MBKG ร่วมต้านภัยโควิด-19 กับรพ.ศิริราช ปี 2

บริษัท เอ็ม บี เค การันตี จำกัด (MBKG) หนึ่งในกลุ่มธุรกิจการเงินของเครือเอ็ม บี เค จัดโครงการ MBKG ยิ่งให้  ยิ่งได้ ร่วมต้านภัยโควิด-19 กับโรงพยาบาลศิริราช ปี 2” เพื่อต้องการมีส่วนร่วมช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีส่วนสำคัญในการตรวจคัดกรองและดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด – 19  ที่กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง  จึงขอเชิญร่วมบริจาคเข้าศิริราชมูลนิธิ ในชื่อกองทุน ศิริราชสู้ภัยโควิด โดยผู้ที่บริจาคตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไปผ่าน Mobile Banking  จะได้รับของที่ระลึกเป็น เสื้อ MBKG X  WANNASU Exclusive Collection สุดเก๋ที่เกิดจากการดีไซน์ร่วมกันของ MBKG กั WANNASU แบรนด์คราฟต์แฟชั่นไทยที่ดัง ไกลถึงต่างแดน  จำนวนจำกัดเพียง 100 ตัวเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2564 หรือจนกว่าของจะหมด โดยท่านสามารถร่วมบริจาคได้ตามขั้นตอนนี้

1. บริจาคตรงเข้าศิริราชมูลนิธิ

– ใช้ Mobile Banking สแกน QR Code บัญชีศิริราชมูลนิธิ (ศิริราชสู้ภัยโควิด)
– กดยืนยันการบริจาค เซฟไฟล์สลิปการบริจาคเก็บไว้

2. ส่งหลักฐานการบริจาค        

ส่งไฟล์สลิปบริจาคเข้ากองทุนศิริราชสู้ภัยโควิด พร้อมชื่อ-นามสกุลที่อยู่จัดส่งขนาดเสื้อและเบอร์มือถือ มาที่ inbox ของ         MBK Guarantee  หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบยอดบริจาคกับศิริราชมูลนิธิแล้วจะจัดส่งของที่ระลึกให้ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน

** รายละเอียดเสื้อ MBKG X WANNASU  เสื้อ  Exclusive  Collection  ที่เกิดจากการดีไซน์ร่วมกันของ  MBKG  และ  WANNASU
แบรนด์คราฟต์แฟชั่นไทยที่ดังไกลถึงต่างแดน ขนาด (รอบอก=นิ้ว) XS(34)  S(36)  M(38)  L(40)  XL(42)

สอบถามและติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook Page : MBK Guarantee

TWPC ร่วมเสวนาฯ มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรม ส่งเสริมความยั่งยืน

บมจ.ไทยวา (TWPC ) ร่วมเสวนาในการประชุมครั้งสำคัญของโลก UNGC Virtual Leaders Summit 2021 (รูปแบบออนไลน์) จัดโดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ตอกย้ำการเป็นผู้นำความยั่งยืนของไทยในอุตสาหกรรมการเกษตร และอาหาร ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ส่งเสริมความยั่งยืนตั้งแต่กระบวนการปลูกจนถึงมือผู้บริโภค (Creating Innovation and Sustainability from Farm to Shelf) สร้างความเปลี่ยนแปลง เพื่อโลกที่ยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 – 16 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา 

นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง  และผู้นำตลาด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์วุ้นเส้นและเส้นก๋วยเตี๋ยว เปิดเผยว่า ในฐานะบริษัทอุตสาหกรรมการเกษตร และอาหาร ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์หลักในการส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารสู่ผู้บริโภคทั่วโลก ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์การพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ส่งเสริมความยั่งยืนตั้งแต่กระบวนการปลูกจนถึงมือผู้บริโภค (Creating Innovation and Sustainability from Farm to Shelf) โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกด้านของห่วงโซ่คุณค่า  (Value Chain) ตั้งแต่กระบวนการปลูก การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต และการจัดส่งสินค้า จึงให้ความสำคัญกับการบูรณาการเป้าหมายความยั่งยืนเข้าสู่กลยุทธ์ของธุรกิจ มุ่งเติบโตไปยังอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตได้อย่างยั่งยืน

ไทยวา เราเชื่อว่าความยั่งยืนนั้นไม่สามารถสร้างได้จากคนเดียวแต่จะต้องเกิดจากความร่วมมือกันของทุกฝ่ายทั้งในและนอกองค์กร ที่มีส่วนช่วยพัฒนา ให้องค์กรเจริญเติบโตยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนนั้นไม่ใช่เพียงแค่เป้าหมายในระยะยาวเท่านั้น แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจในทุกๆ วัน การผสานกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเข้ากับพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนไว้ 3 จุดมุ่งหมาย คือ แหล่งวัตถุดิบที่ยั่งยืน ช่วยพัฒนาชุมชนที่ให้ชีวิตมีสุขภาพดีขึ้น รวมถึงการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีขึ้นในอนาคต ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก คือ 1. การพัฒนาพนักงานเกษตรกร 2. พัฒนาโรงงานและชุมชนสีเขียว 3. พัฒนาชีวิตครอบครัวพนักงาน และ 4. วิจัยอาหารออร์แกนิคและอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของภาคธุรกิจที่สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) จำนวน 13 เป้าหมาย จาก 17 เป้าหมาย ได้อย่างสอดคล้องกับขีดความสามารถและศักยภาพของบริษัทฯ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs: Sustainable Development Goals)  ภายในปี 2573 ด้วย

สำหรับการเสวนาในการประชุม UNGC Virtual Leaders Summit 2021 ครั้งนี้ เป็นการรวมสุดยอดผู้นำสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กที่รวมผู้นำระดับโลกกว่า 25,000 คน จากภาคธุรกิจ สหประชาชาติและประชาสังคมทั่วโลก พร้อมด้วยนักธุรกิจจากประเทศไทย ระดมความคิดรับมือกับความท้าทายของวิกฤตโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รวดเร็ว เศรษฐกิจที่เลวร้าย พร้อมผนึกกำลัง ปรับเป้าหมายทางธุรกิจ และลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

STGT พร้อมกลับมาเปิดโรงงานตรังอีกครั้งแล้ว! วันนี้

บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT พร้อมกลับมาเปิดโรงงานจังหวัดตรังในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ หลังได้รับไฟเขียวจากผู้ว่าราชการจังหวัด วาง 11 มาตรการเข้มป้องกัน COVID-19 ครอบคลุมพื้นที่ทุกส่วนภายในโรงงาน เพื่อความปลอดภัยของพนักงานและตอกย้ำความมั่นใจแก่ผู้บริโภค และดำเนินการตามมาตรการเดียวกันในโรงงานทุกแห่ง ส่วนโรงงานจังหวัดสุราษฎร์ธานี กลับมาเดินเครื่องจักรแล้วตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา  

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 โรงงานผลิตถุงมือยางของบริษัทฯ ในจังหวัดตรัง ได้กลับมาเปิดโรงงานและเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าอีกครั้ง หลังจากได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นที่เรียบร้อย โดยโรงงานจังหวัดตรังมีกำลังการผลิตถุงมือยางชนิดมีแป้งประมาณ 25 ล้านชิ้นต่อวัน หรือคิดเป็นประมาณ 28% ของกำลังการผลิตรวมทุกโรงงานที่ 90 ล้านชิ้นต่อวัน และได้หยุดการผลิตเป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากตรวจพบพนักงานติด COVID-19 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ทำการตรวจหาเชื้อให้กับพนักงานทั้งหมดก่อนเริ่มกลับมาผลิตอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำความมั่นใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับการเปิดโรงงานจังหวัดตรัง บริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการคัดกรองและป้องกัน COVID-19 อย่างเข้มงวด   เพื่อให้ความปลอดภัยแก่พนักงานและสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางของศรีตรังโกลฟส์ โดยจัดทำมาตรการ 11 ข้อ เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดอย่างสูงสุด ได้แก่ 1.การฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อภายในพื้นที่สำนักงานทุกส่วนก่อนการเปิดโรงงานครั้งนี้ 2.ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อระบบทำความความเย็นภายในพื้นที่ปฏิบัติงานทุกจุด 3.ติดตั้งระบบฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนเข้าพื้นที่โรงงาน 4.กระจายจุดรูดบัตรเพื่อลดความแออัดของพนักงาน 5.กระจายจุดวางล็อกเกอร์เพื่อลดความแออัด 6.จัดแบ่งเส้นทางเข้าปฏิบัติงานภายในโรงงานเพื่อลดความแออัด 7.เน้นย้ำพนักงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะอยู่ภายในพื้นที่โรงงานและสวมใส่ถุงมือทุกครั้งที่ต้องสัมผัสผลิตภัณฑ์ 8.เน้นย้ำมาตรการล้างมือและฉีดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อในพื้นที่ทำงานทุกคนและก่อนเริ่มงานทุกครั้ง 9.ขยายพื้นที่ปฏิบัติงานชั่วคราวเพื่อลดความแออัดของพนักงานในแต่ละพื้นที่ 10.ติดตั้งระบบฆ่าเชื้ออัตโนมัติในระบบทำความเย็น 11.เพิ่มความถี่การฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ส่วนกลางที่ต้องใช้งานร่วมกัน เช่น โรงอาหาร ห้องประชุม ห้องน้ำ เป็นต้น และจัดเตรียมอุปกรณ์สเปรย์น้ำยาฆ่าเชื้อทุกพื้นที่ นอกจากนี้พนักงานทุกคนจะต้องผ่านการตรวจคัดกรองก่อนเข้าภายในพื้นที่โรงงานและไลน์การผลิต เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิและฉีดพ่นแอลกอฮอล์, สวมใส่หน้ากากอนามัย, ล้างมือด้วยสบู่และแช่น้ำยาฆ่าเชื้อ, สวมเสื้อคลุมและหมวกคลุมผม เป็นต้น และในระหว่างการปฏิบัติงานจะมีการสเปรย์แอลกอฮอล์แก่พนักงานเป็นระยะๆ พร้อมทั้งได้ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวในโรงงานทุกแห่งของบริษัทฯ อีกด้วย

“ขอให้มั่นใจว่าบริษัทฯ มีมาตรการดูแลพนักงานและการฆ่าเชื้อภายในโรงงานเป็นอย่างดีเพื่อให้ความมั่นใจแก่ชุมชนโดยรอบและลูกค้าของเรา โดยในกระบวนการผลิตถุงมือยางจะใช้ระบบอัตโนมัติแบบต่อเนื่องและเป็นกระบวนการผลิตที่ผ่านความร้อนในระดับสูง รวมถึงมีระบบทำความสะอาดตามมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) ดังนั้นจึงเชื่อมั่นเราได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดเชื้อแก่ผู้บริโภค โดยนอกจากการเปิดโรงงานจังหวัดตรังในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้กลับมาเปิดดำเนินการโรงงานจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมทั้งดำเนินการตามมาตรการด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน” นางสาวจริญญา กล่าว

WHA Group ปักธง ครึ่งปีหลัง 4 ธุรกิจฟื้น

บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group มั่นใจครึ่งปีหลังธุรกิจฟื้น จากการขับเคลื่อนแผนการลงทุน และกระจายวัคซีนของประเทศไทย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก คงเป้ายอดขายที่ดินในประเทศ จำนวน 725 ไร่ และต่างประเทศ 305 ไร่ พร้อมเตรียมพัฒนานิคมใหม่เพิ่มอีก 3 แห่ง โครงการศูนย์กระจายสินค้าอีก 5 โครงการบนพื้นที่ 400,000 ตารางเมตร  ภายใต้รูปแบบ “คลังสินค้าอัจฉริยะ” รองรับการลงทุนทั้งชาวไทย และต่างชาติ ส่วนธุรกิจน้ำ และไฟฟ้าเติบโตอย่างมั่นคง ตามยอดการใช้น้ำเพิ่มขึ้น พร้อมตั้งเป้าปี 2566 ให้บริการ Solar Roof ครบ 300 MW 

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใสขึ้น จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการผลิตและการลงทุนจากต่างประเทศจะเริ่มส่งสัญญาณที่ชัดเจนขึ้น ตามแผนการผลิตและกระจายวัคซีนของประเทศไทย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก บริษัทฯ จึงคงเป้ายอดขายที่ดินในประเทศไทยสำหรับปี 2564 ไว้ที่จำนวน 725 ไร่

อีกทั้งยังมีการพัฒนานิคมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปีนี้จะเปิดตัวนิคมใหม่เพิ่มอีกอย่างน้อย 3 แห่ง จากในช่วงก่อนนี้ได้มีการเปิดดำเนินการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36  รองรับการลงทุนของนักลงทุนสนใจทั้งไทย และต่างชาติ รวมทั้งการเปิดให้เช่าพื้นที่ภายใน TusPark WHA ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมแห่งใหม่ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ขณะที่การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามนั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเร่งทำยอดขาย พร้อมกับการก่อสร้างในส่วนจองเฟส 1 และส่วนที่เหลือเพื่อให้เป็นไปตามเป้ายอดขายที่ดินในเวียดนามสำหรับปีนี้จำนวน 305 ไร่ พร้อมกับการวาง Master Plan เพื่อพัฒนาพื้นที่สำหรับเฟส 2 และเฟส 3 ที่คิดเป็นพื้นที่รวมเพิ่มเติมอีก 4,700 ไร่ รวมถึงการดำเนินการเพื่อขอใบอนุญาตและการอนุมัติโครงการเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอีก 2 แห่งในจังหวัดถั่งหัว (Thanh Hoa) บนพื้นที่รวมกว่า 7,500 ไร่ที่ยังคงเป็นไปตามแผนงานที่ได้วางไว้

ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งมีคลังสินค้า Built-to-Suit และ Warehouse Farm บริษัทฯ ยังคงเป้าให้บริการพื้นเช่านี้ไว้เท่ากับ 175,000 ตารางเมตร  และการขายทรัพย์สิน และสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์เพิ่มเติมอีกประมาณ 180,000 ตารางเมตร

โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/2564 นี้ อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาโครงการศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีก 5 โครงการบนพื้นที่รวมกว่า 400,000 ตารางเมตร  ภายใต้รูปแบบ “คลังสินค้าอัจฉริยะ” ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการนำเสนอ Value-added Services

และในส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภค มีการเติบโตที่มั่นคงมากขึ้นจากยอดการใช้น้ำ และไฟฟ้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ทยอยเปิดดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/2563 ที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ ยังได้พัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันดำเนินการโครงการ Reclamation Plant ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กำลังการผลิต 25,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน

ส่วนธุรกิจไฟฟ้าบริษัทฯ สามารถเซ็นสัญญาโครงการพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาเพิ่มเติมได้อีกกว่า 10 เมกะวัตต์ รวมเป็นการเซ็นสัญญาสะสมจำนวน 61 เมกะวัตต์ และได้เริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ (COD) เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้าในไตรมาส 1 ปี 2564 รวม 4 เมกะวัตต์ ทำให้ ณ ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตที่เปิดดำเนินการอยู่ที่ 44 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าในปีนี้จะสามารถเซ็นสัญญาเพื่อลงทุนผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้เพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า 40 เมกะวัตต์ บริษัทฯ คงเป้าจำนวนการเซ็นสัญญาที่ 90 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2564 และเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ภายในปี 2566

พร้อมกันนี้ ยังอยู่ระหว่างการขออนุญาตดำเนินการเปิดใช้งานระบบซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (P2P Energy Trading Platform) ภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ควบคู่ไปกับการเตรียมติดตั้งเพื่อทดสอบระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) บนโรงกรองน้ำของบริษัทฯ นอกจากนี้ ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม บริษัทฯ อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการลงทุน 5G Tower ร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำเพื่อติดตั้งและทดสอบการใช้งานจริงของโซลูชัน 5G ภายในเขตนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ควบคู่ไปกับการขยายการให้บริการเชื่อมต่อสื่อสารแบบโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) ภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งหมดให้แล้วเสร็จ ซึ่ง 5G Tower และ FTTx

คาราบาว กรุ๊ป คว้า 2 รางวัลเกียรติยศระดับนานาชาติ

บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้รับ 2 รางวัลเกียรติยศระดับนานาชาติ จาก Global Good Governance Awards (3G Awards) จัดขึ้นโดย บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินจากประเทศอังกฤษ Cambridge IFA ในด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ประกอบด้วยรางวัล ชนะเลิศด้านการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม (3G Championship Award for CSR Campaign 2021) และรางวัลการรายงาน การกำกับดูแลกิจการยอดเยี่ยม (3G Excellence in Corporate Governance Reporting Award 2021) โดยมีการประกาศผลผ่านช่องทางออนไลน์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา

สำหรับรางวัล Global Good Governance Awards ถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติ ที่มอบให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในระดับนานาชาติ ที่มีการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีมาตรฐานสากล มีการกำกับดูแลกิจการที่ดีและมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน

บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน ) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 และนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 โดยเริ่มจากการเปิดตัวเครื่องดื่มบำรุงกำลังภายใต้เครื่องหมายการค้า “คาราบาวแดง” เข้าสู่ตลาดในประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2545 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทมีการขยายธุรกิจต่อเนื่องครอบคลุมกระบวนการจัดหาวัตถุดิบหลัก การผลิต การตลาด การขายและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงกำลังและเครื่องดื่มอื่นๆ ตั้งแต่การผลิตขวดแก้วและกระป๋องอลูมิเนียมเพื่อใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับโรงบรรจุสินค้าสำเร็จรูป และต่อเนื่องไปจนถึงการบริหารจัดการช่องทางกระจายผ่าน เครือข่ายร้านค้า และพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับธุรกิจในประเทศ และต่างประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์สินค้าระดับโลกและแบรนด์ระดับโลก

เฮงเค็ล ช่วยพันธมิตรปฏิบัติตามกฎบัตรความน่าเชื่อถือ

ความสำคัญของความยั่งยืนเมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์อำนวยความสะดวก เช่น หลอดดูด กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับผู้บริโภคตลอดจนหน่วยงานกำกับดูแลกฎระเบียบและข้อบังคับทางกฎหมาย ดังนั้นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับพลาสติกที่ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง เช่น หลอดกระดาษ จึงเป็นที่ต้องการสูง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ได้มีการเปิดตัวกฎบัตรความน่าเชื่อถือสำหรับหลอดกระดาษ (Charter of Trust for paper straws) ที่ก่อตั้งโดย 360° Foodservice ซึ่งเป็นสมาคมที่เทคโนโลยีกาวของเฮงเค็ลเป็นสมาชิกอยู่

360° Foodservice ได้รวมห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อนำเสนอโซลูชันการใช้ซ้ำและการใช้ครั้งเดียวสำหรับการเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มอย่างปลอดภัย กฎบัตรแห่งความเชื่อถือระบุข้อกำหนดที่ส่วนประกอบทั้งหมดของการผลิตหลอดกระดาษที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามในเอกสารฉบับเดียว เพื่อจัดหาผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยในยุโรปและช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานบริการด้านอาหารมีความมั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ของตน ในฐานะซัพพลายเออร์ชั้นนำสำหรับกาวติดหลอดกระดาษ เฮงเค็ลได้มีส่วนร่วมในเนื้อหาและลงนามในกฎบัตรนี้ โดยเน้นว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามมาตรฐานเหล่านี้แล้วทั่วโลก โดยยึดตามความเชื่ออย่างแรงกล้าในการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยสาธารณะเป็นเรื่องทางธุรกิจ เฮงเค็ลได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เนื่องจากการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนและปลอดภัยอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นได้ด้วยการเป็นหุ้นส่วนในห่วงโซ่คุณค่าที่สมบูรณ์เท่านั้น

การรวมห่วงโซ่คุณค่าของหลอดกระดาษเป็นหนึ่งเดียว

ผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าปลีกจะได้รับประโยชน์จากกฎบัตรแห่งความเชื่อถือ โดยมีความมั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาใช้ กฎบัตรแห่งความเชื่อถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับส่วนต่างๆ ของห่วงโซ่คุณค่าที่จะเติมเต็มพื้นที่ว่างนี้ เพื่อช่วยระบุผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปตามข้อกำหนดและปลอดภัยได้ง่ายขึ้น หลอดกระดาษประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง กระดาษ หมึกพิมพ์ และกาว ซึ่งทั้งหมดต้องได้รับการจัดการให้สอดคล้องกันเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับอาหาร กฎบัตรแห่งความเชื่อถือจะสรุปและเน้นย้ำมาตรฐานความปลอดภัยและกฎระเบียบที่มีอยู่ซึ่งอาจสร้างความท้าทายให้กับบริษัททั้งในและนอกยุโรปที่ไม่คุ้นเคยกับมาตรฐานของสหภาพยุโรป ผู้ให้บริการหลอดกระดาษและซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ เช่น เฮงเค็ล ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก แต่เนื่องจากนโยบายความปลอดภัยและกฎระเบียบแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค การสร้างมาตรฐานของสหภาพยุโรปจึงเป็นก้าวสำคัญไปสู่การสร้างมาตรฐาน ซึ่งส่งสัญญาณให้ลูกค้าทั่วโลกทราบถึงคุณลักษณะที่ต้องปฏิบัติตามสำหรับผลิตภัณฑ์หลอดกระดาษที่ปลอดภัย

โซลูชันด้านความปลอดภัยของอาหาร ความยั่งยืน และประสิทธิภาพสูงเป็นหัวใจสำคัญของสิ่งที่เราทำตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ และยังคงเป็นมาจนถึงทุกวันนี้” คริสติน โนแอค ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การตลาดประจำยุโรปธุรกิจเทคโนโลยีกาว บริษัทเฮงเค็ล กล่าว “ด้วยการมีส่วนร่วมและความมุ่งมั่นของเราต่อกฎบัตรแห่งความไว้วางใจ ทำให้การจัดหาของเราแข็งแกร่งขึ้นเพื่อช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดและเป็นไปตามข้อกำหนดสำหรับผู้บริโภค เราสามารถช่วยเหลือลูกค้าในยุโรปและคู่ค้าทั่วโลกของเราในการขอรับและตีความกฎระเบียบที่บังคับใช้กับตลาดยุโรป เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์ ด้วยการร่วมมือกับเรา พวกเขาสามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขากำลังใช้กาวที่สามารถเชื่อถือได้และได้ปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับที่เข้มงวดที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์ของตน

“เบนิฟิตต์” จัดโปรโมชันพิเศษ! ส่งฟรีถึงบ้าน

“เบนิฟิตต์ ซอย บาริสต้า” (Benefitt Soy Barista) จัดโปรโมชันพิเศษ GiftSet Online Limited เอาใจคอเครื่องดื่มสายคลีนและผู้ที่รักสุขภาพ  เพียงสั่งซื้อ เบนิฟิตต์ ซอย บาริสต้า ผ่านทาง https://bit.ly/3sZcAB1 และช่องทางไลน์ https://bit.ly/32SIUer ในชุด GiftSet Online Limited 299 บาท ประกอบด้วยนมถั่วเหลืองเบนิฟิตต์ ซอยบาริสต้า 500 มล. จำนวน 2 กล่อง มาพร้อมกับเครื่องปั้มฟองนม สินค้ามีจำนวนจำกัดเพียง 50 ชุดเท่านั้น ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 มิ.ย.64

เบเนฟิตต์ ซอย บาริสต้า ผลิตจากน้ำนมถั่วเหลืองที่มีคุณภาพ ไม่ผสมนมผง มีกลิ่นหอมมันพิเศษเฉพาะตัว ให้รสชาติเข้มข้น กลมกล่อม มีรสสัมผัสที่นุ่มละมุน แคลลอรี่ต่ำ สามารถใช้ชงเครื่องดื่มแทนนมวัว จะตีเป็นฟองนุ่มๆ หรือทำลาเต้อาร์ตก็ได้ เพิ่มความอร่อยอีกระดับให้กับเครื่องดื่มแก้วโปรด สำหรับชงกาแฟ ชา และเครื่องดื่มทุกชนิด เหมาะสำหรับทางเลือกของผู้รักสุขภาพ สั่งซื้อออนไลน์พร้อมสูตรชงได้ที่ www.benefittthailand.com / FB & IG & Twitter  benefittthai Benefitt / Shop https://bit.ly/38j9AIB / Shopee https://bit.ly/3iUCvqe / Lazada http://bit.ly/3qZ2PCe / JD http://bit.ly/3cf8IHu และหาซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ วิลล่ามาร์เก็ต และ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ทุกสาขา

­CP ALL ปิดการขายหุ้นกู้ 7 ชุดตามเป้าหมาย

บมจ. ซีพี ออลล์ (CP ALL) ปิดการขายหุ้นกู้ 7 ชุด รวมมูลค่า 66,000 ล้านบาท ตามเป้าหมาย หลังเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ เมื่อวันที่ 11 และ 14–15 มิถุนายนที่ผ่านมา ปลื้มผู้ลงทุนให้การตอบรับดี ตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโต  

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 และ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทฯ เสนอขายหุ้นกู้ทั้งหมด 7 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.40%  ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% ต่อปี โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1-3 เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป และหุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.53% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.76% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 6 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.14% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 7 อายุ 12 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.20% ต่อปี โดยหุ้นกู้ชุดที่ 4-7 เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 10 ราย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนและปิดการเสนอขายหุ้นกู้ทั้งหมดได้ตามเป้าหมาย รวมมูลค่า 66,000 ล้านบาท ทางบริษัทฯ ต้องขอขอบคุณสถาบันการเงินทั้ง 10 ราย และผู้ลงทุนทุกท่านที่สนับสนุนให้การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี

ผลตอบรับจากนักลงทุนดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในบริษัทฯ ที่เป็นผู้นำธุรกิจร้านสะดวกซื้อในประเทศไทย มีฐานะการเงินที่มั่นคง และเป็นบริษัทจดทะเบียนชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากนี้ หุ้นกู้ของบริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เป็นการตอกย้ำศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทฯ จากความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีก

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นผลักดันผลการดำเนินงานให้กลับมาเติบโต พร้อมทั้งมุ่งคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมด้านการบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ตลอดจนบริหารต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

“จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 เราจึงมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ O2O จำหน่ายสินค้าทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำเสนอการให้บริการแก่ลูกค้าได้จากหลากหลายช่องทางเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เช่น บริการออลล์ ออนไลน์ (ALL Online) บริการ 7-Eleven Delivery และ 24 Shopping โดยยังมีแผนการขยายสาขาอยู่อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดสาขาในประเทศกัมพูชาและ สปป.ลาว  หากสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลาย ซึ่งการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ บริษัทฯจะนำเงินไปชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2564 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถปรับโครงสร้างทางการเงินได้อย่างเหมาะสม และมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงขึ้น” นายเกรียงชัย กล่าว

ด้านสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ซีพี ออลล์ ในครั้งนี้เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนต้องพิจารณาในเรื่องการลงทุนมากขึ้น และเลือกลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่มีความมั่นคงสูง ฐานะการเงินแข็งแกร่ง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ซึ่งหุ้นกู้ ซีพี ออลล์ สามารถตอบโจทย์ต่างๆ เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากผู้ลงทุนทั่วไป ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ ขณะเดียวกัน ผู้ลงทุนยังมีความสนใจลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่ง ซีพี ออลล์ ได้ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด และได้กำหนดเป็นพันธกิจของบริษัทฯ ภายใต้กลยุทธ์เซเว่น โก กรีน (7 Go Green) ได้แก่ Green Building คือการออกแบบร้านค้าให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Green Logistic การจัดระบบขนส่งและกระจายสินค้าที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Green Store การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกผ่านแนวคิด “ลด และ ทดแทน” และ Green Living เพื่อปลูกจิตสำนึกเพื่อสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสนับสนุนให้การเสนอขายหุ้นกู้ “ซีพี ออลล์” ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ

เปิดโครงการ “ร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก”

คาโอ เปิดตัว โครงการร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก พื้นที่ตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ ชลบุรี จังหวัดชลบุรี ร่วมกับ 4 องค์กรใหญ่ ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และ กองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้ากิจกรรมเพื่อสนับสนุนโครงการเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก เนื่องในวันไข้เลือดออกอาเซียน นำร่องโครงการฯ ในเขตตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จังหวัดชลบุรี ให้ปลอดไข้เลือดออกภายใน 3 ปี พร้อมเปิดตัวแอป “รู้ทัน” มุ่งให้ประชาชนรู้ทันโรคภัยไข้เจ็บ พร้อมมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

มร.ยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด

มร.ยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความร่วมมือในโครงการดังกล่าวว่า “แม้ว่าคนไทยจะรู้จักโรคไข้เลือดออกมานานแล้ว แต่ยังมีอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก ซึ่งพบว่าสาเหตุหลักมาจากการขาดความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่องการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ขาดการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี จนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของลูกน้ำยุงลาย ซึ่งพื้นที่ภาคตะวันออกยังคงมีอัตราการระบาดอยู่ทุกปี ทางคาโอและพันธมิตรจึงได้เลือกพื้นที่เขตตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่นำร่อง เนื่องจากมีจำนวนประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และเป็นพื้นที่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมที่คาโอตั้งอยู่ด้วย โดยเราเลือกเปิดโครงการอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันไข้เลือดออกอาเซียน (ASEAN Dengue Day) และยังมีแผนจะขยายโครงการไปยังพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอนาคต”

2.พิธีเปิดโครงการร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก.JPG

โครงการร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก เป็นโครงการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการกำจัดลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรคไข้เลือดออก ในพื้นที่ตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จังหวัดชลบุรี โดยความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และชุมชน โดยมุ่งร่วมกันลดภาชนะที่ไม่ใช้ประโยชน์ การจัดการขยะ ซึ่งอาจจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายได้ การให้ความรู้เรื่องการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก และการหมั่นสำรวจลูกน้ำยุงลาย ในสถานที่ต่าง ๆ โดยพนักงานของโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยินดีสนับสนุนการอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจ รวมถึงร่วมการสร้างระบบรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ผ่านทางฝ่ายทรัพยากรบุคคลของแต่ละบริษัท พร้อมตั้งเป้าหมายการลดจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ดังกล่าว ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2567

วิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการนี้เป็นโครงการเป็นประโยชน์และสอดคล้องกับนโยบายของอมตะด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่สมาชิกภายในนิคมอมตะ ประเทศไทย ที่มีอยู่กว่า 250,000 คน และประชาชนในชุมชนโดยรอบ รวมถึงโครงการนี้ยังมีการนำแอปพลิเคชัน เข้ามาประยุกต์ใช้ให้ทุกคนได้รู้ทันโรคไข้เลือดออก และติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด ทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่ได้มีไว้เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถนำมาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้เช่นเดียวกัน ซึ่งตอบสนองต่อแนวคิดการสร้างเมืองอัจฉริยะของอมตะให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เชื่อมั่นว่าในอนาคตโครงการนี้อาจกลายเป็น Role model ให้กับนิคมฯ อมตะที่ต้องอยู่ในต่างประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ลาว พม่า ได้อีกด้วย

วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)

ทางด้าน นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จ.ชลบุรี เป็นนิคมขนาดใหญ่ พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ รวมจำนวนกว่า 181,879 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2363) มีชุมชนโดยรอบรัศมี 5 กิโลเมตร จำนวนกว่า 212 หมู่บ้าน ทาง กนอ. ยินดีที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้สถานประกอบการที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมให้ความสำคัญในการป้องกันโรคไข้เลือดออกแก่พนักงานและชุมชนโดยรอบ เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจของภาคอุตสาหกรรมยั่งยืนควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน การสร้างความสมดุล ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

ดร.พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง

ในส่วนของ ดร.พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง ยังได้นำเสนอถึงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทยว่า ในยุค new normal ที่เราเผชิญอยู่ในขณะนี้ แม้จำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกจะลดลงถึงกว่าร้อยละ 80 แต่ไม่ควรไว้วางใจ เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาโรคไข้เลือดออกได้ทำให้เด็กเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา พบว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน และเมื่อวัยทำงานเสียชีวิต จึงส่งผลกระทบต่อครอบครัวและสร้างความเสียหายต่อสังคมและเศรษฐกิจ และโรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกัน ไม่มียารักษาจำเพาะ ซึ่งทำให้การลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตยากยิ่งกว่าโรคโควิด-19 ดังนั้น มาตรการสำคัญในการลดโรคจึงยังคงเป็นการกำจัดพาหะนำโรคทั้งลูกน้ำยุงลาย กองโรคติดต่อนำโดยแมลงยินดีอย่างยิ่งกับการผนึกกำลังครั้งนี้ ที่จะได้เห็นประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทยต่อไป

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค-สวทช.

สำหรับโครงการนี้ ยังมีการนำนวัตกรรมมาสร้างความตระหนักรู้โรคไข้เลือดออก โดยเปิดตัวแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” แอปสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพ เปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ง่ายขึ้น ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค-สวทช. กล่าวว่า ทีมนักวิจัยจากเนคเทค-สวทช. ได้ร่วมมือกับกรมควบคุมโรค วิจัยและพัฒนา “ชุดซอฟต์แวร์ทันระบาด” เพื่อสนับสนุนการเฝ้าระวังการระบาดของโรคไข้เลือดออก ให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งมีการนำไปใช้งานกว่า 5 ปี และในปี พ.ศ. 2563 ได้ร่วมกันต่อยอด ทันระบาด ไปสู่ภาคประชาชน ภายใต้แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า “รู้ทัน” เพื่อสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพ ณ ตำแหน่งปัจจุบัน และพื้นที่ที่สนใจ โดยแจ้งเตือนสถานการณ์ความเสี่ยง ไม่เพียงแต่การแพร่ระบาดของไข้เลือดออก แต่ยังรวมถึง สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และดัชนีความร้อนที่นำไปสู่โรคลมแดด และพร้อมขยายผลสู่ความเสี่ยงสุขภาพอื่นๆ ต่อไป” ซึ่งประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” ทั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และระบบปฏิบัติการไอโอเอสได้แล้ววันนี้

“ด้วยแนวคิดหลักของบริษัท คาโอ ที่ต้องการให้ประชาชนมีการดำเนินชีวิตที่ดีและดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพที่แข็งแรงนั้น การเข้ามาสนับสนุนโครงการฯ ในครั้งนี้ จะช่วยสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่ว่า คาโอ-สร้างสรรค์สิ่งดี เพื่อชีวิตที่สวยงาม ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความต้องการที่จะให้เกิดความยั่งยืนด้านสุขภาพในสังคมไทย โดยการร่วมมือกันครั้งนี้ มีแผนที่จะขยายพื้นที่การดำเนินงานออกไป และเชื่อมั่นว่า เมื่อทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการดำเนินงานอย่างจริงจัง จะทำให้ไข้เลือดออกในพื้นที่ดำเนินกิจกรรมลดน้อยลงจนกลายเป็นศูนย์ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน” นายชิมิซึ กล่าวสรุป

VGI คว้ารางวัลระดับสากล The Most Innovative O2O Solutions

VGI ผู้นำการตลาด Offline-to-Online (“O2O”) โซลูชั่นส์ ก้าวล้ำนำเทรนด์ฝ่าทุกวิกฤต ตอกย้ำการทรานฟอร์มธุรกิจสู่ผู้ให้บริการทางการตลาดอย่างครบวงจรด้วยกลยุทธ์ O2O Solutions ภายใต้อีโคซิสเต็ม  (ecosystem) ที่แข็งแกร่ง บนแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์ รับรางวัล “The Most Innovative O2O Solutions for Advertising, Payment and Logistics Platforms 2021” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จาก International Finance นิตยสารด้านธุรกิจและการเงินชั้นนำของ UK’s International Finance Publications Limited โดยรางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่มอบให้กับสุดยอดองค์กรชั้นนำที่มีนวัตกรรมล้ำสมัย

เนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปีที่ผ่านมา ทำให้หลากหลายธุรกิจทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก แต่จากการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการทางการตลาดในรูปแบบ O2O เป็นเครื่องตอกย้ำความสำเร็จว่ากลุ่มบริษัท VGI ว่ามีความพร้อมในการปรับตัวเพื่อรับมือทุกความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อันเห็นได้จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในปี 2563/64 ยังคงสามารถผลักดันทำกำไรสุทธิที่ 980 ล้านบาท ผ่านการผสานความแข็งแกร่งของพันธมิตรในทุกหน่วยธุรกิจจนเกิด Synergy ใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มแรบบิทที่เป็นผู้นำด้านดิจิทัลโซลูชั่นส์และธุรกิจโลจิสติกส์โดย Kerry Express บริษัทจัดส่งพัสดุด่วนชั้นนำของประเทศที่ร่วมกันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการได้รับรางวัล The Most Innovative O2O Solutions for Payment and Logistics Platforms ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 นั้นนับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ VGI อีกทั้งยังการันตีการเป็นผู้นำนวัตกรรมที่มี ecosystem ที่สมบูรณ์แบบและได้รับการยอมรับในระดับสากล