‘ปฐม สุทธาธิกุลชัย’ สร้างสะพานบุญชักชวนหมู่มิตร ไถ่อิสรภาพโค-กระบือ 19 ชีวิต

คุณปฐม สุทธาธิกุลชัย ประธานกรรมการ บริษัท ด่านสุทธาการ พิมพ์ จำกัด อาสาเป็นสะพานบุญเชื่อมเพื่อนพ้องมวลหมู่มิตรที่ใกล้ชิดสนิทกันเชิญชวนร่วมบริจาคเงิน จัดกิจกรรมไถ่ชีวิต-กระบือ และปันน้ำใจให้แก่เกษตรกรผู้ยากไร้ ตามโครงการอันเนื่องจากพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 อันได้แก่ ธนาคารโค-กระบือ

ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อร่วมอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทย คิดเป็นจำนวนเงิน 532,850.11 บาท สามารถไถ่อิสรภาพได้ 19 ชีวิต แบ่งเป็นโค 14 ชีวิต(ตัวละ 27,000 บาท) กระบือ 5 ชีวิต(ตัวละ 30,000 บาท)   และได้นำไปทำพิธีมอบแล้วที่ศูนย์ไถ่ชีวิตโค-กระบือ โรงฆ่าสัตว์บริษัทวัฒนามีท โปรดักส์  จำกัด อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้

คุณปฐม ในฐานะประธานโครงการไถ่ชีวิตโค-กระบือในครั้งนี้ กล่าวว่า ในช่วงที่สังคมไทยประสบชะตากรรมกับสงครามเชื้อโรคโควิด-19 เช่นเดียวกันกับคนทั่วโลก และอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก มีงานลดน้อยถอยลงอย่างมาก จึงได้ถือโอกาสที่มีเวลาว่างคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา พร้อมกับตั้งคำถามให้ตัวเองว่า เราได้ทำความดีอะไรให้กับผู้อื่นหรือสังคมแล้วหรือยัง ซึ่งสิ่งที่คิดได้คือ นอกเหนือการบริจาคเงินและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวแก่ผู้ยากไร้โดยตรงแล้ว ยังคิดว่า สามารถอาสาเป็นสะพานบุญเชื่อมมวลหมู่มิตรเพื่อเพิ่มการช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้ได้มากขึ้นด้วย

บีโอไอ ชี้เทรนด์การลงทุนอุตสาหกรรม BCG มาแรง

บีโอไอ ชี้ทิศทางการลงทุนตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทวีบทบาทสำคัญ สอดรับกับแนวทางพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ขององค์การสหประชาชาติ ระบุสถิติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการกลุ่ม BCG ตั้งแต่ปี 2558 ถึง กันยายน 2564 มีมูลค่ารวมเกือบ 7 แสนล้านบาท พร้อมผลักดันสตาร์ทอัพไทยให้แข็งแกร่งเตรียมร่วมมือ NIA และ สอวช. จัดมหกรรม BCG Startup Investment Day ต้นปี 2565

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ด้วยสภาพการณ์การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงอันเนื่องมาจากเทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ และการที่ประเทศไทยต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ รัฐบาลจึงได้กำหนดให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular – Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องการต่อยอดจุดแข็งของไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยแนวทางพัฒนานี้ยังถูกจัดอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันมาตรการส่งเสริมการลงทุนครอบคลุมกิจการจำนวนมากตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง และบีโอไอได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามแนวทาง BCG ในหลายด้าน เช่น

· มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานทดแทน หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรการด้านการยกระดับไปสู่มาตรฐานเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล เช่น มาตรฐานการรับรองป่าไม้ตามแนวทางขององค์การพิทักษ์ป่าไม้ (Forest Stewardship Council: FSC) เป็นต้น

· มาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งครอบคลุมถึงการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่น
ในการพัฒนากิจการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกข้าวแบบปล่อยมีเทนต่ำ เป็นต้น

· ปรับปรุงประเภทกิจการและสิทธิประโยชน์โดยให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม คือ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและโรงแยกก๊าซ ในกรณีใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน โดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี และกิจการห้องเย็น หรือกิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น หากใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี

จากสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกิจการในกลุ่ม BCG ตั้งแต่ ปี 2558 – กันยายน 2564 มีจำนวน 2,829 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 677,157 ล้านบาท โดย 5 อันดับแรกกิจการ BCG ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ 1. กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า ที่เป็นพลังงานหมุนเวียน (รวมถึงไฟฟ้าจากขยะ) 289,007 ล้านบาท 2. กิจการผลิตหรือถนอมอาหาร เครื่องดื่ม วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive) หรือสิ่งปรุงอาหาร (Food Ingredient) โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย 94,226 ล้านบาท 3. กิจการผลิตเคมีภัณฑ์หรือพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นรูปต่อเนื่องจากการผลิตพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในโครงการเดียวกัน 40,998 ล้านบาท 4. กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุทางการเกษตร 25,838 ล้านบาท 5. กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ 22,250 ล้านบาท

โดยเฉพาะในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2564 (ม.ค. – ก.ย.) มีสัญญาณบ่งชี้อัตราเติบโตที่ดี โดยมีกิจการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 564 โครงการ จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 74 และมีมูลค่าลงทุน 128,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อนร้อยละ 160 และสูงกว่ามูลค่าการลงทุนในปี 2563 ทั้งปี (93,883 ล้านบาท) โดยมีตัวอย่างบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนภายใต้กิจการ BCG อาทิ

o กลุ่มโปรตีนทางเลือก (Alternative Protein)

– บริษัท โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย โครงการผลิตโปรตีนจากจิ้งหรีด

– บริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค (ประเทศไทย) จำกัด โครงการผลิตโปรตีนผงจากหนอนแมลงวันผลไม้

o กลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ Biotechnology

– บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด โครงการผลิตผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนบำบัด เพื่อรักษาโรคสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาหลัก

– บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด โครงการผลิตยาจากเทคโนโลยีชีวภาพหรือชีวเภสัชภัณฑ์ที่ได้จากการใช้
ต้นยาสูบเป็นเจ้าบ้าน (HOST)

o กลุ่มพลาสติกชีวภาพ Bioplastic

– บริษัท โททาล คอร์เบียน พีแอลเอ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เนเชอร์เวิร์คส์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด โครงการผลิตโพลีแลคติค แอซิด (Polylactic Acid : PLA) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายประเภท

– บริษัท พีทีที เอ็มซีซี ไบโอเคม จำกัด โครงการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพชนิด PBS (Polybutylene Succinate)

– บริษัท ไทยวา จำกัด โครงการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด TPS (THERMOPLASTIC STARCH) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังของไทย

– บริษัท ฟรุตต้า ไบโอเมด จำกัด โครงการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PHA (POLYHYDROXYALKANOATE) และ PHA BIOPLASTIC COMPOUND และผลิตภัณฑ์ขึ้นรูปจากพลาสติก PHA ซึ่งเป็นกิจการที่นำของเหลือทางการเกษตร

o กลุ่มพลาสติกรีไซเคิลเกรดอาหาร (Food-Grade Recycled Plastics)

– บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด โครงการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด rPET (FOOD GRADE) เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท ALPLA TH RECYCLING BETEILIGUNGSGELLSCHAFT
M.B.H ประเทศออสเตรีย ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม ALPLA ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกรายใหญ่ของยุโรป

– บริษัท อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ส์ จำกัด (มหาชน) โครงการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด
PET เม็ดพลาสติก PET รีไซเคิล (rPET) สำหรับการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสอาหาร

– บริษัท เซอร์คูลาร์ พลาส จำกัด โครงการวิจัยและพัฒนาระดับโรงงานสาธิตเพื่อผลิต PYROLYSIS NAPHTHA หรือ CIP-N โดยเป็นการวิจัยในขั้นทดลองในห้องปฏิบัติการ (LAB SCALE) และการวิจัยพัฒนาระดับนำร่อง (PILOT SCALE)

“โมเดลเศรษฐกิจ BCG จะเป็นแนวทางในการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยการใช้จุดแข็งที่ไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยการสร้างความสมดุลจากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ ทั้งนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจตามโมเดล BCG ของไทย จะนำไปสู่การปรับกระบวนทัศน์ และการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs และคาดว่าในอีก 5 ข้างหน้าอุตสาหกรรม BCG ของไทยจะมีมูลค่าร้อยละ 25 ของ GDP ซึ่งบีโอไอพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่จะนำเป้าหมายดังกล่าวให้เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน” เลขาธิการบีโอไอ กล่าว

เลขาธิการบีโอไอ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนกิจการในกลุ่ม BCG ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ บีโอไอร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และหน่วยงานพันธมิตร เตรียมจัด “มหกรรม BCG Startup Investment Day” ในช่วงต้นปี 2565 เพื่อสนับสนุนให้ Startup ที่มีศักยภาพได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน และมาตรการสนับสนุนต่างๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ Startup ให้แข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้ด้วย

 

“คอตโต้” ถอดรหัสเทรนด์ RE desire for life 2022

บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จํากัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ชั้นนำภายใต้แบรนด์ “คอตโต้” (COTTO) ขอแนะนำ สุขภัณฑ์กลุ่ม Smart Toilet สุขภัณฑ์ที่ให้มากกว่าความสะอาด เพราะโดดเด่นเรื่องความสมาร์ต และความสวยด้วย เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่และตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการสร้าง Dream Space เพื่อเติมเต็มพื้นที่แห่งความสุขในแบบที่ทุกคนต้องการ โดยสินค้าไฮไลต์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ สุขภัณฑ์อัตโนมัติรุ่นล่าสุด Submarine Series ดีไซน์พิเศษ Two Tone เพิ่มแถบอะคลิลิคสีดำโฉบเฉี่ยวบนฝาปิดสุขภัณฑ์ที่เรียบหรู ดีไซน์ให้หน้ายาวเพื่อความสบายขณะนั่ง ผิวด้านข้างเรียบเป็นผืนใหญ่ด้วยวัตกรรมการผลิตแบบใหม่ที่เรียบและแข็งแรงกว่าเดิม พร้อม ฟังก์ชันอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ฝาที่เปิดปิดเองด้วยระบบเซ็นเซอร์ ระบบอุ่นทั้งฝารองนั่ง ระบบชำระล้างอัตโนมัติ ระบบเป่าลมอุ่น นอกจากนี้ยัง ใส่ใจเรื่องความสะอาด เป็น 2 เท่า ด้วยการเพิ่มสารเคลือบยังยั้งแบคทีเรีย 99% ในตัวโถ และก้านฉีดชำระสแตนเลสที่ผสมสารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ระบบฟลัชทรงพลัง ประหยัดน้ำ ควบคุมการทำงานด้วยรีโมตคอนโทรล และยังมีระบบอัตโนมัติอื่น ๆ อีกครบครัน นอกจากนี้ ยังมี สุขภัณฑ์ Touchless Toilet ที่มาพร้อมฟังก์ชันระบบชำระล้างไร้สัมผัส Waving Sensor System ชำระล้างทันทีเพียงใช้มือโบกผ่านเซ็นเซอร์ตัวส่งสัญญาน ที่สามารถติดตั้งได้ง่ายในทุกตำแหน่งที่ต้องการเพื่อความสะดวกในการใช้งาน โดยไม่ต้องเดินสายไฟฟ้า ใช้เพียงถ่านอัลคาไลน์

โดยสุขภัณฑ์กลุ่ม Smart Toilet ของคอตโต้ทุกผลิตภัณฑ์ใช้ นวัตกรรม Ultra Clean+ สารเคลือบตัวใหม่ หนึ่งเดียวจากคอตโต้ ที่สามารถลดการสะสมแบคทีเรียได้เอง 99% ภายใน 24 ชม. ตลอดอายุการใช้งาน

นอกจากสุขภัณฑ์แล้ว คอตโต้ยังเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้ห้องน้ำด้วย กระเบื้องยับยั้งแบคทีเรีย ที่ยับยั้งแบคทีเรียได้มากกว่า 90% ตลอดอายุการใช้งาน ปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม

ผู้สนใจพบกับสุขภัณฑ์กลุ่ม Smart Toilet และสินค้านวัตกรรมอื่น ๆ อีกมากมายที่คอตโต้คัดสรรมาเพื่อห้องน้ำที่สะอาด สมาร์ต และสวยที่ www.cotto.com/virtual-showroom ตัวแทนจำหน่าย COTTO ทั่วประเทศ และ COTTO Bathroom Shop ดอนเมือง ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ www.facebook.com/cottoofficial หรือ Line @COTTOBathroomShop

OCEAN ประกาศลุยอสังหาฯ เปิดมูลค่าโครงการในมือเกือบหมื่นล้าน

OCEAN ประกาศบุกตลาดอสังหาฯ ขนทัพมาทั้งคอนโดฯ โครงการบ้านเดี่ยว และ Office Building ต้นปี 65 เตรียมเปิดโปรเจคใหม่ THE VALOR โครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ย่านรามอินทรา มูลค่า 480 ล้านบาท คาดเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ต้นปี 65 หนุนยอดขายเติบโตแข็งแกร่ง จากปัจจุบันมี Backlog กว่า 500 ล้านบาท ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง “ธีร ชุติวราภรณ์” เผยโครงการในมือ และโปรเจคในอนาคตรวมมูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2565 ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯพร้อมบุกตลาดอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค ทั้งในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียม โครงการบ้านเดี่ยว โครงการอาคารสำนักงานให้เช่า เพื่อรองรับการเติบโตในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า (2565-2568) โดยมีมูลค่าโครงการรวมกันเกือบ 1 หมื่นล้านบาท สนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต

ทั้งนี้ ประกอบด้วย โครงการ IKON SUKHUMVIT 77 มูลค่า 1,170 ล้านบาท คาดว่าจะปิดโครงการภายในปี 2565 โดยมี Backlog ที่คาดว่าจะโอนจนจบปี 2564 ยังมีอยู่เกือบ 80 ล้านบาท ซึ่งมีจุดเด่นทำเลที่ตั้ง และตกแต่งครบ ให้กับลูกค้าแบบครบวงจร มาพร้อมกับสโลแกน “ก้าวเดียวถึงห้างใจกลางอ่อนนุช” โครงการมีประตูเชื่อม กับ People Park Community Mall ที่ครบครัน Co-Working Space 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ราคาเริ่มต้นปัจจุบันอยู่ที่ 1.99 ล้านบาท

โครงการ KON UDOMSUK มูลค่า 600 ล้านบาท เป็นโครงการที่เน้นการดีไซน์ที่แตกต่าง ใช้วัสดุ พรีเมี่ยม ในราคาที่ดีกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะแบบห้องขายดี คือห้อง Loft ที่ Sold Out ไปเป็นที่เรียบร้อย บนทำเลศักยภาพในราคาที่แข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างชนะขาด ทำให้โครงการได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก มียอดจองมากกว่า 80% ภายใต้แรงกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 โดยปัจจุบันมี backlog อยู่ที่ 478 ล้านบาท คาดการรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2565-2566
โครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ย่านรามอินทรา โครงการ THE VALOR มูลค่า 480 ล้านบาท ซึ่งโดดเด่นด้วยความเป็นส่วนตัว เพียง 25 หลัง เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน เพราะเป็นตลาดที่ยังมีกำลังซื้อที่เติบโตได้ต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและจะเริ่มโอนในต้นปี 2565

โครงการ V TOWER Office Building ตั้งอยู่บน PRIME Location ติดสถานีรถไฟฟ้า พระโขนง ซึ่งในอนาคตจะเป็น New CBD (Central Business District) เป็น Interchange Station ของรถไฟฟ้า 2 สาย คือ สายสีเทา และสายสีเขียวมูลค่าโครงการ 5,500 ล้านบาท โดยแผนจะเริ่มดำเนินกิจการในปี 2566 Office Building พื้นที่เช่า (พื้นที่ขาย) 12,500 ตร.ม. ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ พื้นที่ให้เช่าของโครงการมีขนาด 450 – 550 ตารางเมตรต่อชั้น ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจของผู้เช่าในเรื่องการเช่าทั้งชั้น ส่งผลให้สามารถปล่อยเช่าได้ทั้งอาคารในระยะเวลาอันสั้น

โครงการ The 38 Sukhumvit มูลค่าโครงการกว่า 1,050 ล้านบาท วางแผนรับรู้รายได้ในปี 2567 ตั้งอยู่ในสุขุมวิท 38 ซึ่งเป็นซอยที่ทุกคนทราบดีว่าเป็นหนึ่งในถนนที่ดีที่สุดในบริเวณทองหล่อ และห่างจากรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อเพียง 750 เมตรเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ชูจุดเด่นเรื่อง โครงการที่มียูนิตน้อยที่สุดในคอนโดละแวกเดียวกัน เพียง 95 ยูนิตเท่านั้น และราคาเริ่มต้นต่อตารางเมตรไม่เกิน 200,000 บาทซึ่งนับว่าดีกว่าคู่แข่งซึ่งบนทำเลเดียวกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นโครงการที่สร้างเสร็จแล้วหรือเตรียมเปิดขาย ก็เริ่มต้นที่ราคาสูงกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร

“การขยายการลงทุนโครงการอสังหาฯในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญของ OCEAN สอดรับกับการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บริษัท อัลฟ่า ดิวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (ALPHAX) ซึ่งหมายถึง “Leader” หรือผู้นำในสิ่งที่ดำเนินการอยู่ อาทิ ธุรกิจอสังหาฯ ในแต่ะโครงการจะมีจุดเด่นที่มีความเป็นผู้นำของโครงการนั้นๆ อาทิ ทำเลที่ตั้ง การออกแบบ-ดีไซน์ การบริหารส่วนกลาง ที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษในแต่ละจุด และปัจจุบันได้รุกสู่ตลาด Office Building โดยมั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้กับบริษัท ซึ่งยังไม่นับรวมแผนรุกสู่ธุรกิจกัญชง-กัญชา ที่คาดว่าจะมีข่าวดีในช่วงปลายปีนี้ และพร้อมส่งออเดอร์ให้กับลูกค้าในปี 2565 ซึ่งจะเข้ามาเสริมทัพ ผลักดันรายได้และกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตามแผนงานที่วางไว้” นายธีร กล่าวในที่สุด

EA ไตรมาส 3 กำไรพุ่ง 44% เริ่มรับรู้รายได้จาก E-BUS

EA มั่นใจมาแน่! กระแสรถ EV รัฐบาลจ่อออกมาตรการสนับสนุนใช้รถไฟฟ้า ทั้งในส่วนของประชาชนทั่วไปและหน่วยงานภาครัฐ รับกระแสลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โชว์ผลงาน Q3/64 ตามนัด กำไรพุ่งแตะ 1,616.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.44% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน บุ๊กรายได้ขายรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ฟาก “อมร ทรัพย์ทวีกุล” มั่นใจแนวโน้มผลงานเติบโตต่อเนื่อง จาก New S-Curve ธุรกิจแบตเตอรี่-ยานยนต์ไฟฟ้า และจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่สร้าง Recurring Income

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นธุรกิจหลัก สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) จากการขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ทั้งในส่วนของโครงการโซลาร์ฟาร์ม และวินด์ฟาร์ม ขนาดกำลังการผลิตรวม 664 เมกะวัตต์ และจากธุรกิจแบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็น New S-Curve ที่จะทยอยส่งมอบรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้กับลูกค้า โดยในส่วนของโรงงานผลิตรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ในจังหวัดฉะเชิงเทรา หลังเสร็จครบทั้งหมดจะมีกำลังการผลิตรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ 3,000 คันต่อปี

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลเตรียมออกมาตรการสนับสนุนใช้รถ EV ทั้งในส่วนของประชาชนทั่วไป และส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐ เปลี่ยนมาใช้รถ EV เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจใหม่ของกลุ่ม EA เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ จากการขายรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้กับภาคเอกชน และเจาะตลาดหน่วยงานภาครัฐ

ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อย ในไตรมาส 3/64 มีกำไรสุทธิ 1,616.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 497.26 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44.44% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิรวม 1,119.00 ล้านบาท ส่วนในงวด 9 เดือน ของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 4,218.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 498.28 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13.39% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,720.48 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/64 ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ได้รับปัจจัยหนุนจากทั้งจากธุรกิจไบโอดีเซล โรงไฟฟ้า ธุรกิจแบตเตอรี่ และธุรกิจผลิตรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ที่ทยอยส่งมอบรถให้กับลูกค้า ตามแผนงานที่วางไว้

บริทาเนีย ชูแคมเปญ BRITANIA FEEL GOOD รับไฮซีซั่นอสังหาฯ

บมจ.บริทาเนีย ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำ เปิดตัวแคมเปญใหญ่ “BRITANIA FEEL GOOD” รับไฮซีซั่นอสังหาฯ ช่วงโค้งสุดท้ายไตรมาส 4/64 ตอกย้ำแนวคิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและบริการทั้งก่อนและหลังการขายที่แตกต่าง สร้างความรู้สึกที่ดีผ่าน คอนเซ็ปต์หลัก GOOD CHOICES, You Choose  GOOD PLACES from The Best Location  GOOD SOCIETY with Sharing Joy GOOD DESIGN, Own Your Style และ GOOD CARE with Exclusive Facilities นำเสนอโครงการบ้านและทาวน์โฮมพร้อมอยู่ สะท้อนการขยายอาณาจักรธุรกิจครอบคลุมทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล 

นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแนวคิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยให้ความสำคัญกับการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขายเพื่อสร้างความแตกต่างจากผู้พัฒนาโครงการรายอื่นๆ รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้แก่ลูกค้าและผู้อยู่อาศัยในโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ ภายใต้การให้บริการที่ไม่ได้จำกัดแค่การดูแลในพื้นที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ดูแลไปถึงการช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านที่ต้องการความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย  

บริษัทฯ จึงเปิดตัวแคมเปญใหม่ ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ภายใต้ชื่อ “BRITANIA FEEL GOOD” รับไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สำหรับบ้านและทาวน์โฮมพร้อมอยู่ 13 โครงการ ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 2.39 – 25 ล้านบาท โดยมุ่งสื่อสารจุดเด่นแคมเปญภายใต้แนวคิด “บริทาเนีย ความรู้สึกดีๆ ที่อยู่ด้วยกัน” ซึ่งเกิดจากการศึกษา Customer Journey เพื่อเข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัยตั้งแต่ก่อนที่จะมาเป็นลูกค้าของบริษัทฯ และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในเชิงลึก (Customer Insight) เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด สร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและยกระดับคุณภาพชีวิตแก่ลูกบ้าน โดยแคมเปญดังกล่าวมุ่งสร้างความรู้สึกที่ดีแก่ลูกค้าผ่าน 5 คอนเซ็ปต์หลัก ได้แก่ 

1. GOOD CHOICES, You Choose รู้สึกดีด้วยทางเลือกที่หลากหลายและตรงใจครอบคลุมทุกความต้องการกับบ้านหลากดีไซน์ ทำเลคุณภาพและข้อเสนอพิเศษ พร้อมบริการให้คำปรึกษาจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การซื้อบ้านเป็นเรื่องง่ายและราบรื่น  

 2. GOOD PLACES from The Best Location รู้สึกดีที่ได้อยู่ในสถานที่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของการใช้ชีวิต เชื่อมต่อการใช้ชีวิตทุกไลฟ์สไตล์ด้วยทำเลคุณภาพ  

3. GOOD SOCIETY with Sharing Joy รู้สึกดีที่ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางสังคมคุณภาพ และปลอดภัยได้มาตรฐาน มอบประสบการณ์การอยู่อาศัยในสังคมแห่งการแบ่งปันที่มากกว่าความเป็นส่วนตัว เพื่อสร้างคุณภาพที่ดีของคุณและครอบครัวอย่างยั่งยืน  

4. GOOD DESIGN, Own Your Style รู้สึกดีที่ทุกมุมของบ้านใส่ใจในทุกรายละเอียด ก้าวข้ามทุกข้อจำกัดของการออกแบบ ให้สามารถดีไซน์การใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้อย่างลงตัว รวมถึงสัตว์เลี้ยงแสนรัก 

5. GOOD CARE with Exclusive Facilities รู้สึกดีที่ได้รับการดูแลเหมือนคนพิเศษ ด้วยการยกระดับชีวิตให้สมบูรณ์แบบ กับพื้นที่ส่วนกลางให้ได้ทำกิจกรรมที่ชอบและบริการพิเศษตอบโจทย์ทุกความชอบตลอดการอยู่อาศัย 

“เราต้องการให้แคมเปญ BRITANIA FEEL GOOD สื่อสารถึงจุดยืนและแนวคิดที่แตกต่างในการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบและการให้บริการที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเพื่อให้การซื้อบ้านเป็นเรื่องง่าย การใส่ใจกับทำเลคุณภาพเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิต สร้างประสบการณ์อยู่อาศัยที่ดีในสังคมคุณภาพ ให้ความสำคัญกับการออกแบบบ้านที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด และมอบประสบการณ์การดูแลสุดพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เช่น บริการจองคิวช่างทำผม, ทำความสะอาดบ้าน, ดูแลสัตว์เลี้ยง เป็นต้น” นางศุภลักษณ์ กล่าว  

นอกจากนี้ บริษัทฯ จะมุ่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการขยายธุรกิจที่ครอบคลุมทำเลศักยภาพ เพื่อตอบโจทย์ทางเลือกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่โครงการ โดยนำเสนอโครงการบ้านจัดสรรและทาวน์โฮมบนทำเลใกล้ถนนสายหลัก ทางด่วน และสนามบิน สามารถเชื่อมต่อทุกเส้นทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจและใจกลางเมือง เช่น โครงการแกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.12, โครงการแกรนด์ บริทาเนีย วงแหวน รามอินทรา เป็นต้น และโครงการบ้านจัดสรรและทาวน์โฮม ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ ทำเลใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า เชื่อมต่อทุกจุดหมายเพื่อการใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล  

WHART เดินหน้าลงทุนเพิ่ม 3 โครงการ มูลค่า 5.55 พันล้าน

กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (เพิ่มทุนครั้งที่ 6) ประกาศเดินหน้าลงทุนเพิ่ม 3 โครงการ มูลค่ารวมไม่เกิน 5.55 พันล้านบาท มีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 184,329 ตารางเมตร  ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ เชื่อมต่อทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และผู้เช่าจัดเป็นบริษัทชั้นนำของกลุ่มธุรกิจ E-Commerce และ FMCG ที่กำลังมาแรงทั้ง Alibaba Group- Shopee Xpress – ทีดี ตะวันแดง สร้างความมั่นคงจากสัญญาเช่าระยะยาว และผลตอบแทนอย่างมั่นคง พร้อมเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินไปแตะที่ระดับ 48,000 ล้านบาท  

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน (Sponsor) และผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า กองทรัสต์ WHART เป็นกองทรัสต์ที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้าและโรงงาน ที่สัญญาระยะยาวส่วนใหญ่จากผู้เช่าหลากหลายแบรนด์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปในฐานะผู้สนับสนุนและผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ได้ขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) อย่างต่อเนื่อง โดยรูปแบบการพัฒนาโครงการของ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปจะโฟกัสที่โครงการ Built- to-Suit และ General Warehouses ที่มีมาตรฐานระดับพรีเมี่ยม รวมทั้งยังมีการให้บริการโซลูชั่นครบวงจร ทั้งระบบสาธารณูปโภค แพลตฟอร์มโครงสร้างด้านพลังงาน และระบบดิจิตอล โดยโครงการของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ความต้องการสูง ในบริเวณถนนบางนา-ตราด และพื้นที่ที่สอดรับกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งพื้นที่บนจุดยุทธ์ศาสตร์ดังกล่าวถือเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเป้าหมายหลักด้านโลจิติกส์ของประเทศไทย

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน กองทรัสต์ WHART มีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนในกรรมสิทธิ์ สิทธิการเช่าและสิทธิการเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว 31 โครงการ หรือมีพื้นที่เช่าอาคารประมาณ 1,398,352 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินรวมของที่ระดับ 42,638.93 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปที่ยังคงเป็นผู้สนับสนุนและผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ในการนำทรัพย์สินคุณภาพระดับพรีเมี่ยมเข้ากองทรัสต์ WHART ทุกปีต่อเนื่อง

“ในปีนี้ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปได้นำทรัพย์สินจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ ดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (วังน้อย 62) โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3)  และ โครงการดับบลิวเอชเอ อี คอมเมิร์ซ พาร์คตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เข้ากองทรัสต์ WHART (เพิ่มทุนครั้งที่6) โดยทั้ง 3 โครงการ มีกลุ่มผู้เช่าในกลุ่มธุรกิจที่เติบโต อาทิ กลุ่มธุรกิจ E-Commerce , FMCG และ Logistic ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้อานิสงส์จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”

นายอนุวัฒน์ จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) กล่าวว่า สำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่ 6 เพื่อลงทุนในทรัพย์สินหลักเพิ่มเติมครั้งที่ 7  เป็นการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมจำนวน 3 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 5,550 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักในครั้งนี้ จะส่งผลให้ WHART มีมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์แตะที่ระดับกว่า 48,000 ล้านบาท และมีพื้นที่ เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 1.58 ล้านตารางเมตร ซึ่งทำให้กองทรัสต์ WHART รักษาความเป็นผู้นำของกองทรัสต์ประเภทศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้าและโรงงานที่ใหญ่ที่สุดประเทศไทย อีกทั้งการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักในครั้งนี้ ยังช่วยสร้างการเติบโตและมั่นคงให้กับรายได้ของกองทรัสต์อย่างมั่นคงและยั่งยืน และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นหน่วยอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับความโดดเด่นของทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของโครงการที่กองทรัสต์ WHART จะเข้าลงทุนเป็นโครงการคลังสินค้าประเภท Built-to-Suit จำนวน 2 โครงการ และโครงการประเภท General Warehouses จำนวน 1 โครงการ โดยมีพื้นที่เช่าอาคารรวม 3 โครงการประมาณ 184,329 ตารางเมตร  ประกอบด้วย

  1. โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (วังน้อย 62) ตั้งอยู่ที่ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ24,150ตารางเมตร และพื้นที่เช่าหลังคารวมประมาณ 23,205 ตารางเมตร
  2. โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3) ตั้งอยู่ที่อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ มีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 30,040 ตารางเมตร
  3. โครงการดับบลิวเอชเอ อี คอมเมิร์ซ พาร์คตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่พื้นที่EECและโครงการนี้ได้รับการกำหนดให้เป็นพื้นที่ส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : กลุ่มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์บางปะกง ด้วยเช่นกัน  โดยมีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 130,139 ตารางเมตร

โดยทั้ง 3 โครงการมีกลุ่มผู้เช่าที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตและมีความมั่งคง อย่าง Alibaba Group Shopee Xpress และ ทีดี ตะวันแดง ดังนั้นการเพิ่มทุนครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยทรัสต์อย่างมีเสถียรภาพ พร้อมรับศักยภาพในการการเติบโตในอนาคต

“ความโดนเด่นการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนอย่างเห็นได้ชัด โดยจะเห็นจากพื้นที่เขต EEC เพิ่มขึ้นจาก 14.1% เป็น 20.6% ซึ่งถือเป็นการสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่เน้นการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ  ในขณะที่สัดส่วน Built to Suit เพิ่มขึ้นจาก 55% เป็น 58% ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพรายได้ความมั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้การเพิ่มทุนครั้งนี้ยังขยายสัดส่วนลูกค้า E-Commerce อย่างมีนัยสำคัญจาก 6% เป็น 17% และทำให้กองทรัสต์เองมีผู้เช่ารายใหญ่ในกลุ่ม E-Commerce เกือบครบทุกราย ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, Shopee Xpress, JD Central, Kerry และ Flash Express เป็นต้น นอกจากนี้ทรัพย์สินที่จะเข้าลงทุนในครั้งนี้ยังมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยในระดับสูงถึงร้อยละ 92 และมีอายุสัญญาเช่าคงเหลือของผู้เช่าเฉลี่ย (WALE) หลังทำการเพิ่มทุน อยู่ในระดับสูงถึง 3.5 ปี เนื่องจากโครงการที่กองทรัสต์ลงทุนส่วนใหญ่เป็นประเภท Built-to-Suit ซึ่งมีสัญญาเช่าของผู้เช่าที่ค่อนข้างยาว โดยอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยของทรัพย์สินที่กองทรัสต์จะลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้อยู่ที่ 10.7 ปี

ด้าน นายสาวิตร ศรีศรันยพงศ์ ผู้บริหารกลุ่มงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ WHART กล่าวว่า กองทรัสต์ WHART เป็นผู้นำกองทรัสต์ในกลุ่มคลังสินค้าและอุตสาหกรรม ที่มีปัจจัยสนับสนุนความแข็งแรง และโดดเด่นในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การที่มีทรัพย์สินในทำเลศักยภาพที่เป็นศูนย์กลางจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย ความมั่นคงทางรายได้จากสัญญาเช่าระยะยาว เนื่องจากคลังสินค้าที่ WHART ลงทุนส่วนใหญ่เป็นคลังสินค้าประเภท Built-to-Suit อีกทั้งผู้เช่าพื้นที่ในทรัพย์สินของกองทรัสต์ เป็นผู้เช่าชั้นนำในกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโต ซึ่งความแข็งแกร่งเหล่านี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นจากประวัติการจ่ายผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่จัดตั้งกองทรัสต์ และทรัพย์สินที่กองทรัสต์ WHART จะลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ทั้ง 3 โครงการจะมาช่วยเสริมความแข็งแกร่งเดิมให้กับกองทรัสต์ WHART  โดยประมาณการจ่ายประโยชน์ตอบแทนและเงินลดทุนอ้างอิงงบกำไรขาดทุนและการจ่ายประโยชน์ตอบแทนตามสถานการณ์สมมติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ประมาณ 0.80 บาทต่อหน่วยภายหลังการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งนี้

ในการเพิ่มทุนของกองทรัสต์ WHART ครั้งนี้จะเสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวนไม่เกิน 385,898,000 หน่วย โดยจะเสนอขายให้แก่ ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อหน่วยทรัสต์ที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 21 ต.ค.2564 ในอัตราส่วน 1 หน่วยทรัสต์เดิมต่อ 0.1181 หน่วยทรัสต์ที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติม ทั้งนี้คาดว่าการเสนอขายหน่วยทรัสต์ในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยสำหรับผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อ สามารถจองซื้อ ระหว่างวันที่ 8-12 พ.ย.2564 ซึ่งผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อสามารถจองซื้อตามสิทธิที่ได้รับจัดสรร เกินกว่าสิทธิ หรือน้อยกว่าสิทธิที่ได้รับการจัดสรรก็ได้และจะทำการชำระเงินจองซื้อที่ราคาสูงสุด 12.90 บาท/หน่วย และหากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่า ราคาสูงสุดจะทำการคืนเงินส่วนต่างราคาให้กับผู้จองซื้อ และสำหรับประชาชนทั่วไป (Public Offering) ซึ่งเป็นบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ จะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 16-19 พ.ย.2564 โดยการจองซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ K-My Invest หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา

JCK เตรียมเปิดบ้านรับนักลงทุนต่างชาติ ดีเดย์ 1 พ.ย.นี้

JCK พร้อมต้อนรับนักลงทุนต่างชาติ กรณีรัฐบาลประกาศเปิดประเทศดีเดย์ 1 พฤศจิกายน 2564 นี้ หลังโควิด-19 พ่นพิษกระทบให้การค้าการลงทุนสะดุด มั่นใจจะสามารถปิดการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดีเฟส 2 ได้ ประมาณ 60 ไร่ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ และเตรียมเดินหน้ารุกธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จ่อเปิดโครงการบ้านเดี่ยวในจังหวัดเชียงรายต้นปี 65  กรุยทางรับรถไฟความเร็วสูงเส้นทางคุนหมิง-สปป.ลาว เปิดให้บริการปลายปีนี้

นายกฤตวัฒน์ เตชะอุบล กรรมการบริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JCK เปิดเผยว่า  ตามที่รัฐบาลประกาศเตรียมเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤจิกายน 2564 นั้น บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับผลเชิงบวก เนื่องจากการค้าและการลงทุนที่เคยชะงัก จากสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะกลับมาคึกคัก และคาดว่าจะสนับสนุนให้บริษัทฯสามารถขายที่ดินในนิคม อุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส 2 ได้ประมาณ 60 ไร่ ภายในสิ้นปี 2564 นี้

ในส่วนของธุรกิจแวร์เฮ้าส ที่มีจำนวน 1 แสนตารางเมตรนั้น ได้ปล่อยให้เช่าไปแล้วในสัดส่วน 60% คาดว่าภายหลังการเปิดประเทศจะทำให้เกิดความต้องการเช่าและซื้อแวร์เฮ้าส์มากขึ้น

“แนวโน้มรายได้ของบริษัทฯ จะมีทิศทางที่ดีขึ้น และคาดว่าในปี 2565 เชื่อมั่นว่าสถานการณ์ของโควิด-19 จะคลี่คลายมากว่านี้ ประชาชนได้รับวัคซีนในวงกว้าง คาดว่าจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ทำให้มั่นใจว่าการค้าและการลงทุนจะกลับมาคึกคักเข้าสู่ภาวะปกติ”

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงเดินหน้าตามแผนกระจายฐานรายได้ด้วยการรุกสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงราย เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ มีโอกาสขยายตัวค่อนข้างสูง และเป็นจังหวัดที่เชื่อมรอยต่อไปยังต่างประเทศ  ข้อสำคัญรถไฟเส้นทางคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน – นครหลวงเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) กำหนดเปิดในช่วงปลายปีนี้ สามารถดึงการค้าและการลงทุนจากจีนเข้ามาได้ และเป็นจังหวะเดียวกับรัฐบาลประกาศเปิดประเทศ ซึ่งตามแผนบริษัทฯได้ลงทุนที่ดินเพื่อเตรียมพัฒนาด้วยตนเอง และในรูปแบบร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยคาดว่าจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวเป็นโครงการแรกในช่วงต้นปี 2565

SASOM เตรียมใช้ AI เพิ่มศักยภาพตอบสนองลูกค้าเฉพาะราย

SASOM (สะสม) ต่อยอดความสำเร็จแพลตฟอร์มซื้อขายของสะสม ของแบรนด์เนมและของหายากรายแรกในเอเชีย รุกเพิ่มพอร์ตกลุ่มสินค้าใหม่เพื่อเพิ่มทางเลือกและขยายฐานลูกค้า รองรับเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดซื้อขายสนีกเกอร์ในไทยจาก 20% เป็นกว่า 80% ของมูลค่าตลาด เตรียมนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้เพื่อตอบโจทย์ให้บริการแก่ผู้เข้าชมแพลตฟอร์มได้แบบเฉพาะราย และเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น วางแผนระดมทุนระดับ Series A ในปีหน้า พร้อมพัฒนาศักยภาพทีมงานคนรุ่นใหม่ ช่วยผลักดันขีดความสามารถในการขยายฐานลูกค้าและรองรับการทำธุรกรรมซื้อขายที่มากขึ้น 

นาย กษิต งานทวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สะสม จำกัด ผู้พัฒนา SASOM แพลตฟอร์มซื้อขายของสะสม ของแบรนด์เนมและของหายากรายแรกในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า หลังจากได้เปิดตัว SASOM มาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี โดยมีทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันเพื่อเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นจุดนัดพบระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายของสะสม ของแบรนด์เนมรุ่นยอดนิยม สินค้าแฟชั่น สินค้าที่ผลิตจำนวนจำกัด และของหายากทั้งในและต่างประเทศ อาทิ รองเท้าสนีกเกอร์ NIKE ADIDAS ของเล่นสะสมอย่าง BE@RBRICK ฯลฯ ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสมและนักลงทุนจากทั่วโลก พร้อมรับประกันสินค้าทุกชิ้นผ่านการตรวจสอบว่าเป็นของแท้ ถือว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ   

โดยในช่วงที่ผ่านมาแพลตฟอร์ม SASOM ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสินค้าให้เลือกซื้อ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ รองเท้าสนีกเกอร์ (รองเท้าผ้าใบ) ของสะสม และแฟชั่นสตรีทแวร์ (เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ) ล่าสุดจึงเตรียมขยายพอร์ตกลุ่มสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความน่าสนใจให้แก่แพลตฟอร์ม อาทิ เทรดดิ้งการ์ด (การ์ดสะสมที่ได้รับความนิยม), สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, กล้องถ่ายรูป, งานศิลปะ ฯลฯ

 “เรามองเห็นแนวโน้มการเติบโตของตลาดซื้อขายของสะสมแบรนด์และของหายาก โดยปัจจุบันผู้บริโภค Gen Z อายุตั้งแต่ 25 – 34 ปี นิยมแต่งตัวหรือสะสมสินค้าแฟชั่นตามดาราหรือเซเลบริตี้ชื่อดัง รวมถึงการซื้อขายสินค้าเหล่านี้ยังถือเป็นการลงทุนที่มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต โดยประเมินว่าในปีที่ผ่านมาการซื้อขายสนีกเกอร์เพื่อการสะสมและลงทุนในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 700 ล้านบาท และ SASOM มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 20% ส่วนในปีหน้าเราตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย โดยต้องการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็นกว่า 80% เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ เป็นสตาร์ทอัพรายแรกและรายเดียวในไทย ที่พัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายของสะสม ของแบรนด์เนมและของหายาก” นาย กษิต กล่าว

นายกันต์พจน์ เลิศโกมลสุข ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สะสม จำกัด กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ได้วางแผนพัฒนาเทคโนโลยีของเซิร์ฟเวอร์และศึกษาข้อมูลความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อยกระดับการให้บริการแพลตฟอร์ม SASOM อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีการพัฒนาระบบรางวัลและขยายการจัดส่งสินค้าให้ประเทศเพื่อบ้านได้แล้ว และในเร็วๆ นี้บริษัทฯ จะเริ่มใช้ระบบ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ในแพลตฟอร์มเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เข้าชมเว็บไซต์และแอปพลิเคชันได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อขยายรูปแบบการชำระเงิน E-Payment ในช่องทางอื่นๆ ที่หลากหลาย จากปัจจุบันที่สามารถชำระผ่านบัตรเครดิตได้ ก็เริ่มมีการเปิดประมูลสินค้า การเปิดออเดอร์ตั้งรับสินค้า และอยู่ระหว่างพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างประสบการณ์ที่ดีระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสินค้า รวมถึงการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาใช้รองรับการให้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านแพลตฟอร์มเพื่อความปลอดภัยในระบบยิ่งขึ้น คาดว่าจะสามารถนำมาใช้งานได้ภายในช่วงต้นปี 2565

นายหฤษฎ์ อัชนะพรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สะสม จำกัด กล่าวว่า หลังจากในปีนี้บริษัทฯ ได้ระดมทุนระดับ Pre-Series A จาก Kream Corporation ประเทศเกาหลีใต้ ในปี 2565 ได้วางแผนระดมทุนระดับ Series A อย่างต่อเนื่อง เพื่อบริษัทฯ เตรียมทรัพยากรรองรับเป้าหมายการเพิ่มปริมาณการทำธุรกรรมซื้อขายบนแพลตฟอร์ม จากปัจจุบันที่รองรับได้วันละ 300-500 รายการ วางแผนเพิ่มขีดความสามารถรองรับได้เป็นวันละ 1,000 – 1,500 รายการ และภายใน 2 – 3 ปีข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 3,000 – 5,000 รายการ โดยในการเตรียมทรัพยากรดังกล่าวรวมไปถึงการพัฒนาและเตรียมพร้อมศักยภาพทีมงานในฝ่ายต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความ
สามารถและมีความตั้งใจที่จะร่วมผลักดันให้บริษัทฯ สามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้

สำหรับการขยายหมวดหมู่สินค้าเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า นายสรวิศ หลิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือการรวบรวมสินค้าที่มีคุณภาพ น่าสะสม และเป็นที่ต้องการ โดยการร่วมมือกับนักขายมืออาชีพหรือนักสะสมที่ปล่อยของสะสมส่วนตัว มารวมอยู่ด้วยกันบนแพลตฟอร์ม เพื่อให้ลูกค้ามีตัวเลือกที่หลากหลายได้มาซื้อผ่านการบริการที่ปลอดภัยและสะดวกทั้งสำหรับคนซื้อและขาย จึงวางแผนเปิดตลาดใหม่ๆ ที่คิดว่าจะสามารถทำให้การซื้อขายปลอดภัยขึ้นได้และในราคาที่สมเหตุสมผล หนึ่งในหลักการที่ใช้ในการตัดสินใจการเลือกเข้าตลาดคือการฟังความต้องการของลูกค้าและเทรนด์ อย่างเช่น Surfskate, Playstation 5 หรือรองเท้ากอล์ฟไฮป์ๆ ที่ไม่มีขายในประเทศไทย แบรนด์ไทยเองก็มีแบรนด์ที่เจ๋งมากมาย และคิดว่าเราสามารถช่วยเป็นอีกแรงผลักดันให้สามารถออกไปสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศได้เพิ่ม”

การขยายขีดความสามารถในด้านต่างๆ ของบริษัทฯ สอดคล้องกับแผนธุรกิจที่ต้องการขยายฐานผู้ซื้อและผู้ขายในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น เพื่อมุ่งสู่การเป็น  Destination of Secondary Market และตอบโจทย์การเป็นและ The Collectors Paradise of Asia เทียบชั้นระดับโลก  โดยเฉพาะการขยายฐานผู้ซื้อและผู้ขายในกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งในปัจจุบันประเทศดังกล่าวยังถือว่าเป็นตลาดใหม่ที่ไม่มีผู้พัฒนาหรือนำเสนอแพลตฟอร์มซื้อขายของสะสมและของหายากอย่างจริงจัง โดยส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งผู้บริโภคยังไม่ได้รับความอำนวยสะดวกเท่าที่ควร อีกทั้งยังมีโอกาสพบสินค้าลอกเลียนแบบได้ โดยบริษัทฯ วางแผนโปรโมตแพลตฟอร์ม SASOM ผ่านการทำตลาดรูปแบบใหม่เพื่อดึงดูดและเข้าถึงผู้ซื้อและผู้ขายต่างชาติกลุ่มเป้าหมายที่มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบของสะสม ของแบรนด์เนมและของหายากในแต่ละประเทศ

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เปิดโครงการ 3 ทำเลใหม่ รับดีมานด์แนวราบสู่ตลาด

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ปูพรมเปิดโครงการใหม่ 3 ทำเลในโซนเหนือ ตะวันออก และตะวันตก รอบกทม. รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ด้วยทำเลคุณภาพและนวัตกรรมแบบบ้านใหม่ French Colonial ตอบโจทย์ความต้องการ Work from Home สร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่กลุ่ม real demand ในราคาที่จับต้องได้

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า ล่าสุด บริษัทฯ ได้พัฒนา 3 โครงการใหม่ ประกอบด้วย โครงการลลิลทาวน์ ไลโอ ลำลูกกา-คลอง 2 มูลค่า 700 ล้านบาท โครงการลลิลทาวน์ แลนซีโอ คริป ลำลูกกา-คลอง2 มูลค่า 900 ล้านบาท และโครงการแลนซีโอ คริป ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ มูลค่า 420 ล้านบาท โดยทั้ง 3 โครงการใช้แนวคิดในการออกแบบล่าสุดสไตล์ French Colonial ที่นำความงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสมาประยุกต์เข้ากับการสร้างสรรค์ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สังคมเมือง ให้สอบคล้องกับเทรนด์ใหม่ของการอยู่อาศัยในยุคปัจจุบัน

โดยทั้ง  3  โครงการใหม่ได้รับการออกแบบที่โดดเด่นด้วยแนวคิด French Colonial ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสไตล์ฝรั่งเศสที่ล้ำสมัยผสมผสานความเรียบหรู ตอบรับการใช้ชีวิตยุคใน New Normal ได้เป็นอย่างดี ให้ลูกค้าได้ใช้ชีวิตอย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ และสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ ประกอบด้วย โครงการลลิลทาวน์ ไลโอ ลำลูกกา คลอง 2 – พรีเมี่ยมทาวน์โฮมหรูขนาด 4 ห้องนอน ที่ถูกพัฒนาให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของทำเลพหลโยธิน ลำลูกกา มาพร้อมคลับเฮ้าส์หรู แบบ Skyline Panorama พร้อมฟิตเนส สระว่ายน้ำ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ และระบบความปลอดภัยให้คุณได้อุ่นใจตลอด 24 ชั่วโมง สะดวกด้วยเส้นทางเชื่อมต่อเมือง ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว (สถานีคูคต) ใกล้ทางด่วน (โทลล์เวย์) และแหล่งช้อปปิ้งคุณภาพมากมาย ราคาเริ่มต้น 2 ล้านกว่าบาท* ,โครงการลลิลทาวน์ แลนซีโอ คริป ลำลูกกา-คลอง2 บ้านหรูสไตล์ฝรั่งเศส 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  2 ที่จอดรถ พร้อมคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ ที่ตั้งอยู่บนทำเล พหลโยธิน-ลำลูกกา เชื่อมต่อชีวิตติดเมือง ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว(คูคต) และทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) ที่ทำให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ราคาเริ่มต้น 3-6 ล้านบาท*

และโครงการแลนซีโอ คริป ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ บ้านและสวนฝรั่งเศสในแบบ Victorian Style บรรจงออกแบบและพัฒนาให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ที่พัฒนาฟังก์ชันรองรับทุกเจนเนอเรชั่น ขนาด 4 ห้องนอน ใหม่! เพิ่มฟังก์ชันห้องทำงานปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุค New Normal พร้อมส่วนกลางคลับเฮ้าส์ Co-working Space และฟิตเนสวิวสวน เหนือระดับบนอาณาจักรส่วนตัวเพียง 88 หลัง บนทำเลศักยภาพศรีนครินทร์-เทพารักษ์  ใกล้ทางด่วนบูรพาวิถี ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก และรถไฟฟ้า 2 สาย (ทั้งสายสีเหลือง และสีเขียว) รายล้อมด้วย Lifestyle Mall ชั้นนำอาทิ Central บางนา, JAS Urban ศรีนครินทร์ , Robinson ศรีนครินทร์ ราคาเริ่มต้น 4-6 ล้านบาท*

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงศักยภาพของโครงการใหม่ทั้ง 3 ทำเล พบว่า ย่านลำลูกกาถือเป็นทำเลศักยภาพทางตอนเหนือของกรุงเทพฯที่น่าสนใจ ด้วยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปัจจัยของการพัฒนารถไฟฟ้าสายสีเขียวตรงสู่ใจกลางเมืองรวมทั้งเชื่อมต่อ 2 สนามบินนานาชาติ ทำให้ทำเลนี้โดดเด่นเรื่องระบบคมนาคมที่เชื่อมต่อสู่เมืองชั้นในได้อย่างสะดวก ในขณะที่ย่านเทพารักษ์ก็ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนารถไฟฟ้าสายสีเหลือง พร้อมรองรับการขยายตัวจากทางศรีนครินทร์ เชื่อมสู่ฝั่ง รัชดา-ลาดพร้าว ถือว่าเป็นทำเลที่ต่อขยายในภาคธุรกิจ EBD หรือ Extended Business District รวมทั้งมีโครงข่ายคมนาคมที่เชื่อมต่อกันหมด ซึ่งถือว่าเป็นทำเลทางเลือกในการอยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี “ทุกครั้งที่พัฒนาโครงการใหม่ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จะทำการสำรวจความต้องการที่แท้จริงของตลาดก่อนพัฒนาโครงการสำหรับผู้บริโภคเสมอ โดยชูจุดแข็งหลักด้านการออกแบบที่โดดเด่น ความคุ้มค่าของทำเล การนำนวัตกรรมต่างๆมาใช้เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในยุคปัจจุบัน” นายชูรัชฏ์ กล่าว

และจากการริเริ่มนำเสนอแบบบ้านสไตล์ French Colonial ออกสู่ตลาดพบว่ากระแสความการตอบรับของผู้บริโภคเป็นไปอย่างดี เนื่องจากปัจจุบันการส่งแบบบ้านดีไซน์ใหม่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ได้รับความสนใจจากลูกค้าแม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 “บ้านสไตล์ French Colonial คือโอเอซิสที่พร้อมจะมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยใหม่ๆ แก่ลูกค้า ถือเป็นการเติมเต็มช่องว่างของตลาดอย่างลงตัว ใส่รายละเอียด ความอ่อนช้อย หรูหรา เพิ่มคุณค่าในการอยู่อาศัยอย่างมีคาแรกเตอร์ ทำให้เกิดความต่างไม่ซ้ำใครที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้จริง ทั้งยังเพิ่มนวัตกรรมการอยู่อาศัย  iL (Lalin Innovation for Living) ที่ครอบคลุม 3 แนวคิด ประกอบด้วย
1.iL-Smart & Security ส่งมอบบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ลูกค้าเพื่อการอยู่อาศัยที่ยั่งยืน สร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน
2.iL-Eco System  การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการนำกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3.iL-Lively & Healthy ให้ความสำคัญต่อเรื่องการถ่ายเทอากาศ การคำนึงถึงทิศทางลมและแสงแดด และคัดสรรวัสดุที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อโรค เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่แก่กลุ่มบ้าน real demand ด้วย” นายชูรัชฏ์ สรุปผลตอบรับจากการเริ่มเปิดตัวบ้านแบบใหม่ในสไตล์ French Colonial สู่ตลาด