นางผาสุข รักษาวงศ์ (ที่ 2 จากขวา) รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นางสาววราภรณ์ กุลสวัสดิ์ภักดี (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริ
KISS ตั้งรับครึ่งปีหลังดันอุตสาหกรรมสุขภาพความงามคึกคัก
บมจ. โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ KISS เตรียมพร้อมแผนตั้งรับครึ่งปีหลัง หลังภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบต่างๆ คาดจังหวะเศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัวครึ่งปีหลังยังผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคกลับมาคึกคัก พร้อมดันตลาดผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ ผ่านนวัตกรรมใหม่ โดยล่าสุด GMM เข้าซื้อหุ้นไม่เกินร้อยละ 9.99 ของหุ้นทั้งหมดของ KISS ตามแนวทางความร่วมมือตามแผนการจัดตั้งกิจการร่วมค้า O2 KISS เสริมความแข็งแกร่งการเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ผ่านแพลตฟอร์ม OSHOPPING เพื่อต่อยอดศักยภาพเติบโตในอนาคตร่วมกัน

นางวรวรรณ ไชยกำเนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประเมินว่า แม้ในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดอาจดูซบเซาจากกำลังซื้อหดตัว แต่หลังจากรัฐบาลเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ และเตรียมแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศของจังหวัดภูเก็ตตั้งแต่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป เป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งส่วนตัวคาดว่า หากแผนการฉีดวัคซีนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นไปตามที่กำหนด น่าจะจะเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังได้ชัดเจนขึ้น ยังผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยน่าจะดีขึ้นตามลำดับ
ล่าสุดนับเป็นก้าวสำคัญระหว่าง KISS และ GMM อีกครั้ง หลังจาก บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GMM ทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เข้าซื้อหุ้น บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผ่านกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมได้แก่ Aurora Asia Holdings Pte. Ltd. (AAH) และนางสาวปิยวดี สอนสิงห์ จำนวน 59,940,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 9.99 ของหุ้นทั้งหมดของ KISS ในราคาเดียวกับที่เสนอขาย IPO ราคา 9 บาทต่อหุ้น ตามที่ได้เคยระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน รวมมูลค่าประมาณ 539.46 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2564 เรียบร้อยแล้ว นับเป็นการตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งการดำเนินงานของ KISS ที่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต
“ความร่วมมือระหว่าง KISS กับ GMM เป็นไปตามข้อตกลง โดยบริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับบริษัท โอ ช้อปปิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ GMM จัดตั้งบริษัท โอทู คิส จำกัด (O2 KISS) เพื่อดำเนินธุรกิจ Media Commerce ซึ่งการเข้ามาถือหุ้นของ GMM ทำให้เราผสานจุดแข็งของ KISS และ GMM O Shopping ทั้งการพัฒนานวัตกรรม การสร้างแบรนด์ การทำตลาด และการดำเนินกลยุทธ์อินฟลูเอ็นเซอร์ผ่านศิลปินที่มีชื่อเสียง ภายในเครือข่ายสื่อบันเทิงอย่างกว้างขวาง และมีช่องทางจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม TV Home Shopping ของ O Shopping จะช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจ รองรับอุตสาหกรรมความงามและสุขภาพที่คาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะสามารถผลักดันให้เกิดการเติบโตตามที่ตั้งใจ” นางวรวรรณ กล่าว

NER พบนักลงทุนในงาน Opportunity Day
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายศักดิ์ชัย จงสถาพงษ์พันธ์ (ซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริ
นอกจากนี้ บริษัทฯ เพิ่มเป้าปริ
“แลคตาซอย พร้อมพ์” ชวนร่วมกิจกรรมแชะรูปรีวิวความอร่อยลุ้นรับรางวัล
“แลคตาซอย พร้อมพ์” นมถั่วเหลืองคุณภาพสูตรออริจินัลนวัตกรรมใหม่ในรูปแบบบรรจุขวดพร้อมดื่ม ขนาด 350 ml ให้คุณประโยชน์ครบครัน อิ่มอร่อยได้ทันที เพื่อผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย พร้อมสำหรับในทุกกิจกรรม ชวนร่วมกิจกรรมแสนง่าย เพียงซื้อแลคตาซอย พร้อมพ์ 2 ขวด ที่เซเว่น หรือ เซเว่นอีเลฟเว่น เดลิเวอรี่ โพสต์รูปแลคตาซอย พร้อมพ์ 2 ขวด ตามสไตล์คุณ แล้วเขียนแคปชันรีวิวความอร่อยสไตล์ต้นตำรับ ติด #LactasoyPrompt #เซเว่น ลงในเฟสส่วนตัว ตั้งค่าเป็นสาธารณะ แคปโพสต์ลงใต้โพสต์กิจกรรมใน Facebook: lactasoyclub แล้วมาลุ้นรับรางวัลสเปเชียลเซ็ทฟรี จำนวน 20 รางวัล
โดยในเซ็ทประกอบด้วยนมถั่วเหลืองคุณภาพรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ บรรจุ 6 ขวด มาพร้อมกับกระเป๋า PromptBag สุดอินเทรนด์ 1 ใบ ราคาเซ็ทละ 399 บาท มูลค่ารวม 7,980 บาท (เก็บใบเสร็จต้นฉบับ หรือภาพถ่ายใบเสร็จที่ซื้อ Lactasoy Prompt ไว้เป็นหลักฐานสำหรับการยืนยันสิทธิ์ในการรับรางวัล) ระยะเวลาร่วมกิจกรรมตั้งแต่วันนี้ ถึง 28 มิ.ย.64 ประกาศรางวัล 30 มิ.ย. 64 รายละเอียดเพิ่มเติม https://bit.ly/3fjVdWH
พบกับเเลคตาซอยพร้อมพ์ ได้แล้ววันนี้ที่ 7-11 ทุกสาขา ในราคา 17 บาท และติดตามรายละเอียดความอิ่มอร่อยสุดฟินและกิจกรรมอื่นๆ ที่แลคตาซอยจัดขึ้นอีกมากมายได้ที่ Facebook: lactasoyclub https://www.facebook.com/lactasoyclub

“เที่ยวไทยถึงรส” เปิดประสบการณ์เที่ยวไทยผ่านวัตถุดิบท้องถิ่น
ภาคท่องเที่ยวเริ่มขยับ ขานรับการฉีดวัคซีนแล้ว เราจะพาชุมชนไทยและอาหารไทยไปด้
ปรากฏการณ์ใหม่ในโครงการ “เที่ยวไทยถึงรส” ในครั้งนี้ นำร่องด้วยการเชิญเชฟชื่อดัง ผู้ที่มีความสนใจและหลงใหลในวั
เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เปิดเผยว่า นี่จะเป็นประสบการณ์ใหม่ที่
นอกจากทำเมนูที่มีความคิดสร้
โครงการเที่ยวไทยถึงรส ยังได้รับความร่วมมือจากร้านค้

เปิดตัวใหม่! เห็ดแครง-ขนุนอ่อน 3 เมนู Healthiful Plant-Based Meat
จากกระแสคนรักสุขภาพและเทรนด์การบริโภคอาหารอย่างยั่งยืน เมื่อผู้บริโภคยุคใหม่ลดการบริโภคเนื้อสัตว์หันมาบริโภคโปรตีนทางเลือกมากขึ้น “Healthiful” (เฮลธิฟูล) ร้านจำหน่ายสินค้าและอาหารเพื่อสุขภาพครบวงจรแห่งแรกของไทย เตรียมพร้อมรุกนวัตกรรมอาหารอย่างยั่งยืนแห่งอนาคต เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “Healthiful Plant-Based Meat” ปฏิวัติวงการ Plant-Based Foods ครั้งแรกกับโปรตีนทางเลือกที่ผลิตจากเห็ดแครงและขนุนอ่อน แก้ทุก Pain-Point ทั้งรสชาติ ราคา รสสัมผัส บริโภคได้ง่ายมากยิ่งขึ้น หวังขยายตลาด Plant-Based Foods ในเมืองไทยให้ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น

นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า จากความสำเร็จของการเปิด Healthiful (เฮลธิฟูล) ร้านจำหน่ายสินค้าและอาหารเพื่อสุขภาพครบวงจรแห่งแรกของไทย เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 ภายใต้แนวคิด Better Choices for a Healthier You (ทางเลือกที่ดีกว่า เพื่อสุขภาพคุณที่ดีขึ้น) และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า จนปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 21 สาขาทั่วประเทศ และเป็นร้านสัญชาติไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับรางวัล 1 ใน 50 ร้านทั่วโลกที่นักช้อปต้องมาเยือนในปี 2020 จาก Institute Grocery Distribution (IGD) ประเทศอังกฤษ ในโอกาสฉลองครบรอบ 1 ปี “Healthiful” (เฮลธิฟูล) ด้วยพันธกิจที่มุ่งมั่นเป็นเพื่อนคู่ใจของคนรักสุขภาพในทุกช่วงชีวิต จึงมุ่งพัฒนานำเสนอสินค้าเพื่อเป็นทางเลือกด้านสุขภาพที่ดีให้กับผู้บริโภค
ด้วยเทรนด์การบริโภคอาหารในอนาคตกำลังเปลี่ยนไป ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ควบควบคู่กับกระบวนการผลิตที่สร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสวัสดิภาพสัตว์มากขึ้น ส่งผลให้การบริโภคมังสวิรัติและลดการบริโภคเนื้อสัตว์ในประเทศไทยเติบโต โดยเฉพาะตลาด Plant-Based Foods ที่กำลังได้รับความสนใจในกลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ ผู้บริโภคสายคลีน กลุ่มคนออกกำลังกาย และกลุ่มใหม่ที่น่าสนใจ คือผู้บริโภคกลุ่ม Flexitarian ที่รับประทานมังสวิรัติแบบยืดหยุ่นเป็นครั้งคราว ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ในบางมื้อ เพื่อรองรับเทรนด์การบริโภคดังกล่าว จึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Healthiful Plant-Based Meat ครั้งแรกกับโปรตีนทางเลือกที่ผลิตจากเห็ดแครงและขนุนอ่อน 3 เมนู ready-to-cook ที่คนไทยคุ้นเคยและง่ายต่อการนำไปประกอบอาหาร ที่ไม่ใช่แค่รักสุขภาพ แต่รสชาติยังยอดเยี่ยม ทานได้ทุกวัน รับประกันว่าต้องถูกปากผู้บริโภคคนไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษฉลองเปิดตัวตั้งแต่วันที่ 16-29 มิถุนายน 2564 ได้แก่
- เฮลธิ.ฟูลโปรตีนกริลด์มีท 160 กรัม ในรูปแบบของ “หมูปิ้งเสียบไม้” ให้ความรู้สึกอาหารเช้าสไตล์สตรีทฟู้ดที่ดีกับสุขภาพ พิเศษ 105 บาท จากปกติราคา 119 บาท/แพค
- เฮลธิ.ฟูลโปรตีนสเต็ก 175 กรัม ชิ้นเนื้อสเต็กนำไปทำอาหารต่อได้ง่ายๆ พิเศษ 129 บาท ปกติราคา 145 บาท/แพค
- เฮลธิ.ฟูลโปรตีนเบอร์เกอร์แพตตี้113 กรัม เพียงจับคู่ทานกับขนมปัง ก็จะได้เบอร์เกอร์แสนอร่อยที่ง่ายและสุขภาพดี พิเศษ 85 บาท ปกติราคา 95 บาท/แพค
นายสเตฟาน กล่าวเพิ่มเติมว่า Healthiful Plant-Based Meat เกิดจากการวิเคราะห์ตลาด ซึ่งปัจจุบัน สินค้า Plant-based แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ Traditional (กลุ่มโปรตีนเกษตรและโปรตีนถั่วเหลือง) และ New Gen (กลุ่มโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์ที่หน้าตาเสมือนเนื้อสัตว์จริง) ข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ กลุ่มคนส่วนใหญ่ที่บริโภคสินค้าNew Gen Plant-based นั้นอยู่ในฝั่งตะวันตก คือ ทวีปยุโรปและอเมริกา จากการสำรวจพบว่าประเด็นหลักที่ทำให้ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บริโภคสินค้า Plant-based น้อยกว่าทวีปยุโรปและอเมริกา คือ กรอบความคิดเดิม เนื่องจาก Plant-based meat ได้ถูกเชื่อมโยงกับเทศกาลกินเจมาโดยตลอด ทำให้ผู้บริโภคในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มองว่าการบริโภค Plant-based meat เป็นสิ่งที่ควรบริโภคเฉพาะเทศกาล และมักทำจากถั่วเหลืองซึ่งมีกลิ่นแรง จึงเน้นบริโภคเต้าหู้มากกว่า, ลักษณะการบริโภคเนื้อสัตว์ เนื่องจาก Plant-based meat new gen นั้นมาจากฝั่งตะวันตกที่เน้นการบริโภคเมนูเนื้อวัว ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่บริโภคเนื้อหมูและไก่เป็นหลัก จึงนำมาประยุกต์ประกอบอาหารได้ยากกว่า และ ราคา ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญกับผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากสินค้าในกลุ่ม New Gen Plant-based มักเป็นสินค้านำเข้า จึงทำให้ราคาค่อนข้างสูง
Healthiful Plant-Based Meat จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการโดยแก้ Pain-Point ทั้งด้านรสชาติ ราคา รสสัมผัส ผ่านกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันทุกขั้นตอน จนออกมาเป็น 3 ผลิตภัณฑ์ ready-to-cook ที่ดีต่อสุขภาพ รสชาติอร่อย ให้รสสัมผัสที่คนไทยคุ้นเคย รับประทานง่ายทานได้ทุกวันไม่จำเพาะเทศกาล โดยเนื้อแพลนท์เบสใช้วัตถุดิบหลักโปรตีนจากพืช100% คือ “เห็ดแครง”ซึ่งให้โปรตีนสูงและ “ขนุนอ่อน” ทำให้ได้ texture ที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ มีวิตามินและแร่ธาตุจากผัก แปรรูปให้มีสีสันน่ารับประทาน ผสมกับน้ำมันรำข้าว เพื่อให้ได้สัมผัสชุ่มฉ่ำ ไร้กลิ่นหืนของถั่วเหลือง ใช้วัตถุดิบหลักที่ผลิตในประเทศสนับสนุนเกษตรกรไทยโดยคัดเลือกเห็ดแครงคุณภาพจากฟาร์มออร์แกนิคที่เน้นการทำการเกษตรแบบยั่งยืนและใช้ระบบ Bio Cycle ในจังหวัดสงขลา จึงสามารถจำหน่ายสินค้าในราคาที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์และมีราคาถูกกว่า Plant-Based Foods ที่เป็นสินค้านำเข้าเกือบ 50%
นอกจากนี้ Healthiful Plant-Based Meat ไม่มีส่วนประกอบของถั่วเหลือง (Soy free) ปราศจากกลูเตน (Gluten free) จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้แพ้ถั่วเหลืองและกลูเตน ไม่ใส่ผงชูรส ไม่ใส่วัตถุกันเสีย และไม่มีคอเลสเตอรอล ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และสร้างความยั่งยืนด้านอาหาร
Healthiful Plant-Based Meat มีจำหน่ายแล้วที่ร้าน Healthiful ในท็อปส์ มาร์เก็ต,เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และสาขาสแตนด์อโลนเดอะคริสตัลรามอินทรา หรือช้อปผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ www.tops.co.th, แอปพลิเคชั่น Grab, Foodpanda และ Healthiful Chat & Shop พิเศษ! ตลอดเดือนมิถุนายน Healthiful ฉลองครบรอบ 1 ปี เมื่อซื้อสินค้าครบ 800 บาท รับฟรีกระเป๋าเก็บความเย็น มูลค่า 259 บาทและสั่งซื้อสินค้าผ่าน Healthiful Chat & Shop (Line & Facebook : HealthifulOfficial) ครบ 500 บาท ส่งฟรี Kerry ทั่วประเทศ (เฉพาะสินค้า grocery)
ติดตามข้อมูลข่าวสาร และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Healthifulofficial

เลื่อนกิจกรรม Food Destination Center เป็น 2 พ.ย. 64 – 24 ม.ค. 65
“AEC Trade Center – PANTIP Wholesale Destination” ศูนย์ค้าส่งใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค หนึ่งเดียวใจกลางกรุงเทพฯ เลื่อนการจัดกิจกรรม “Beyond Exhibition – Food Destination Center” เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ร่วมงาน กำหนดวันจัดกิจกรรมใหม่เป็น 2 พฤศจิกายน 2564 – 24 มกราคม 2565 โดยยังคงความตั้งใจเดิมที่จะให้กิจกรรมนี้เป็นศูนย์รวมของพันธมิตรผู้ประกอบการชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหารไว้มากที่สุด เปิดประสบการณ์แบบครบวงจรให้กับพันธมิตรผู้ประกอบการชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อการค้าส่งตั้งแต่ต้นน้ำไว้มากที่สุด รวมทั้งเป็นมิติใหม่ของศูนย์ค้าส่งด้านธุรกิจอาหารครบวงจรที่สะดวกที่สุด ครบที่สุด ราคาดีที่สุด เพื่อพาผู้ประกอบการไทยก้าวข้ามทุกข้อจำกัดด้านการค้ายุคเดิม ๆ สู่การทำธุรกิจยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพ และสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงท่ามกลางการแข่งขันในเวทีการค้าโลก
ผู้สนใจกิจกรรม Food Destination Center ดูรายละเอียดได้ที่ https://beyondexhibition.aectradecenter-th.com หรือสอบถามฝ่ายขาย โทร. 061 416 6790, 065 950 5986
TPCH จ่อเสียบปลั๊กโรงไฟฟ้าเพิ่ม 10 MW
TPCH เตรียม COD โรงไฟฟ้าขยะเพิ่ม กำลังผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ ลุ้นผลประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ คาดเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ พร้อมเดินหน้าศึกษาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ฟาก “กนกทิพย์ จันทร์พลังศรี” ประธานคณะกรรมการบริหาร มั่นใจผลงานปี 64 โตแกร่ง
นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจที่เหลือของปีนี้ ยังมีสัญญาณที่ดี เนื่องจากบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการ COD โรงไฟฟ้าชีวมวลครบ 10 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวล CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP , PTG ,TPCH 5 , TPCH 1 และ TPCH 2 กำลังการผลิตรวม 109 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะ COD โรงไฟฟ้าขยะ สยาม พาวเวอร์ (SP) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ เพิ่ม เพื่อให้มีกำลังการผลิตรวมตามแผนที่วางไว้
“แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากและกระจายไปในหลายจังหวัดก็ตาม แต่บริษัทฯ ยังเดินหน้าที่จะ COD โรงไฟฟ้าขยะ SP เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรวมจากเดิม 109 เมกะวัตต์ เป็น 119 เมกะวัตต์ โดยมั่นใจว่า จะช่วยสนับสนุนผลงานทั้งรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง” นางกนกทิพย์กล่าว

ด้าน นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH กล่าวว่า โรงไฟฟ้าขยะ สยาม พาวเวอร์ (SP) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทดสอบระบบไปกว่า 90% คาดว่าจะสามารถ COD ได้ตามแผนที่วางไว้ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐชีวมวล แม่ลาน ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 3 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าประชารัฐชีวมวล บันนังสตา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 3 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถ COD ได้ในปีหน้า และในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) พ.ศ. 2564 บริษัทฯ ได้ยื่นเข้าร่วมประมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ บริษัทฯ ได้ร่วมยื่นประมูลจำนวน 10 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการจะอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัดของประเทศ ขณะนี้รอผลการประกาศจากทางภาครัฐ ที่เลื่อนออกไป เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ นอกจากนี้บริษัทฯ ได้มีการเข้าไปศึกษาและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะอยู่ประมาณ 3-5 แห่ง และอยู่ระหว่างการศึกษาผลตอบแทนในการลงทุนของแต่ละโครงการ คาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ เพื่อเป้าหมายการมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 250 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566” นายเชิดศักดิ์กล่าวในที่สุด
อนึ่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ งวดไตรมาส 1/64 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564) บริษัทฯ มีรายได้รวม 566.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 393.36 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 47.45 ล้านบาท
SCN เยี่ยมชมโรงงานสกัดกัญชง – กัญชา
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN และคณะทีมงาน เข้าศึกษาและเยี่ยมชมบริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านสารสกั
TPIPP ติดอันดับหนึ่งในกลุ่มหลักทรัพย์ยั่งยืน ESG100
‘บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์’ หรือ TPIPP ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งรายใหญ่ของไทย ได้รับคัดเลือกติดอันดับหนึ่งในกลุ่มหลักทรัพย์ยั่งยืน ESG100 ประจำปี 2564 จากจำนวน 824 หลักทรัพย์ ในฐานะเป็นบริษัทที่มีผลดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากสถาบันไทยพัฒน์ นับเป็นการเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเดินหน้าพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนในระยะยาว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา TPIPP ยึดมั่นและให้ความสำคัญในกระบวนการทำงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) มาโดยตลอด ซึ่งครอบคลุมการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อันจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียของกิจการและพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้ สถาบันไทยพัฒน์ได้ประเมินข้อมูลด้านความยั่งยืนในปี 2564 โดยครอบคลุม 824 หลักทรัพย์ ซึ่งการจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นสำคัญและเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป
การที่ TPIPP ได้รับการคัดเลือกให้เป็นบริษัทในกลุ่ม ESG100 ไม่เพียงแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนมากขึ้น หากแต่ยังเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทได้อย่างดีอีกด้วย
