนสถานการณ์โควิด-19

นายสุกานต์ อินทรสูต ผู้จัดการอาวุโส (ช่องทางจัดจำหน่าย) บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PRAPAT เปิดเผยถึงแผนธุรกิจเพื่อรองรับการเปิดประเทศและการท่องเที่ยวระยะ 2  ว่า บริษัทฯ จะนำโมเดลธุรกิจที่ทำในจังหวัดภูเก็ต หรือจากการเปิดประเทศระยะแรก (ภูเก็ตแซนด์บอกซ์) เมื่อเดือนกรกฎาคม  2564  มาปรับใช้กับศูนย์ธุรกิจและหน่วยธุรกิจในจังหวัดที่มีการเปิดประเทศระยะ 2 เช่น เชียงใหม่, ประจวบคีรีขันธ์, เพชรบุรี  และชลบุรี

ส่วนแผนการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศและท่องเที่ยวในระยะ 2  ของบริษัทฯ จะประกอบไปด้วย  การเข้าไปสนับสนุนมอบผลิตภัณฑ์กลุ่มฆ่าเชื้อให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเปิดเมือง, การเดินหน้าทำแคมเปญ “100X100 ฝ่าวิกฤตโควิด-19” บริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อให้กับลูกค้าโรงแรม พร้อมทั้งนำเสนอแพ็กเกจสินค้ากลุ่มฆ่าเชื้อและอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการฆ่าเชื้อ เช่น ฟ็อกกี้ฉีดพ่น, ชุด PPE  และเครื่องโอโซน ในราคาพิเศษ เป็นต้น รวมถึงการเตรียมทีมงานบริการเข้าไปดูแลลูกค้าที่กำลังจะทำการปรับปรุงโรงแรม หรือเตรียมตัวก่อนที่จะเปิดกิจการอีกครั้ง

“โมเดลธุรกิจของภูเก็ต ที่ทำในช่วงของการเปิดประเทศในระยะแรก เช่น การจัดกิจกรรมสนับสนุนการเปิดเมือง, การทำแคมเปญ “100X100 ฝ่าวิกฤตโควิด-19” และคัดเลือกลูกค้าหลัก ฉีดพ่นฆ่าเชื้อให้ฟรี เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกค้าในช่วงที่เริ่มกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง พบว่าลูกค้าตอบรับเป็นอย่างดี จนทำให้มีลูกค้าใหม่กลุ่มร้านอาหาร, สปา ฯลฯ เพิ่มขึ้น 10-15 รายต่อเดือน และมียอดขายปรับตัวดีขึ้นอยู่ในระดับ 60% แล้ว ดังนั้นเชื่อว่าโมเดลดังกล่าวจะช่วยต่อยอดให้กับศูนย์ธุรกิจในจังหวัดที่มีการเปิดประเทศระยะ 2  มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น” นายสุกานต์ กล่าว

นายสุกานต์ กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมของการเติบโตธุรกิจบริษัทฯในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 แม้ว่ายอดขายจะปรับตัวลดลงบ้าง จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ตลาดลูกค้าหลักของบริษัทฯ อย่าง กลุ่มโรงแรมและรีสอร์ทไม่สามารถเปิดให้บริการได้  แต่ผลิตภัณฑ์ที่ยังขายดี  คือ สินค้ากลุ่มป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  เช่น ฟ็อกกี้ฉีดพ่น, ชุด PPE  และเครื่องโอโซน เป็นต้น นอกจากนี้ กลุ่มซักรีดปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทฯ เข้าไปนำเสนองานซักรีด  รวมถึงสินค้าในกลุ่มซักรีดในฮอสพิเทล (Hospitel) มากขึ้น

ทั้งนี้เพื่อทำให้ยอดขายบริษัทฯ เติบโตมากขึ้นในช่วงที่สถานการณ์ไม่ปกติ บริษัทฯได้มีการปรับแผนการทำธุรกิจใหม่ ด้วยการมุ่งเน้นเข้าไปทำตลาดอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ร้านสปา, ร้านซักรีดในชุมชน, หน่วยงานราชการ เป็นต้น ซึ่งในส่วนของหน่วยงานราชการ ล่าสุด หลังจากที่บริษัทฯได้เข้าไปนำเสนอสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์, กลุ่มฆ่าเชื้อ,และสระว่ายน้ำ ให้กับทางหน่วยงานราชการ  ในงบประมาณใหม่ พบว่าได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้วและพร้อมมีคำสั่งซื้อเข้ามาในเดือนตุลาคมนี้

“สถานการณ์โควิด-19 ทำให้เราต้องปรับตัวหาตลาดใหม่มากขึ้น หลังจากลูกค้าหลักโรงแรมและรีสอร์ทปิดตัว ซึ่งการขยายตลาดรวมถึงการเพิ่มช่องทางธุรกิจใหม่ๆ ทำให้บริษัทฯ มีลูกค้าใหม่โดยรวมเพิ่มมากขึ้นต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 40-50 ราย จากเดิมในสถานการณ์ปกติ จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มต่อเดือนเพียง 10 รายต่อเดือน ขณะที่การเปิดประเทศระยะ2 และการคลายล็อกดาวน์ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาพรวมยอดขายบริษัทฯในจังหวัดที่มีศูนย์ธุรกิจ  ภายในสิ้นปีนี้กลับมาอยู่ในระดับ  75-80% จากยอดขายปกติก่อนสถานการณ์โควิด-19     แต่หากสถานการณ์ในประเทศไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น   มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศกลับมา   เชื่อว่ายอดขายจะเติบโตขึ้น” นายสุกานต์ กล่าวปิดท้าย

5 ท่าบริหารฟื้นฟูปอด ดูแลสุขภาพในภาวะวิกฤติ COVID-19 

ในช่วงการระบาดของเชื้อ COVID-19 ทำให้หลายคนเป็นกังวลว่าตนเองจะติดเชื้อหรือไม่ หรือผู้ป่วยที่ติดเชื้อแล้ว ก็อาจจะกังวลใจว่าอาการของตนเองนั้นอยู่ในระดับใด จะแพร่เชื้อสู่คนรอบข้างหรือไม่ จนเกิดภาวะเครียดและส่งผลต่ออาการป่วยได้ รวมถึงผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว อาจมีความเครียดเกิดขึ้นจากความเป็นห่วงคนในครอบครัว เป็นห่วงงานที่ต้องรับผิดชอบจนลืมดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจของตนเอง การสังเกตอาการทางกายและจิตใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสุขภาพจิตที่ดีจะส่งผลถึงสุขภาพกายที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน

พญ. อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้อำนวยการศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ในขณะนี้หลายคนมีความกังวลเรื่องของการติดเชื้อและเริ่มตระหนักเรื่องการดูแลสุขภาพจิตใจสำหรับสถานการณ์ COVID-19 ที่การดำเนินชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกลุ่มผู้ติดเชื้อที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล อยู่ระหว่างรอเตียงในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนาม ที่จะเกิดความวิตกกังวลในส่วนของอาการป่วยรวมถึงเป็นห่วงครอบครัว งาน ว่าจะเป็นการผลักภาระให้กับคนรอบข้าง จนเกิดอาการเครียดและรู้สึกไม่สบายใจ ทำให้สุขภาพจิตใจแย่ลง รวมทั้งสุขภาพกายที่อาจทำให้ปอดทำงานหนักขึ้นเพราะเมื่อมีความกังวลเรื่องต่าง ๆ แล้ว ทำให้มีการพูดคุยที่มากขึ้นขณะที่ป่วย อาทิการสอบถามเรื่องการรักษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบ่อย ๆ การติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อสั่งงาน จะทำให้ปอดทำงานหนักจนสุขภาพกายอาจจะทรุดลงได้ เพราะสุขภาพใจก็เหมือนกับสุขภาพกาย ที่ต้องการการดูแลและใส่ใจอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อต่อสู้กับโรคร้าย สิ่งที่ควรปฎิบัติข้อแรกคือ การพักปอด หากมีการติดเชื้อ COVID-19 ผลที่ตามมาคือ ปอดจะทำงานหนัก เพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนให้เพียงพอ ผู้ป่วยจึงควรลดการพูดคุยหรือการใช้โทรศัพท์มือถือเท่าที่จำเป็น เพื่อเป็นการพักปอด เพื่อให้ปอดฟื้นตัวและหายป่วยได้เร็วขึ้น ข้อที่สอง คือ การพักใจ  ต้องมีสติรู้ตัว อย่าวิตกกังวลอยู่ในอาการของโรค จนทำให้เสียทั้งงานและเสียทั้งสุขภาพ ให้เราตั้งสติ ปล่อยวางแล้วเริ่มหาแนวทางการแก้ไขจะดีกว่าจมอยู่ในเรื่องเดิมนาน ๆ

ทั้งนี้ มุจิรารัศมิ์ ภัทรจริยากุล ครูสอนโยคะ ศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ  แนะนำการบริหารปอดให้แข็งแรงและฟื้นตัวกลับมาโดยเร็ว สามารถทำได้เป็นประจำสม่ำเสมอด้วย 5 ท่าบริหารปอดที่สามารถทำเองได้ทั้งผู้ที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อเพื่อเป็นการฟื้นฟูและบริหารปอดให้แข็งแรงอยู่เสมอ

1.ท่าจับท้อง นั่งให้ลำตัวตรง นำมือจับที่ซี่โครงด้านข้าง ปลายนิ้วมือเลื่อนมาแตะบริเวณหน้าท้อง หายใจเข้าลึก ๆ ด้วยจมูก จะรู้สึกถึงการขยายของซี่โครงและหน้าท้อง หายใจออกทางจมูกช้า ๆ ให้รู้สึกถึงท้องที่ยุบลงช้า ๆ ไม่ควรรีบ พยายามหายใจเข้าลึก ๆ ให้มีความยาวเท่ากับลมหายใจออกอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมลมหายใจและจังหวะให้คงที่อย่างน้อย 10 -15 ครั้ง 

2.ท่ายืดแขน นั่งลำตัวตรง ผสานนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วเข้าด้วยกัน นำมาไว้ด้านหน้า หายใจเข้าให้ลึกเพื่อนำออกซิเจนเข้าให้สุดแล้ว จึงเริ่มพลิกผ่ามือยกขึ้นเหนือศีรษะ หายใจออกให้แขม่วท้องช้า ๆ ไล่ลมออกจากท้องจนหมด ลดแขนและผ่อนคลายไหล่ลงไปทางด้านข้าง  

3.ท่างู เริ่มจากค่อย ๆ นอนคว่ำตัวลงกับพื้น ขาเหยียดตรงไปทางด้านหลัง วางมือให้อยู่บริเวณเดียวกับหัวไหล่หรือเอว เมื่อหายใจเข้าให้ใช้มือดันพื้นขึ้นพร้อมยกศีรษะ หน้าอก และหน้าท้อง หายใจออกค่อย ๆ งอศอก วางหน้าท้อง หน้าอก และศีรษะลงไปกับพื้น เมื่อทำเสร็จแล้วก่อนจะลุกขึ้นให้นำแขนมาซ้อนกันบริเวณข้างหน้าลดศีรษะลง แล้วจึงลุกขึ้นช้า ๆ  

4.ท่านั่งและบิดลำตัว นั่งลำตัวตรง ให้สะโพกก้นทั้ง 2 ข้างเต็มพื้น ชันเข่าขวาขึ้น ขาซ้ายให้อยู่บริเวณด้านล่างงอเข่าแล้วนำเท้าขวาไปค่อมขาซ้ายอีกทบนึง พยายามกดสะโพก 2 ข้างลงให้ชิดพื้นแล้วนั่งยืดลำตัว นำมือขวาพาดไปทางด้านหลัง แขนและศอกด้านซ้ายจะนำมาขัดหัวเข่าของด้านขวาหรือจะนำมือมาแตะเข่าหรือข้อเท้าอีกข้างก็ได้ แล้วค่อย ๆ ยืดตัวขึ้น แขม่วท้องพร้อมบิดลำตัว มองไปทางด้านหลัง บิดเอว หน้าอก ช้า ๆ เปิดและหันศีรษะไปทางด้านหลัง หมุนหัวไหล่ขวาไปทางด้านหลังและหันศรีษะตามไป อยู่ในท่านี้ประมาณ 5 ลมหายใจ จะรู้สึกถึงหน้าท้องที่โดนนวด จากนั้นค่อย ๆ หมุนลำตัวกลับมา ทำสลับข้างอีกครั้ง 

5.ท่าปลา นอนหงายกับพื้น เหยียด 2 ขาตรง ใช้ 2 แขนสอดใต้ลำตัวทั้งขวาและซ้าย กดมือและข้อศอกลงไปกับพื้นให้แน่น หายใจเข้า ยกหน้าอกขึ้นแล้วค่อย ๆ เงยคางขึ้นเล็กน้อย หายใจออก คางเงย แล้ววางศรีษะโดยจุดกลางกระหม่อมวางบนพื้น กดข้อศอกแล้วพยายามยืดหน้าท้องและหน้าอกไปทางด้านบน เงยคางให้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ เกร็งหน้าท้องด้านล่าง เหยียดขาทั้ง 2 ข้างให้ตรง และพ้อยท์เท้าให้อยู่ในท่านี้ 5 – 10 ลมหายใจ เมื่อครบแล้วจึงค่อย ๆ ยกศีรษะขึ้น วางศีรษะและหลังกลับลงไปที่พื้น นำแขนทั้ง 2 ข้างออกมาพักในท่านอนหงายสักครู่นึง จากนั้นลุกขึ้นช้า ๆ จากการตะแคงข้าง งอเข่า ดันลำตัวลุกขึ้นนั่ง ถ้าทำแล้วรู้สึกปวดคอ หรือเจ็บหลังให้นำผ้าขนหนูหนา ๆ หรือว่าหมอนอิงมารองใต้ศีรษะ หรือหลังเพื่อป้องกันการบาดเจ็บได้

นอกจากการฝึก 5 ท่าบริหารฟื้นฟูปอดนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเช็กอาการตัวเองอยู่เสมอ ดูแลและหมั่นสังเกตอาการตัวเองในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ มีการไอ หรือมีไข้หรือไม่ และตรวจเช็กความเสี่ยงในการติดเชื้อว่าไปพื้นที่เสี่ยงหรืออยู่ใกล้บุคคลที่มีความเสี่ยงหรือไม่ และตรวจเช็กสุขภาพจิตใจว่ามีอาการวิตกกังวล รู้สึกเครียด จิตตกหรือไม่ หากมีอาการวิตกกังวลมากไม่สามารถพาตนเองออกจากความคิดความกังวลได้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพใจที่จะกลับมาแข็งแรงและดำเนินชีวิตได้อย่างปกติในแนวทาง      นิวนอร์มัล สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์จิตรักษ์ รพ.กรุงเทพ โทร.02 310 3751-52  หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital

ช้อปอะไรดี? YEHWADAM Jeju Magnolia Pure Brightening

เดอะเฟสช็อป (THE FACE SHOP) เครื่องสำอางอันดับ 1 จากประเทศเกาหลี ขอแนะนำผลิตภัณฑ์บำรุงผิว YEHWADAM Jeju Magnolia Pure Brightening (แยฮวาดัม เจจู แมกโนเลีย เพียว ไบร์ทเทนนิ่ง) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบันทึกความงามและเคล็ดลับความงามของสาวเกาหลีที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมมอบความกระจ่างใสให้กับผิวอย่างล้ำลึก ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ปรับกระบวนการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ ด้วยส่วนผสมหลักของ “โสมขาว” “ไข่มุก” สมุนไพรเกาหลีโบราณ และอัพเกรดเพิ่มเติมด้วยสารสกัดจากดอกไม้ “White Magnolia” (ไวท์แมกโนเลีย) จากเกาะเจจู พร้อมส่วนผสมจาก “ซีรีน &อลันโทอิน” ลิขสิทธิ์เฉพาะของ LG H&H’s โดยในชุดผลิตภัณฑ์ YEHWADAM Jeju Magnolia Pure Brightening ประกอบไปด้วย

  • YEHWADAM Jeju Magnolia Toner (แยฮวาดัม เจจู แมกโนเลีย โทนเนอร์) โทนเนอร์เนื้อฟลูอิดใส มอบความรู้สึกสดชื่นสู่ผิว เตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุง
  • YEHWADAM Jeju Magnolia Serum (แยฮวาดัม เจจู แมกโนเลีย เซรั่ม) เซรั่มเนื้อซึมไว มอบความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น ปรับให้ผิวกระจ่างใส ฉ่ำวาว ลดเลือนจุดด่างดำให้จางลง ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดสาเหตุของความหมองคล้ำ
  • YEHWADAM Jeju Magnolia Emulsion (แยฮวาดัม เจจู แมกโนเลีย อิมัลชั่น) อิมัลชั่นมอบความชุ่มชื้นเข้มข้น เนื้อเนียนนุ่ม เกลี่ยง่าย สร้างชั้นฟิล์มความชุ่มชื้นเคลือบผิว ให้ผิวชุ่มชื้นยาวนาน
  • YEHWADAM Jeju Magnolia Cream (แยฮวาดัม เจจู แมกโนเลีย ครีม) ครีมเข้มข้น เนื้อเนียนนุ่ม เกลี่ยง่าย มอบความเปล่งปลั่ง ฉ่ำวาวให้ผิวทันที เติมเต็มชั้นผิวให้ผิวอิ่มฟูขึ้น ผิวดูกระจ่างใส เปล่งปลั่งขึ้นทันทีที่ใช้

สำหรับผู้ที่สนใจ YEHWADAM Jeju Magnolia Pure Brightening สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่เดอะเฟสช็อปทุกสาขา และสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ www.thefaceshopthailand.com  หรือ Line ID: @thefaceshop.th Lazada และ Shopee

รวมพลัง “พลิกฟื้นประเทศ…ด้วยนวัตกรรมไทย”

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เดินหน้าต่อยอดแพลตฟอร์ม นวัตกรรมประเทศไทย ระดมความร่วมมือหน่วยงานชั้นนำของประเทศจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา และสมาคมธุรกิจ มาร่วมกันสร้าง เครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทย เพื่อก่อให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ในการ พลิกฟื้นประเทศ…ด้วยนวัตกรรมไทย โดยร่วมกันเป็นผู้แทนในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้านนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการรับรู้ ความตื่นตัว และความภาคภูมิใจในนวัตกรรมฝีมือคนไทย พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความชำนาญระหว่างกัน ล่าสุดมีเครือข่าย 73 องค์กร ที่ตอบรับและพร้อมจะขับเคลื่อนนวัตกรรมประเทศไทยให้ก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นคือการก้าวสู่อันดับ 1 ใน 30 ของประเทศที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมของโลก ภายในปี 2573 และนำประเทศไทยก้าวเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของประเทศไทยมีวิสัยทัศน์ที่จะขับเคลื่อนประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความรู้และความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม รวมถึงการพัฒนากำลังคนที่เหมาะสม การกำหนดทิศทางและนโยบายการพัฒนาด้านนวัตกรรมที่ชัดเจน ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และยืดหยุ่นในการปฏิบัติ โดยหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติได้ระบุวาระการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven Economy) ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทหลักของ อว. ในการสนับสนุนให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรม ผ่านการบ่มเพาะและพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการนวัตกรรม การพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมที่เอื้อต่อการสร้างและแปลงนวัตกรรมสู่มูลค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางสังคม ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่ในส่วนกลาง แต่ยังขยายโอกาสการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปยังภูมิภาค นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนงานด้านนวัตกรรมเพื่อสังคม ที่ครอบคลุมทั้งการสร้างธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสังคม และการสร้างเครือข่ายนวัตกรรมเชิงสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

“สำหรับแพลตฟอร์ม นวัตกรรมประเทศไทย ที่ NIA ได้ริเริ่มขึ้นนี้ เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการพลิกฟื้นประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤต และเปรียบเสมือนเครื่องมือในการ สร้างมุมมองใหม่ของประเทศไทยที่แตกต่างไปจากเดิม เพื่อให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 ที่มุ่งนำนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม และกิจกรรมการสร้าง เครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทย ในครั้งนี้ ถือเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้การกำหนดนโยบาย การดำเนินงาน และการสื่อสารด้านนวัตกรรมไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น ชาติแห่งนวัตกรรม (Innovation Nation)” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก กล่าว

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า “จากวิกฤตปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น กับดักรายได้ปานกลาง ต้นทุนการผลิตสูง การแข่งขันทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ที่ห่วงโซ่อุปทานของโลกกำลังเปลี่ยนไป ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทั้งการเข้าถึงบริการของรัฐ การเข้าถึงด้านดิจิทัล ด้านการศึกษา และ ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น PM 2.5 ปัญหาน้ำแล้ง น้ำเค็ม น้ำท่วม ฯลฯ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่ง NIA เชื่อว่า “นวัตกรรม” จะเป็นทางออกในการพลิกฟื้นประเทศจากวิกฤต จึงต่อยอดแพลตฟอร์ม นวัตกรรมประเทศไทย ภายใต้แนวคิด พลิกฟื้นประเทศ…ด้วยนวัตกรรมไทย โดยมุ่งเน้นให้คนไทยเห็นความสำคัญในการร่วมกัน “พลิกธุรกิจให้รอด” จากการนำนวัตกรรมมาพลิกโมเดลธุรกิจ “พลิกชีวิตให้สุข” จากการนำนวัตกรรมมาพลิกแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางสังคม และ “พลิกสิ่งแวดล้อมให้ดี” จากการนำนวัตกรรมมาพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อม”

แพลตฟอร์ม นวัตกรรมประเทศไทย มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “ชาติแห่งนวัตกรรม” โดยวางกรอบการดำเนินงานใน 4 ด้าน ได้แก่

1) จุดยืนนวัตกรรมประเทศไทย ที่มีเป้าหมายให้ประเทศไทยอยู่ใน 30 อันดับแรกของดัชนีนวัตกรรมโลก ภายในปี 2573 เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศด้านนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับระดับโลก

2) ดีเอ็นเอนวัตกรรมประเทศไทย ที่มุ่งสร้างให้เกิดอัตลักษณ์ไทยรังสรรค์คุณค่าใหม่เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นใน 7 ด้าน

3) เครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทย ด้วยการสร้างให้เกิดพันธมิตรนวัตกรรมไทยสู่ตลาดโลกผ่านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานชั้นนำของประเทศทั้งหน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา และสมาคมธุรกิจ

และ 4) แดชบอร์ดนวัตกรรมประเทศไทย โดยมีเป้าหมายให้เกิดข้อมูลนวัตกรรมประเทศไทย ที่มีการรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลนวัตกรรมของประเทศที่มีความหลากหลายจากทุกภาคส่วน

การเปิดตัว “เครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทย” ในวันนี้ มีเป้าหมายในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้านนวัตกรรม และทำให้คนไทยและชาวต่างชาติรับรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมฝีมือคนไทยที่เป็น นวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตที่ประณีต โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา และสมาคมธุรกิจ ซึ่งขณะนี้มีองค์กร 73 แห่ง ที่ตอบรับเข้าร่วมเป็นเครือข่าย ซึ่งจะร่วมมือกันใน 3 ด้าน ได้แก่

1) เป็นผู้แทนประเทศในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้านนวัตกรรม ผ่านกิจกรรมความร่วมมือกันในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การลงนาม ความร่วมมือ การจัดสัมมนานวัตกรรม การจัดแสดงผลงานนวัตกรรม

2) สร้างการรับรู้และความตื่นตัวด้านนวัตกรรมขึ้นในประเทศไทย ผ่านการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างให้เกิดความตื่นตัวและสนใจนำนวัตกรรมฝีมือคนไทยมาใช้หรือต่อยอดให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

และ 3) แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความชำนาญระหว่างกัน ผ่านความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร การแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ด้านนวัตกรรมทั้งแนวกว้างและแนวลึกระหว่างหน่วยงานในเครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทย

ผู้สนใจดูนวัตกรรมไทยที่น่าภาคภูมิใจได้ที่ www.innovationthailand.org  หรือ FB : Innovation.THA และสามารถดูข้อมูลความรู้ การให้บริการนวัตกรรมจากหน่วยงานต่าง ๆ ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ เพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างและใช้ประโยชน์นวัตกรรมอย่างแพร่หลาย

สานต่อโครงการ Life’s Better with Dogs บริจาควัคซีนและอาหารสุนัข

เนื่องด้วยทุกวันที่ 28 กันยายนของทุกปี ได้กำหนดให้เป็นวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก (World Rabies Day) องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) จึงสานต่อ โครงการ Life’s Better with Dogs เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักรู้ถึงความรุนแรงและอันตรายของโรคพิษสุนัขบ้า รวมถึงเห็นความสำคัญของการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไป ตลอดจนการสร้างองค์ความรู้ในการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและโรคสัตว์สู่คนจากเหตุการณ์โรคระบาดโควิด-19 อีกด้วย

สัตวแพทย์หญิงชนัดดา เครือประดับ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ทำงานในการขับเคลื่อนสังคม นโยบาย และปกป้องคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ต่างๆ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีบทบาทในการทำงานด้านสัตว์ในชุมชน เช่น สุนัขและแมว โดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุมและจัดการประชากรสุนัขอย่างมีมนุษยธรรม อีกทั้งยังส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกในการเลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อให้คนและสัตว์อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและปลอดภัยภายใต้โครงการ Life’s Better with Dogs ซึ่งได้เริ่มการทำงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 จนถึงปัจจุบัน โดยมีการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ การอบรมให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องโรคพิษสุนัขบ้า การดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างมีความรับผิดชอบ การจัดทำคู่มือสำหรับฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากสัตวแพทย์เป็นผู้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และการรณรงค์ฉีดวัคซีนให้กับสุนัขและแมวจรจัด เป็นต้น โดยปีนี้เนื่องในวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก (World Rabies Day) เราได้มอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับกรมปศุสัตว์ เพื่อช่วยเหลือสุนัขจรจัดให้ปลอดโรคและยังทำให้ชุมชนปลอดภัยจากอันตราย พร้อมมอบอาหารสุนัขให้แก่วัดหัวคู้ จังหวัดสมุทรปราการและชุมชนดินแดง เพื่อช่วยเหลือในช่วงวิกฤษโควิด-19 อีกด้วย

ข้อมูลล่าสุดในปีนี้จากกรมควบคุมโรค เผยจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้ารวมทั้งสิ้น 5 รายทั่วประเทศไทย* และด้วยข้อจำกัดในการปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและทำหมันในสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มที่ลดลง สัตว์ถูกทอดทิ้งมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และความปลอดภัยของประชาชน ทั้งนี้สิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ คือ เรื่องสวัสดิภาพสัตว์และการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างมีความรับผิดชอบ ตลอดจนปฏิบัติตามแนวทางที่เรียกว่า CNVR ได้แก่ Catch คือ การจับสุนัขและแมว N คือ Neuter การทำหมัน V คือ Vaccinate การฉีดวัคซีน และ R คือ Return การนำกลับไปที่เดิม สิ่งเหล่านี้จะเป็นวิธีควบคุมจำนวนประชากรสุนัขที่ได้ผลและมีมนุษธรรม รวมถึงการสร้างสวัสดิภาพที่ดีให้กับสุนัขด้วยเช่นกัน

สำหรับโครงการ Life’s Better with Dogs ที่มุ่งรณรงค์และให้ความช่วยเหลือเพื่อให้สุนัขมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า พร้อมสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนทั่วไปมีความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยง ตลอดจนลดปัญหาสุนัขจรจัดในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ในปีนี้องค์กรฯ ได้มอบวัคซีนฯ จำนวน 20,100 โดส ให้แก่กรมปศุสัตว์ อีกทั้งยังส่งมอบอาหารสุนัขและแมวจำนวนกว่าสองตัน ถวายแด่พระปริยัติวงศาจารย์ (ประชุม ปวโร) เจ้าคณะตำบลศีรษะจรเข้ใหญ่ เจ้าอาวาสวัดหัวคู้ อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อให้ผู้ดูแลนำไปเลี้ยงสุนัขจรจัดที่ถูกนำมาปล่อยทิ้งภายในวัดเป็นจำนวนมากกว่า 400 ตัว ซึ่งส่วนหนึ่งของสุนัขเหล่านี้ถูกนำมาทิ้งเนื่องจากเจ้าของได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 นอกจากนี้ยังได้มอบอาหารเพื่อช่วยเหลือสุนัขและแมวจรจัดในพื้นที่ชุมชนดินแดงจำนวนรวมกันทั้งสุนัขและแมวเกือบ 400 ตัวอีกด้วย

OCEAN เผยแผนงานในช่วงครึ่งปีหลังในงาน Opportunity Day

ธีร ชุติวราภรณ์ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร , กิตติคุณ พินขาว (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN ได้นำเสนอข้อมูลบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เผยแผนงานในช่วงครึ่งปีหลัง เตรียมเปิดโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ย่านรามอินทรา มูลค่า 480 ล้านบาท คาดสร้างเสร็จปลายปีนี้ และเริ่มทยอยโอนต้นปี 2565 พร้อมจับมือพันธมิตรลุยผลิตและจำหน่ายโปรดักส์ “กัญชง-กัญชา” ก้าวสู่การเป็นผู้คุมปัจจัยการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ หนุนผลงานปี 65 โตก้าวกระโดด

GLORY จ่อเทรด mai ปลายปีนี้ ระดมทุนสู่ตลาดโลก

ขียน หนังสือ นิยาย การ์ตูน ออนไลน์ เดินหน้าระดมทุน IPO 70 ล้านหุ้น จ่อเทรด mai ภายในปีนี้ ด้าน CEO “จรัญพัฒณ์ บุญยัง” ระบุ เร่งระดมทุนขยายการลงทุนเพื่อพัฒนา Platform รองรับการ Scale Up ไปยังต่างประเทศ 

นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) หรือ GLORY เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทฯ มีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 70 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาทคิดเป็นร้อยละ 25.93 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเสนอขายหลักทรัพย์พร้อมเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในปีนี้

สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเตรียมพร้อมขยายการลงทุนเพื่อพัฒนา Platform รองรับการ Scale Up ไปยังต่างประเทศ รวมถึงเตรียมแปลลิขสิทธิ์วรรณกรรมไทยที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย เป็น Prototype ส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อเป็นการเปิดตลาดของวรรณกรรมไทยด้านออนไลน์ ให้มากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการในอนาคต

“เงินระดมทุนที่ได้จากการ IPO ในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะถูกนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมไปถึงการซื้อลิขสิทธิ์วรรณกรรมจากต่างประเทศ เพิ่มเติมประมาณ 70% จากที่มีในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มจำนวนสินค้า รองรับแนวทางการขยาย Platform และช่องทางการจัดจำหน่ายวรรณกรรม ให้มีลิขสิทธิ์ครอบคลุมสำหรับตอบสนองลูกค้าได้ในทุกกลุ่มเป้าหมาย”

GLORY เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการเทคสตาร์ทอัพ (Tech Startup) ที่พัฒนาแพลตฟอร์มด้านวรรณกรรม สำหรับ อ่าน-เขียน นิยาย การ์ตูน และ หนังสือ ผ่านช่องทางดิจิทัล โดยมีช่องทางจัดจำหน่ายหลักผ่านเว็บไซต์ “Kawebook.com” และแอปพลิเคชั่น“Kawebook” โดยมีทั้งในส่วนที่เป็นวรรณกรรมแปลจากภาษาต่างประเทศ นิยายแปล วรรณกรรม จากสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย และจากนักเขียนอิสระ เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวงการหนังสือให้เข้าสู่โลกออนไลน์ ภายใต้การสนับสนุนนักเขียน นักแปล สำนักพิมพ์ และค่ายการ์ตูน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงหนังสือได้ง่ายขึ้นและสามารถเชื่อมกันทั่วโลก

นายจรัญพัฒณ์ บุญยัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) หรือ GLORY กล่าวว่า “บริษัทฯ มีเป้าหมายในการขยายการส่งออกงานวรรณกรรมไทยไปยังประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักมากขึ้น โดยมีภาษาอังกฤษเป็นตัวกลางในการแปลภาษา รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มให้รองรับภาษาต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตลาด Platform อ่าน-เขียน หนังสือออนไลน์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ”

ในขณะที่ผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2561 – 2563 GLORY มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของลิขสิทธิ์วรรณกรรมบน Platform รวมไปถึงการพัฒนา Platform และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า และบริการที่หลากหลาย โดยมีรายได้จากการจำหน่ายและบริการ 42.52 ล้านบาท 73.49 ล้านบาท และ 78.42 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 35.81 % ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรก  ปี 2564 มีรายได้จากการจำหน่ายและบริการ 45.44 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตขึ้น 19.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 7.40 ล้านบาท

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GLORY  กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายพัฒนา Platform ใหม่เพิ่มเติม โดยเล็งขยายฐานลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายนักอ่านเพศหญิงมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทฯ ได้รับการจดจำจากความโดดเด่นในแนววรรณกรรมหมวดมันส์ ซึ่งมีฐานลูกค้าในกลุ่มเพศชายอายุ18 – 40 ปีเป็นหลัก โดย Platform ใหม่จะมีการพัฒนา Feature ที่จะมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายนักอ่านเพศหญิง และกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มเติม เพื่อขยายฐานลูกค้านักอ่านในกลุ่มใหม่ๆ รวมถึงพัฒนา Platform ให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน (UX) มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ GLORY มีทุนจดทะเบียน 135 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 100 ล้านบาท มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ประกอบด้วย บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 102 ล้านหุ้น คิดเป็น 51% และหลังเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 37.78% นายจรัญพัฒณ์ บุญยัง ถือหุ้นจำนวน 90 ล้านหุ้น คิดเป็น 45% และหลังเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 33.44% โดยภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทฯ จะมีทุนชำระแล้วเต็มจำนวน โดยจะแบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 270 ล้านหุ้น