SMD พร้อมลงสนามเข้าเทรดในตลาด mai วันแรก 17 มิ.ย.นี้

บมจ.เซนต์เมด (SMD) พร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก 17 มิ.ย. ปลื้มกระแสตอบรับการเสนอขายหุ้น IPO ล้นหลาม มั่นใจนักลงทุนให้การตอบรับดี โชว์ศักยภาพก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เฉพาะทาง ด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต พลิกโฉมปั้นโมเดลธุรกิจ มุ่งขยายศูนย์ตรวจการนอนหลับ-ให้เช่าเครื่องมือทางการแพทย์ รับสังคมไทยก้าวสู่สังคมสูงอายุ หนุนสร้างการเติบโตแบบสมดุลและยั่งยืน ผลักดันรายได้เติบโต 15% ต่อปี ใน 3 ปีต่อจากนี้       

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 17 มิถุนายน 2564 โดยใช้ชื่อย่อ ‘SMD’ และหลังปิดการเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 54  ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 25.23 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 7.20 บาท โดยพิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัท (P/E) ที่ประมาณ 17.52 เท่า ซึ่งภายหลังจากเปิดจองซื้อหุ้น ในวันที่ 9-11 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา หุ้น SMD ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยมียอดจองล้นหลาม สะท้อนพื้นฐานธุรกิจและศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนองค์กรก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนขยายการลงทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เสริมความแข็งแกร่งให้กับโมเดลธุรกิจเดิมโดยต่อยอดขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในกลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงขยายธุรกิจ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. รูปแบบการจัดหาบริการให้เช่าครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ให้กับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลเฉพาะทาง โรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลศูนย์ โดยมีระยะเวลาให้เช่า 3-5 ปี เพื่อลดการจัดสรรปันส่วนงบประมาณของโรงพยาบาลรัฐที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และนำเงินงบประมาณดังกล่าวไปใช้ในส่วนอื่น ที่ช่วยเพิ่มโอกาสการดูแลผู้ป่วยให้เข้ารับการรักษาพยาบาลมากขึ้น

และ 2.การดำเนินโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ เนื่องจากคนไทยได้ตระหนักถึงอันตรายจากการนอนกรน และหยุดหายใจในขณะนอนหลับมากขึ้น โดย SMD ถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายแรกๆ ของไทย ที่นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มการช่วยหายใจและเวชศาสตร์การนอนหลับ (Respiration) ซึ่งได้ลงทุนในศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 4 เตียงตรวจ ที่ให้บริการไปตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ในลักษณะสัญญาความร่วมมือระหว่าง SMD กับโรงพยาบาล หรือเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) ที่ SMD เป็นผู้ลงทุนและให้บริการ ทั้งลงทุนปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ การจัดหาเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้ความชำนาญในการตรวจการนอนหลับ (sleep technician) โดยรูปแบบสัญญาจะมีลักษณะเป็นการปันส่วนรายได้จากการให้บริการ และจากการขายเครื่องมือให้แก่โรงพยาบาล

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะร่วมมือกับโรงพยาบาลชั้นนำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อขยายการลงทุนโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับเพิ่มเติมอีก 8 เตรียงตรวจต่อโครงการต่อปีในช่วงปี 2564-2566 รองรับจำนวนผู้ที่มีสิทธิการรักษาพยาบาล เช่น ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ถือเป็นการสร้างการเติบโตแบบสมดุลและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปี มีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15%

เอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า  SMD มีศักยภาพเติบโตสูงจากข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันต่างๆ จากการมีผลิตภัณฑ์ที่ดี (P-Product) ที่วงการแพทย์ให้การยอมรับ การมีราคาที่เหมาะสมและจับต้องได้ (P-Price) และมีทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ (P-People) ในการอธิบายแนะนำสินค้า และการบริการหลังการ รวมถึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า นอกจากนี้ SMD ยังมีจุดเด่นที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่มีความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่นจากความเป็นเลิศเฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต รับจังหวะกับการเติบโตตามอุตสาหกรรมโรงพยาบาล ที่ไม่ได้รัรบผลกระทบจากปัจจัยทางเด้านเศรษฐกิจ รวมถึงสังคมไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ความต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูแลประชาชนจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมากในอนาคต

สเก็ตเชอร์ส แท็กทีม ดร.ซูสส์ ส่งคอลเลคชั่นใหม่!

SKECHERS (สเก็ตเชอร์ส) แบรนด์กีฬาและไลฟ์สไตล์ชั้นนำสัญชาติอเมริกัน ก้าวไปอีกขั้นด้วยการร่วมงานกับดร. ซูสส์ (Dr. Seuss) นักเขียนและวาดภาพประกอบหนังสือเด็กที่เป็นตำนานระดับโลก สร้างสรรค์คอลเลคชั่นล่าสุด SKECHERS X Dr. Seuss (สเก็ตเชอร์ส เอ็กซ์ ดอกเตอร์ซูสส์) โดยนำตัวการ์ตูนที่รู้จักกันไปทั่วโลกสุดคลาสสิคอย่าง The Cat in the Hat – เหมียวแสบ ใส่หมวกซ่าส์” มาสร้างสีสันในคอลเลคชั่นนี้

คอลเลคชั่น SKECHERS x Dr. Seuss นำความสดใสจากโลกแห่งจินตนาการมาโลดแล่นในชีวิตจริงผ่านรองเท้าที่ออกแบบมาสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยมี 7 รุ่นสำหรับผู้หญิง และเด็กผู้ชาย-เด็กผู้หญิงอย่างละ 1 รุ่น พร้อมวางจำหน่ายที่ร้านสเก็ตเชอร์ สาขาสยามสแควร์วัน, สาขาไอคอนสยาม, สาขาเซ็นทรัลเวิลด์, สาขาเมกาบางนา, สาขาเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์, สาขาเซ็นทรัลอีสวิลล์, สาขาซีคอนสแควร์ และสาขาเซ็นทรัลเวสเกต รวมทั้งออนไลน์ที่ www.skechers.co.th

จากเหล่าคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนสุดคลาสสิคจาก The Cat in the Hat ซึ่งอยู่ในความทรงจำของหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็น เจ้าเหมียว (The Cat), ตัวประหลาดทั้งสอง (Thing 1 and Thing 2) และ เจ้าปลาทอง (The Fish) ถูกนำมาดีไซน์เป็นลายเส้นการ์ตูนที่เป็นเอกลักษณ์ของ ดร. ซูสส์ พร้อมด้วยสีสันสดใสอยู่บนรองเท้า ให้ทุกๆ ก้าวโลดแล่นอย่างเริงร่าและมีชีวิตชีวา

สำหรับน้องๆหนูๆ ต้องโดนใจกับตัวการ์ตูนสุดลั้ลลาที่อยู่บนรองเท้าสเก็ตเชอร์ส Flex Glow รุ่นโปรดของเด็กๆ โดยมาในดีไซน์สีฟ้าสลับแถบสีแดงสำหรับเด็กผู้ชาย และสำหรับรองเท้าเด็กผู้หญิงมาในสีชมพูที่ตกแต่งด้วยชิมเมอร์ส่องประกายระยิบระยิบ

มร. ไมเคิล กรีนเบิร์ก (Michael Greenberg) ประธานบริษัท สเก็ตเชอร์ส กล่าวว่า “ดร. ซูสส์ นับว่าหนึ่งในบุคคลสำคัญด้านวัฒนธรรมของโลกนักเขียนคนสำคัญ โดยผลงานและหนังสือของเขาได้รับการเผยแพร่ แบ่งปัน และเป็นของขวัญที่มอบให้แก่กันผ่านคนนับล้านมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 และครั้งนี้ตัวการ์ตูนในตำนานของเขาจะมาโลดแล่นอยู่ในทุกย่างก้าวอย่างสดใสและมีชีวิตชีวา โดยสเก็ตเชอร์สได้นำรองเท้ารุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดมาผสมผสานกับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของดร.ซูสส์ เพื่อให้กลายเป็นคอลเลคชันที่มีความน่ารักเฉพาะตัว โดยคุณแม่สามารถใส่เป็นคู่กับคุณลูกๆได้”

ด้าน  ซูซาน แบร้นด์ (Susan Brandt) ประธานบริษัท ดร. ซูสส์ กล่าวว่า “สเก็ตเชอร์สเป็นสุดยอดแบรนด์ของครอบครัวมาทุกยุคทุกสมัย มั่นใจว่าคอลเลคชั่น  Skechers x Dr. Seuss จะโดนใจเหล่าแฟนคลับ และคนที่ชื่นชอบผลงานของดร. ซูสส์ นับล้านคนทั่วโลก ซึ่งจุดเด่นของคอลเลคชั่นนี้ เป็นการผสานทั้งด้านนวัตกรรมรองเท้าที่สวมใส่สบายร่วมกับสไตล์อันสดใสร่าเริงของ ดร. ซูสส์ ช่วยทำให้เพิ่มความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรารู้สึกยินดีที่จะได้ร่วมงานกับสเก็ตเชอร์สในคอลเลคชั่นต่อๆไป ซึ่งจะต้องน่าสนใจยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน”

ประเดิมผลงานแรกของ SKECHERS x Dr. Seuss ด้วยคอลเลคชั่นจากผลงานระดับตำนาน “The Cat in the Hat -เหมียวแสบ ใส่หมวกซ่าส์” โดยมาในรองเท้าสไตล์สตรีทของสเก็ตเชอร์สรุ่นยอดนิยม อาทิ BOBS และรองเท้าสเก็ตเชอร์สสำหรับเด็กที่ตกแต่งด้วยลายเจ้าหมียว และ ตัวประหลาดทั้งสอง ในโทนลวดลายและสีสันสดใสสะดุดตา

นอกจากนี้เตรียมพบกับตัวละครอื่นๆ อีกมากมายของ ดร.ซูสส์ จากนิทานหลากหลายเรื่องในดวงใจ อาทิ กรีน เอ้กส์ แอนด์ แฮม (Green Eggs and Ham) , วันฟิช ทูฟิช เรดฟิช แอนด์บลูฟิช (One Fish, Two Fish, Red Fish, Blue Fish), โอ้ เดอะ เพลส ยูวิวโก (Oh, the Places You’ll Go!) และ เดอะกริ๊นช์ ตัวเขียวป่วนเมือง (How the Grinch Stole Christmas!) ที่จะมาโลดแล่นในคอลเลคชั่นของสเก็ตเชอร์สครั้งต่อไป

พบกับ คอลเลคชั่น  SKECHERS x Dr. Seuss ได้แล้ววันนี้ ที่ร้านสเก็ตเชอร์ สาขาสยามสแควร์วัน, สาขาไอคอนสยาม, สาขาเซ็นทรัลเวิลด์, สาขาเมกาบางนา, สาขาเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์, สาขาเซ็นทรัลอีสวิลล์, สาขาซีคอนสแควร์ และสาขาเซ็นทรัลเวสเกต รวมทั้งออนไลน์ www.skechers.co.th

สามารถติดตามข้อมูล และรายละเอียดของสเก็ตเชอร์ส เพิ่มเติมได้ทาง www.skechers.co.th, Facebook : SKECHERSThailand, Instagram @SKECHERSTH และ Line Official Account : @SKECHERSTH

อาร์เอส กรุ๊ป ส่งมอบสิ่งของช่วยชุมชน ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19

เพื่อเป็นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตร่วมกันของคนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส กรุ๊ป นำโดย คุณวิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และ ดร.ชาคริต พิชญางกูร หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจไลฟ์สตาร์ บริษัทในเครือ อาร์เอส กรุ๊ป ส่งมอบหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และยาสารสกัดฟ้าทะลายโจร ตราทองเอก ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ซึ่งผลิตโดย บริษัท ไลฟ์สตาร์ ด้วยนวัตกรรมใหม่ที่มีปริมาณสารสกัดฟ้าทะลายโจร 300 มิลลิกรัม เทียบเท่าฟ้าทะลายโจรชนิดบดผง 15,000 มิลลิกรัม รับประทานทานเพียงครั้งละ 1 เม็ด จำนวน 1,000 ชุด ให้แก่ คุณอาฤทธิ์ ศรีทอง ผู้อำนวยการเขตจตุจักร เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับคนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ต่อไป ณ สำนักงานเขตจตุจักร เมื่อเร็วๆ นี้

ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร และความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ อาร์เอส กรุ๊ป ได้ที่ www.rs.co.th และ https://www.facebook.com/RSGROUPOFFICIAL

บราเดอร์ เดินหน้านโยบาย Environmental Vision 2050

บราเดอร์ พัฒนานโยบายขานรับแผนการพัฒนาโลกเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) ที่ริเริ่มโดยสหประชาชาติ โดยมุ่งเน้นใน 3 ส่วนหลักๆ ประกอบด้วย เพิ่มการหมุนเวียนทรัพยากรสูงสุด ส่งเสริมสังคมที่ไร้คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ และผลลัพธ์สุทธิที่เป็นบวกในระบบนิเวศน์ ผ่านนโยบาย Environmental Vision 2050 ที่พร้อมขับเคลื่อนโดยบราเดอร์ทั่วโลก

นายพรภัค อุไพศิลป์สถาพร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน “ภาวะโลกร้อน” และ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ถือเป็นปัญหาระดับโลกที่สร้างผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ดังนั้น นโยบายการขับเคลื่อนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมจึงถือเป็นหนึ่งภารกิจหลักที่ บราเดอร์ ให้ความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ นโยบายด้านการลดปริมาณ “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2” ที่เป็นสาเหตุหลัก โดยในปีงบประมาณ 2022 บราเดอร์ ได้กำหนดทิศทางและแผนการดำเนินงานภายใต้นโยบายหลักของกลุ่มบริษัท บราเดอร์ชื่อ Environmental Vision 2050 ต่อยอดจากการลดปริมาณ CO2 ด้วยการเพิ่มนโยบายใน 3 ด้าน ประกอบด้วย Maximize Resource Circulation หรือการบริหารจัดการทรัพยากรโดยเน้นการ reuse และ recycle มากกว่าการใช้ทรัพยากรใหม่ๆ ในการขับเคลื่อนกลไกทางธุรกิจ, Positive Net Gain for Biodiversity หรือการเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพและรักษาระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติ และ Contribution for Decarbonized Society หรือห่วงโซ่กระบวนการการผลิตที่ไม่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่จะมีผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

นโยบาย Environmental Vision 2050 ถูกกำหนดแผนการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกเริ่มจากปีงบประมาณ 2021 ถึง 2030 ที่สอดคล้องกับเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) ของสหประชาชาติ โดยเป็นระยะปรับตัวเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่ระยะ ดำเนินงานจริงในช่วงปีงบประมาณ 2031 ถึง 2050 ในระยะแรกนั้น บราเดอร์ ตั้งเป้าลดปริมาณ “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2” ให้ได้ถึง 30% ด้วยการดำเนินการภายในองค์กรตลอดจนส่งเสริมภาคสังคมในด้านต่างๆ ที่มีบทบาทในการช่วยลด CO2 ด้วยเช่นกัน พร้อมทั้งสนับสนุนให้ บราเดอร์ ทั่วโลกเดินหน้าสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติดังเช่นที่ บราเดอร์ ประเทศไทย ได้ดำเนินโครงการบราเดอร์อาสาอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติป่าชายเลนเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติอย่างยั่งยืนที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องตลอด 12 ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองนโยบายด้าน Positive Net Gain for Biodiversity ส่วนด้าน Maximize Resource Circulation จะเริ่มเดินหน้าลดการใช้ทรัพยากรใหม่ๆ และมุ่งเน้นด้าน Reuse และ Recycle เป็นหลัก” นายพรภัค อธิบายถึงรายละเอียดของนโยบาย Environmental Vision 2050

บราเดอร์ เชื่อว่าการสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้เป็นโลกที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนและพร้อมเป็นบ้านของมนุษยชาติจากปัจจุบันสู่อนาคตนั้น ไม่สามารถทำได้เพียงแค่ใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่ต้องได้รับพลังความร่วมมือจากสังคมทุกสังคมบนโลกใบนี้ ร่วมสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม ปลูกฝังให้คนในรุ่นต่อๆ ไปเข้าใจและเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างสมดุลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี” นายพรภัค กล่าวถึงเป้าหมายของนโยบาย Environmental Vision 2050 “แม้ปี 2050 อาจมองว่ายังห่างไกล แต่บราเดอร์เชื่อว่าหากเราไม่เริ่มในวันนี้ อาจสายเกินไปที่จะเริ่มภารกิจที่สำคัญดังกล่าว  เพราะการปลูกฝังเรื่องจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมนั้นต้องอาศัยเวลา

สำหรับการดำเนินงานเพื่อสนองตอบนโยบาย Environmental Vision 2050 ของ บราเดอร์ ประเทศไทยนั้น นายพรภัค กล่าวเสริมว่า บราเดอร์จะเดินหน้าสานต่อกิจกรรมต่างๆ ที่ได้ทำมาแล้ว เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นควบคู่ไปกับการเดินหน้าเพื่อก้าวสู่การเป็น Green Office โดยมุ่งไปที่การลดปริมาณ CO2 และลดปริมาณขยะในสำนักงานผสานการต่อยอดสู่นโยบาย Maximize Resource Circulation ด้วยการมุ่งเน้นด้าน Reuse และ Recycle ผ่านโครงการ Ecobricks ที่รณรงค์ให้พนักงานนำเศษขยะชิ้นเล็กๆ ที่ไม่สามารถ    รีไซเคิลได้ เช่น ถุงพลาสติก ซองขนม หลอด มาอัดให้แน่นในขวดพลาสติก โดยต้องเป็นชิ้นส่วนไม่เปียก ไม่เน่า เพื่อใช้เป็นวัสดุในการก่อสร้างแทนอิฐสำหรับสร้างกำแพงของสถานศึกษา หรือห้องสมุดให้แก่ชุมชนพื้นที่ชายขอบใน จ.กาญจนบุรีต่อไป โดยบราเดอร์จะส่งทีมพนักงานอาสาสมัครเดินทางไปร่วมสร้างกำแพงในครั้งนี้ด้วย

TuesLIVE X LINE SHOPPING แจกเซอร์ไพรส์โค้ดจุกๆ

เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ “ป้าตือ” แจกแบบเซอร์พร้ายยยย! สำหรับรายการไลฟ์คอมเมิร์ซที่ช้อปสนุกที่สุดในไทย สำหรับ TuesLIVE X LINE SHOPPING” ที่ทุกสัปดาห์ #มาดามแห่งวงการออนไลน์ นอกเหนือจากจะมีคูปองมาแจกแหลกแล้ว ยังมีเซอร์ไพรส์โค้ด มูลค่า 1,500 บาท มาให้แฟนๆ รายการต้องเฝ้าจอรอช้อป จับตาดูกันให้ดีแล้วจดโค้ดจากไลฟ์สดๆ ก็ลดสดๆ ไปเลยเช่นกัน!!!

โดยในสัปดาห์นี้ “ป้าตือ – สมบัษร ถิระสาโรช” ชวน “ก็อต จิ” และ “ดีเจ.อ๋อง” มาร่วม LIVE FROM HOME! ถ่ายรายการกันแบบหยุดเชื้อเพื่อชาติ เพื่อให้ทุกคนได้ SHOP FROM HOME!ถึงแม้จะอยู่บ้าน แต่ก็ยังช้อปสนุกเพลินๆ ได้ โดยมาในธีม Central Brand Day ที่เซ็นทรัลขนสินค้าหลายรายการมาลดกระหน่ำแบบไม่เคยมีมาก่อน โดยครั้งนี้ “ป้าตือ” เล่าว่า “เป็นซีซั่น 3 ของ TuesLIVE X LINE SHOPPING ที่พิเศษกว่าที่เคยค่ะ ครั้งนี้นอกเหนือจากสินค้าที่แต่ละแบรนด์คัดสรรมาแล้ว ทางรายการยังช่วยให้คุณช้อปได้สบายกระเป๋ากว่าที่เคย ด้วยคูปองลดราคาในทุกๆ สัปดาห์ รวมตลอดแคมเปญหลายล้านบาท แต่ในทุกๆ สัปดาห์อยากให้ติดตามรายการให้ดี ทุกวันอังคาร เวลา 17.00 น. เพราะป้ามีเซอร์ไพรส์โค้ดให้กับทุกๆ คนแบบไม่เคยมีมาก่อน ลดสูงสุดถึง 1,500 บาท ที่เตรียมเซอร์ไพรส์มาให้ทุกสัปดาห์แบบต้องนั่งจ้องหน้าจอรอช้อป ไม่อยากให้ใครพลาดเลยจริงๆ ค่ะ เพราะมีจำนวนจำกัด”

สำหรับ Central Brand Day ในสัปดาห์นี้ มีทั้งสินค้ากีฬาจากแบรนด์ดัง Nike ที่อยากให้ทุกคนได้ออกกำลังกายและสุขภาพดี รวมถึงสินค้าจากซานริโอ้ รวมทั้งแฟลชเซลล์ ที่มีสินค้าเซอร์ไพรส์ๆ และอยากให้ทุกคนรอช้อป! ยิ่งไปกว่านั้นใครที่อยากไปเลือกช้อปเอง สามารถกดสั่ง Central/Robinson Gift Card ในราคาพิเศษไปอีกก!!

LINE SHOPPING X @TuesLIVE ยังแจกคูปองตลอดซีซั่น 3 นี้อีกกว่า 1 ล้านบาท พิเศษสุดๆ! สำหรับ Top Spender 5 คนแรกที่ช้อปสูงสุดตลอดแคมเปญนี้จะได้ไปร่วมพักผ่อน ณ โรงแรมศรีพันวา กับ Exclusive Trip  เพียงแค่กดช้อป ก็มีสิทธิ์ร่วมลุ้นไปทริปครั้งนี้ สำหรับสัปดาห์หน้า บอกใบ้ให้ก่อนว่าจัดเต็มสินค้าดีๆ จาก “วิลล่า มาร์เก็ต” มาแน่นอน เฝ้าจอรอช้อป!! ทุกวันอังคาร เวลา 17.00 น. เพียงแอด @LINESHOPPING และ @TuesLIVE ทางแอพพลิเคชั่น LINE

“บุเกนได เทปันยากิ” ชวนลิ้มรสวัตถุดิบพรีเมียมสุดฟิน

มาสัมผัสบรรยากาศความสนุก พร้อมอิ่มอร่อยภายในร้านอาหารญี่ปุ่น  “บุเกนได เทปันยากิ” (Bugendai Teppanyaki) ที่ ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 กันอีกครั้ง   เพราะล่าสุดเหล่าเชฟคนเก่ง พร้อมกลับมามอบประสบการณ์ความสุขในทุกมื้ออาหาร ในรูปแบบนั่งรับประทานภายในร้าน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าทุกท่าน จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ รอบละ15 ที่นั่ง และ มีการทำความสะอาดทุกจุดสัมผัสก่อนเสิร์ฟความอร่อย ด้วยหลากหลายเมนูเทปันยากิชั้นเลิศ และ เชฟโชว์ ชมลีลาการปรุงสุกเร้าใจและพิถีพิถัน เรียกรอยยิ้มให้กับอาหารทุกเมนู   พร้อมเปิดบริการมอบความอร่อยทุกวัน  ตั้งแต่เวลา 11.00 น.- 21.00 น. และยังมีโปรโมชั่นพิเศษ พบกับมื้ออาหารกลางวันสุดเอ็กคลูซีฟ อาทิ สเต็กหมู สเต็กไก่ราดซอสเทอริยากิ หมูทอดเกล็ดขนมปังบราดซอสบุเกนได  ข้าวหน้าเนื้อย่างยากินิกุ และ เบอร์เกอร์เนื้อวากิวในราคาสุดพิเศษ ทุกวันจันทร์-ศุกร์  เวลา 11:30 น. – 14:00 น. อีกด้วย  

สำรองที่นั่ง  บุเกนได เทปันยากิ (Bugendai Teppanyaki)  ชั้น 2 ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9  หรือสั่งเมนูอร่อยแบบส่งตรงถึงหน้าบ้าน ได้ที่ Facebook:Bugendai.teppanyaki  โทร : 061-996-8494

ติดตามกิจกรรมและโปรโมชั่นดีๆองศูนย์การค้าเดอะไนน์เซ็นเตอร์พระราม9ได้ที่ www.thenine.co.th  หรือ เฟซบุ๊กเพจ  The Nine Center Rama 9และ อินสตาแกรมtheninerama 9

SCN อวดโรงไฟฟ้ามินบูฟอร์มดี รับรายได้ต่อเนื่อง

ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้นำด้านธุรกิจพลังงาน พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก อัพเดตถึงผลงานจากโครงการชื่อดัง “โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู” จากประเทศเมียนมาร์ โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2564 โครงการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับภาครัฐได้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นการดำเนินกำลังการผลิตติดตั้งในเฟสที่ 1 จำนวน 50 เมกะวัตต์

พร้อมกันนี้ บริษัท SCN รวมถึงกลุ่มผู้ถือหุ้นของโครงการต่างได้รับการชำระค่าไฟอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด คือเมื่อวันที่ 1 ก.พ. , 22 มี.ค. , 12 เม.ย. และล่าสุด 25 พ.ค. โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน บริษัท กรีนเอิร์ธ พาวเวอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด รับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าโครงการมินบูมาแล้วกว่า 4.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 133.73 ล้านบาท

หลังจากสถานการณ์โควิดภายในประเทศเมียนมาร์คลี่คลายลง ทางบริษัทมีการปรับแผนเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้ามินบูเฟสที่ 2 อย่างเต็มสูบ ในขณะเดียวกันสำหรับเฟสที่ 3 และ 4 ยังคงมีการดำเนินการก่อสร้างตามแผนที่วางไว้ ซึ่งหาก COD ครบทั้ง 4 เฟสในปี 2565  จะทำให้รับรู้รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1400 ล้านบาท

ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศเมียนมาร์ยังมีความต้องการใช้ไฟสูงมากขึ้น แม้มีเรื่องของการเมืองเข้ามาเป็นประเด็นให้ทั่วโลกสนใจ แต่การพัฒนาด้านต่างๆภายในประเทศเมียนมาร์ก็ยังคงเดินหน้าต่อ ความต้องการใช้ไฟฟ้าซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาจึงเพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่าโรงไฟฟ้ามินบูนั้น จะไม่ได้รับผลกระทบจากประเด็นทางการเมือง

แนะนำฟีเจอร์สุดเจ๋ง ShopeePay ผู้ช่วยจ่ายบิลอัตโนมัติทุกเดือน

ในแต่ละเดือน เชื่อว่าหลายคนมีบิลค่าใช้จ่ายหลายรายการที่ต้องเคลียร์ บางคนอาจลืมจนทำให้จ่ายเกินเวลาที่กำหนด ShopeePay (ช้อปปี้เพย์) ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินผ่าน Mobile Wallet ชั้นนำจาก SeaMoney มุ่งยกระดับประสบการณ์การชำระเงินออนไลน์ของคนไทยให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยฟีเจอร์ ‘ผู้ช่วยจ่ายบิลอัตโนมัติ’ ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานจ่ายบิลได้ตรงเวลาในทุกๆ เดือน ใช้งานง่าย สะดวก และปลอดภัย ครอบคลุมทุกการจ่ายบิล ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าอินเทอร์เน็ต โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งวันที่ในการจ่ายบิลล่วงหน้า และเลือกชำระจาก Wallet Balance ผ่านบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตที่ผูกกับ ShopeePay ในการตัดยอดบิลนั้นๆ ได้

ขั้นตอนง่ายๆ ในการสมัครฟีเจอร์ ผู้ช่วยจ่ายบิลอัตโนมัติของ ShopeePay

  1. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ShopeePay ได้ฟรีจาก App Store, Google Play Store และ App Gallery
  1. เข้าสู่เมนู จ่ายบิล มองหาสัญลักษณ์ผู้ช่วยจ่ายบิลอัตโนมัติ

  1. เลือกสมัครได้ วิธี
  • กดปุ่ม ‘เปิดใช้งานผู้ช่วยจ่ายบิล’ ที่จะปรากฎหลังจากการทำรายการจ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต สำเร็จ

  • หรือเปิดใช้งานจากการตั้งค่าที่หน้าหลักของ ShopeePay โดยเข้าเมนู ฉัน ที่แถบด้านล่างขวามือ แล้วกดเลือก บิลของฉัน จากนั้นเลือก ระบบผู้ช่วยจ่ายบิล และเลือก ติดตั้งระบบผู้ช่วยจ่ายบิล เพียงเท่านี้ก็สามาถตัดยอดบิลอัตโนมัติได้ง่ายๆ ในทุกเดือน

ในกรณีที่ผู้ใช้งานต้องการยกเลิกการใช้บริการฟีเจอร์ผู้ช่วยจ่ายบิลอัตโนมัติก็สามารถยกเลิกบน ShopeePay เมื่อใดก็ได้ตามต้องการ

นอกจากนี้ ใครที่ยังไม่เคยจ่ายบิลบน ShopeePay หรือบน Shopee พร้อมจ่ายผ่าน ShopeePay สามารถทดลองใช้กันได้เลย เพราะช่วงนี้มีสิทธิพิเศษและโปรโมชันสุดคุ้มมากมายสำหรับลูกค้าใหม่ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มิถุนายน 2564

  • จ่ายบิลครั้งแรก รับ Shopee Coins Cashback 50 Coins โดยมียอดจ่ายขั้นต่ำ 100 บาทขึ้นไปทุกบิล
  • จ่ายบิลครบ 4 หมวด จากทั้งหมด 166 รายการบิล รับคูปองส่วนลดสูงสุดรวม 100 บาท
  • จ่ายบิลบัตรเครดิตครั้งแรก รับเงินคืน 30 Coins โดยมียอดจ่ายขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป
  • จ่ายบิลประกันของ FWD รับเงินคืนสูงสุด 40 Coins บิลประกัน และประกันอื่นๆ รับเงินคืนสูงสุด 30 Coins โดยมียอดจ่ายขั้นต่ำ 100 บาทขึ้นไป
  • จ่ายบิล 3BB ครั้งแรก รับเงินคืนรวมสูงสุด 90 coins

สมัครเลยฟีเจอร์ผู้ช่วยจ่ายบิลอัตโนมัติที่จะมาเป็นคู่หูคนใหม่ พร้อมติดตามรายละเอียดสิทธิประโยชน์ และโปรโมชันอื่นๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/ShopeePayTH

เพลิดเพลินกับประสบการณ์การใช้จ่ายที่ดียิ่งขึ้นกับ ShopeePay เพียงกดอัปเดตแอปพลิเคชันเป็นเวอร์ชันล่าสุด หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ฟรีจาก
App Store  Google Play Store และ App Gallery

SAPPE ร่วมกับ ส.เครื่องดื่มไทยฯ มอบผลิตภัณฑ์แก่ กทม.

นายอดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์ (ขวา) รองประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ร่วมกับ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย จัดโครงการ แบ่งปันน้ำใจ เพื่อสังคมไทยน่าอยู่ ร่วมส่งมอบผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผสมวิตามิน ‘บลู’ จำนวน 300 ลัง มูลค่ารวม 144,000 บาท ให้กับกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นสื่อกลางในการรับบริจาคสิ่งของ นำไปส่งต่อให้บุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรในด่านหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด ในโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลสนาม โดยมี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง (ที่ จากซ้าย) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้เกียรติเป็นผู้รับมอบ ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

GTG จับมือพันธมิตรใหม่ ลุยตลาดกัญชา-กัญชง

บริษัท โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล กรุ๊ป จำกัด หรือ GTG ผู้ประกอบการต้นน้ำด้านธุรกิจกัญชา-กัญชง ผู้พัฒนาสายพันธุ์ ‘รักษา’ (Raksa) และผู้ผลิตสารสกัด CBD ที่ผ่านมาตรฐาน GMP ได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดจากการระดมทุนครั้งใหญ่ โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนที่มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 250 ล้านบาท โดยได้ผู้ลงทุนยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI ที่ 70 ล้านบาท และ บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ UPA ที่ 50 ล้านบาท ของมูลค่าบริษัทกว่า 2,000 ล้านบาทมาร่วมอยู่ด้วย

โดย นายกฤษณ์ ธีรเกาศัลย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล กรุ๊ป จำกัด หรือ GTG เผยว่า เม็ดเงินลงทุนนี้จะสามารถนำมาเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาด ณ ปัจจุบันได้ อีกทั้งในด้านอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอางเองล่าสุดทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีกฎหมายฉบับแรกที่มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2564 คือ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การใช้กัญชงในเครื่องสำอาง และในครั้งนี้มีความคืบหน้าในการจัดทำ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การใช้สารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออลจากกัญชาและกัญชงในเครื่องสำอาง และ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอาง เรื่อง ฉลากของเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารแคนนาบิไดออล (CBD) จากกัญชาและกัญชงในเครื่องสำอาง ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการอนุญาตให้ใช้สาร CBD ได้เต็มที่ 1% ของน้ำหนัก และมีสาร THC ต่ำกว่า 0.2%  จากกัญชาและกัญชงที่ปลูกในประเทศเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง และการกำหนดเงื่อนไขการแสดงฉลาก จึงทำให้ผู้ประกอบการรายต่างๆ ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางหันมาให้ความสนใจกับ GTG และเป็นที่ต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น”

ปัจจุบันตลาดมีความเข้าใจถึงผลิตภัณฑ์ CBD ของ GTG มากขึ้นพร้อมทั้งยังมีความต้องการนำสารสกัดไปใช้กับผลิตภัณฑ์ในเครื่องสำอางเนื่องจากตัวสารสกัดของ GTG เองให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่าสารสกัดในท้องตลาดทั่วไปจากการสกัดออกมาในรูปแบบของ Full Spectrum นั่นเอง

ธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและลงทุนในพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศไทย ที่รวมถึง กัญชงและกัญชานั้น กำลังเป็นที่นิยมและเป็นที่ยอมรับในสังคมไทยปัจจุบันเป็นอย่างมาก หลังจากภาครัฐปลดล๊อคกัญชาและกัญชง ออกจากการเป็นยาเสพติด แม้จะไม่ได้ปลดล๊อคครบทุกส่วน แต่ธุรกิจหลายธุรกิจก็เริ่มนำประโยชน์ของกัญชงและกัญชามาใช้ในการประกอบธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเพื่อบริโภค หรือ สินค้าเพื่ออุปโภค หรือนำไปใช้กับทางการแพทย์

การร่วมพันธมิตรครั้งนี้ของทาง GTG และสองบริษัทยักษ์ใหญ่ อาจจะส่งผลให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และสินค้าอุปโภค บริโภค ที่มาจากกัญชงและกัญชา ความแปลกใหม่และประโยชน์ของสินค้านั้นอาจทำให้เกิดความหลากหลายในการเลือกใช้สินค้าของผู้บริโภคได้มากขึ้น