SMD เดินหน้าขยายแผนการลงทุนด้านเครื่องมือ-อุปกรณ์แพทย์

บมจ.เซนต์เมด (SMD) โชว์ฟอร์มก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อสร้างการเติบโตแบบสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว หลังเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (maiรองรับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและสังคมแห่งการดูแลสุขภาพ พร้อมขานรับนโยบายผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เดินหน้าขยายแผนการลงทุนศูนย์ตรวจการนอนหลับ-ธุรกิจให้เช่า คาดปี 2564 – 2566 ใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 240 ล้านบาท  

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรก เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2564 ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค โดยใช้ชื่อย่อ ‘SMD’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งมั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ และพื้นฐานการดำเนินธุรกิจในการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์มากกว่า 30 ราย แก่ผู้ผลิตชั้นนำในหลากหลายประเทศ เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลทั่วไปและสถานพยาบาลชั้นนำในประเทศ ที่จะได้รับประโยชน์จากความต้องการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น จะสนับสนุนให้ SMD เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมสร้างการเติบโตควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ SMD ต้องเร่งปรับตัว สร้างธุรกิจให้มีความพร้อม สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และรับนโยบายผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เพื่อสร้างการเติบโตแบบสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว มากกว่าการเร่งสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยวางเป้าหมายรายได้ช่วง 3 ปี (2564-2566) จะเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี

หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ บริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจในปี 2564-2566 คาดใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 240 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. ใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ จำนวน 90 ล้านบาท โดยร่วมกับโรงพยาบาลชั้นนำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล วางเป้าหมายจะเริ่มโครงการให้ได้อย่างน้อย 8 เตียงตรวจต่อโครงการต่อปี ด้วยงบประมาณเบื้องต้น 15 ล้านบาท ต่อ 4 เตียงตรวจ และมีระยะดำเนินการตามสัญญาไม่น้อยกว่า 8 ปี ซึ่งคาดว่าภายในปี 2566 จะมีเตียงทั้งสิ้น 28 เตียงตรวจ

และ 2. เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนในเครื่องมือแพทย์ให้เช่า จำนวน 150 ล้านบาท รองรับการขยายตัวทางธุรกิจให้เช่าเครื่องมือแพทย์ในอนาคต โดยจะเน้นโครงการขนาดใหญ่ และเครื่องมือแพทย์พื้นฐาน เช่น เครื่องวัดสัญญาณชีพ เครื่องกระตุกหัวใจ เครื่องให้น้ำเกลือ เป็นต้น ซึ่งรูปแบบสัญญาเช่าต้องไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ระยะเวลาให้เช่าเฉลี่ย 3-5 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายหาสัญญาเช่าใหม่ระหว่างปี 2564-2566 ปีละไม่ต่ำกว่า 200-400 ล้านบาท  นอกจากนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากจากระดมทุนใช้ในการชำระคืนหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงิน จำนวน 60 ล้านบาท โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) หลัง IPO จะลดลงต่ำกว่า 0.5 เท่า จากปี 2563 อยู่ที่ 1.87 เท่า ซึ่งการระดมทุนทำให้มีฐานทุนเพิ่มขึ้นและสนับสนุนความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน ทำให้ SMD สามารถจ่ายเงินปันผลตามนโยบายที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน และที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ รองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า SMD เป็นบริษัทฯ ที่มีศักยภาพจากจุดเริ่มต้นในการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ ซึ่งมีฐานรายได้หลักมาจากกลุ่มสินค้าในห้องฉุกเฉิน (ER)+ และห้องผู้ป่วยวิกฤติ (ICU) รวมถึงเครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วยนอนกรนและหยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับการยอมรับในแวดวงทางการแพทย์ ส่งผลให้ธุรกิจของ SMD เติบโตสม่ำเสมอ และถือได้ว่าโดดเด่นเหนือกว่าบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน

หลังจากนี้ SMD ได้วางแผนขยายการลงทุนด้านศูนย์ตรวจการนอนหลับ ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วยหายใจในขณะนอนหลับเป็นจำนวนมาก และยังเป็นโอกาสที่ดีในการรุกขยายเข้าสู่กลุ่มธุรกิจให้เช่าเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าภาครัฐ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยได้ง่ายกว่าเดิม ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์มีโอกาสได้ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยเร็วขึ้น และถือเป็นการสร้างประโยชน์ไปสู่คนไข้ให้ได้รับการรักษาผ่านเครื่องมือที่ทันสมัยอยู่เสมออีกด้วย

บีโอไอ ปั้นผู้ประกอบการสู่ตลาดโลก สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ

บีโอไอ เดินหน้าสร้างความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนทำธุรกิจในตลาดโลก เปิดหลักสูตร“สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” หรือ TOISC รุ่นที่ 19 หวังยกระดับทั้งด้านองค์ความรู้ เคล็ดลับ และการบริหารจัดการนำธุรกิจไทยเจาะตลาดต่างแดน

นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการไทยสู่การทำธุรกิจในตลาดโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในบทบาทของบีโอไอที่ต้องดูแลและพัฒนาผู้ประกอบการไทย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงได้จัดหลักสูตรอบรม “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” หรือ TOISC รุ่นที่ 19 ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริหารการจัดการธุรกิจในต่างประเทศ ด้วยการส่งเสริมเพิ่มพูนความรู้แก่เจ้าของธุรกิจ ทายาทธุรกิจและระดับผู้บริหารที่ได้รับมอบหมายจากองค์กรให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแสวงหาโอกาสสำหรับการลงทุนในตลาดต่างประเทศ

หลักสูตรดังกล่าวจะเจาะลึกทุกเรื่องที่จำเป็นในการลงทุนโดยถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ของวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ ทั้งเรื่องเทคนิคการสร้างความสัมพันธ์การเจรจาเชิงธุรกิจการพัฒนาบุคลิกภาพและมารยาทสากลเพื่อเชื่อมสัมพันธ์การลงทุน การออกแบบธุรกิจเพื่อการลงทุน ในต่างประเทศ ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางตลาดโลกและแนวโน้มของตลาดเกิดใหม่ ความรู้เรื่องกฎหมาย เรื่องภาษี เรื่องพิธีการทางศุลกากรในต่างประเทศ ข้อควรระวังเรื่องการจัดทำเอกสารความตกลงต่างๆ การหาแหล่งเงินทุน ตลอดจนเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่ในต่างประเทศให้ความสำคัญ

นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนเคล็ดลับของธุรกิจไทยที่เติบโตในต่างแดน มีกิจกรรมกลุ่มสร้างเครือข่ายนักธุรกิจเพื่อการลงทุน รวมทั้งมีกิจกรรมศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย สำหรับปี 2564 จะเน้นเส้นทางการลงทุนในประเทศกลุ่มอาเซียน ซึ่งผู้ประกอบการจะได้เข้าพบหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและสมาคมต่างๆ ที่สำคัญ เพื่อรับฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจ เยี่ยมชมสถานที่ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พร้อมจับคู่ธุรกิจกับบริษัทไทยที่มาลงทุนในต่างประเทศ สำรวจย่านเศรษฐกิจการค้า และตลาดท้องถิ่น พร้อมเส้นทางโลจิสติกส์อีกด้วย

“แม้ว่ายังคงมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บีโอไอได้เตรียมสร้างความพร้อมให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลักสูตรสร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศนี้ได้ดำเนินการมาถึงรุ่นที่ 19 แล้ว โดยที่ผ่านมาผู้เข้ารับการอบรมหลายรุ่นได้สะท้อนมุมมองที่เป็นประโยชน์หลายด้าน เช่น ได้ประสบการณ์ตรงจากวิทยากรผู้ที่ลงทุนในต่างประเทศแล้วจริงๆ มีมุมมองทั้งเรื่องความท้าทาย สิ่งที่ต้องระมัดระวัง ซึ่งเป็นการวางพื้นฐานที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ และสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในองค์กรช่วยวางแผนการดำเนินการเรื่องต่างๆ ได้ตรงจุดมากขึ้น บีโอไอจึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้เพื่อช่วยยกระดับทั้งด้านบริหารจัดการ และเพิ่มพูนความรู้ต่างๆ อย่างรอบด้าน” รองเลขาธิการบีโอไอกล่าว

ทั้งนี้ หลักสูตรนี้จะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 23 มิถุนายน 2564 สำหรับผู้สนใจสมัครสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย โทรศัพท์ 0 2553 8111 ต่อ 6245 หรือ E-mail: [email protected] หรือ @Line ID: boi.toisc

‘ชาร์ป’ ส่ง ‘พลาสม่าคลัสเตอร์’ รุกตลาด B2B

จากความสำเร็จในการเป็นผู้นำตลาดเครื่องฟอกอากาศในครัวเรือน ชาร์ปเปิดตัวนวัตกรรมฟอกอากาศ พลาสม่าคลัสเตอร์ สำหรับภาคธุรกิจ B2B เพื่อยกระดับมาตรฐานอากาศสะอาดสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการพื้นที่สาธารณะ เล็งเจาะตลาดระบบขนส่งมวลชน-โรงแรม-อสังหาริมทรัพย์และสถานประกอบการ ปูพรมใช้งานแล้วทั้งในระบบขนส่งมวลชน คอนโดมิเนียม โรงแรมและโรงพยาบาล ลั่นพร้อมบุกตลาด B2B อย่างเต็มรูปแบบ ในปี 2564

นายโรเบิร์ต อู๋ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ป ไทย จำกัด เปิดเผยว่า “ชาร์ป คอร์ปอเรชั่น เล็งเห็นถึงปัญหาและความจำเป็นของคุณภาพอากาศที่สะอาดและปลอดภัย จึงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์เอกสิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวของชาร์ปอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่นำมาปรับใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทั้งเครื่องฟอกอากาศ ตู้เย็น เครื่องดูดจับไรฝุ่นและเครื่องปรับอากาศ แต่ยังนำมาต่อยอดในพื้นที่สาธารณะต่างๆอีกด้วย ซึ่งล่าสุดชาร์เล็งเห็นความสำคัญของการควบคุมและจัดการกระระบาดของโควิด-19 ว่าวัคซีนจะเป็นหนทางในการควบคุมการระบาดได้ดีที่สุดจึงได้มอบเครื่องใช้ไฟฟ้า ให้กับ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ประชาชน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหน่วยงานที่รองรับความต้องการของประชาชนได้มากเป็นลำดับ 2 ของประเทศ รองจากศูนย์รับวัคซัน ณ สถานีบางซื่อ โดยคาดการว่าจะมีผู้เข้ารับวัคซีนกว่า 2,000 ราย ต่อวัน

นอกจากนี้ ชาร์ป ยังทำโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Write to Breathe” ที่ทางชาร์ปได้ลงพื้นที่ทำกิจกรรมไปแล้วทั้งสิ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยทางชาร์ปให้โอกาสเด็กๆ ในท้องที่ได้เขียนแสดงความเห็นเกี่ยวกับมลพิษที่พวกเขาต้องเผชิญ ภายใต้หัวข้อ “I have right to breath” สอดรับกับชื่อโครงการที่เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้ลอง Write(เขียน)” ถึงสิ่งที่เป็น “Right(สิทธิ)” ของพวกเขาเอง  พร้อมทั้งส่งมอบเครื่องฟอกอากาศทั้งสิ้น 40 เครื่อง ให้แก่โรงเรียนและสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าในจังหวัด รวมถึงจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและดูแลตนเองในยามที่ต้องใช้ชีวิตในสภาวะอากาศเป็นมลพิษโดยอาจารย์จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากเด็กๆ เป็นอย่างดี นำไปสู่กิจกรรมครั้งที่ 2 ที่จังหวัดราชบุรี โดยครั้งนี้ทางชาร์ปจับมือกับศูนย์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบสนุกเข้าใจง่ายและลงพื้นที่มาทำกิจกรรมกับน้องๆ เยาวชนในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงพิษภัยของฝุ่น PM 2.5 พร้อมมอบเครื่องฟอกอากาศให้แก่โรงเรียนและมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับเด็กจำนวน 15 หน่วยงาน เป็นจำนวน 42 เครื่อง

ในด้านประสิทธิภาพเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ ศุภโชค เจนธรรมนุกูล ผู้ช่วยผู้จัดการแผนกโซลูชั่นดีไซน์  บริษัท ชาร์ป ไทย จำกัด เปิดเผยว่า  “พลาสม่าคลัสเตอร์ เป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์ของชาร์ปที่ถูกคิดค้นและใช้งานครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อน โดยทางฝ่ายวิจัยและพัฒนาได้คิดค้นและต่อยอดพลาสม่าคลัสเตอร์ จนได้รับการรับรองจากสถาบันมากกว่า 30 แห่งทั่วโลกว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยยับยั้งไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา ช่วยสลายสารก่อภูมิแพ้ กลิ่นไม่พึงประสงค์ ผลการทดสอบของสถาบันต่างๆ พบว่า เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ ช่วยยับยั้งไวรัสในอากาศได้ถึง 99%  และผลวิจัยล่าสุดที่ร่วมกับศูนย์วิจัยแห่งชาติเพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคติดเชื้อ สถาบันเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ยังพบว่า เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ ช่วยลดจำนวนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ในอากาศได้มากถึงร้อยละ 91.3*”

ในสภาวะที่โลกต้องเผชิญกับ PM2.5 และวิถีชีวิตแบบ New Normal จากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ผู้บริโภคทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับมาตราฐานความสะอาดและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น  เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยผู้ประกอบการสร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการให้กับผู้บริโภคได้ ซึ่งชาร์ปเองได้พัฒนาและประยุกต์เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ให้ติดตั้งและใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งภายในระบบระบายอากาศ/กระจายอากาศภายในอาคารหรือพื้นที่สาธารณะ  แบบตั้งพื้น ติดผนังและเพดาน โดยมีการใช้งานจริงและทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานแล้วในหลากหลายภาคพื้นธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นห้องฟอกไตโรงพยาบาลธรรมศาสตร์, รถรับส่งผู้ป่วย (Ambulance) การขนส่งมวลขน เช่น รถไฟฟ้าและรถประจำทาง รวมถึงกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และคอนโดมิเนียม”

จากยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งโดยเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์กว่า 90 ล้านเครื่องทั่วโลก และศักยภาพของทีมงาน Smart Sotution ผู้เชี่ยวชาญในการ ออกแบบ และติดตั้งระบบฟอกอากาศให้เหมาะสมให้กับทุกกิจการ ทำให้ชาร์ปมีความพร้อมที่จะสร้างอากาศสะอาดเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการออกมาจับจ่าย ออกมาใช้ชีวิต ภายใต้แนวคิด Clean Air Society “อากาศสะอาดสร้างได้ ด้วยพลาสม่าคลัสเตอร์

เอาใจคนเลี้ยงสัตว์กับโปรแกรมตรวจสุขภาพ Health Check-Up

โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน (Talingchanpet)  เอาใจคนเลี้ยงสัตว์อีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้ผู้เลี้ยงทุกคนได้เตรียมพร้อมรับมือหากเกิดปัญหาสุขภาพกับสัตว์ที่คุณรักกับโปรแกรมตรวจสุขภาพ “Health Check-Up”  อายุต่ำกว่า 1 ปี เพียง 1,999 บาท , อายุ 1-5 ปี เพียง 3,999 บาท และ อายุ 5 ปีขึ้นไป เพียง 4,999 บาท ปลดล็อคแล้วคนเลี้ยงสัตว์อย่ามัวชะล่าใจจนสายเกินแก้  สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-887-8321-3 , Facebook : https://www.facebook.com/talingchanpetfanpage   หรือ ทาง Line :  @Talingchanpet

“ซังซัง” มอบนมถั่วเหลืองคั้นสด ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด -19

นางสาวสาธิตา จิรพัฒนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แลคตาซอย จำกัด พร้อมด้วยพรีเซ็นเตอร์ซังซัง ออฟจุมพล อดุลกิตติพร มอบผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองซังซัง ขนาด 300 ml. จำนวน 300 ลัง (10,800 กล่อง) ภายใต้ โครงการ ซังซัง…รักกัน ครั้งที่ 2 ให้กับโรงพยาบาลสนามบุษราคัม โดยมี นายพลพีร์ สุวรรณฉวี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นายณัฐนันท์ สุตะวงศ์ และ นพ.พลภัทร สุลีสถิระ ให้เกียรติรับมอบ เพื่อนำไปร่วมเสริมสร้างกำลังกายให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี 

MBK ร่วมกับ สภากาชาดไทย ชวนร่วมบริจาคโลหิต

ชวนคนไทยร่วมใจบริจาคโลหิต ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ร่วมกับ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จัดกิจกรรม บริจาคโลหิต ฝ่าวิกฤตโควิด-19 เพื่อช่วยให้มีปริมาณโลหิตสำรองที่เพียงพอต่อความต้องการสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วประเทศ และลดปัญหาการขาดแคลนโลหิตในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ใน     วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน 2564 ตั้งแต่เวลา 11.00 – 15.00 น. ณ ลานพญาไท ฮอลล์ ชั้น ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ www.mbk-center.co.th และ www.facebook.com/mbkcenterth และ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เอ็ม บี เค คอนแทคท์ เซ็นเตอร์ 1285 ในเวลา 08.30 – 22.00 น.

อัยการ สคช.จันทบุรี มอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชน

นายสุธี ทองแย้ม (กลาง) ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี รับมอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี (สคช.) จ.จันทบุรี นำโดย นายทรงศักดิ์ นาควิจิตร์ (ที่ 4 จากซ้าย) อัยการ สคช. จ.จันทบุรี พร้อมด้วยนายขวัญไพร จันทนา อัยการจังหวัดจันทบุรี นายไพรวัลย์ เพ็งพา อัยการจังหวัดคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดจันทบุรี นายบรรพต จันทรธาดา ที่ปรึกษาสำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา และนักธุรกิจจากเมืองพัทยา โดยสิ่งของที่นำมามอบประกอบด้วย หน้ากากอนามัย, แอลกอฮอล์ และเครื่องอุปโภค บริโภคที่จำเป็น  โดยผู้ว่าฯจันทบุรี จะนำสิ่งของที่ได้รับบริจาคจะนำไปมอบให้บุคลากรทางการแพทย์ และพี่น้องประชาชนที่เข้ารับการรักษาทั้งในรพ.สังกัด รพ.สนาม

นอกจากการช่วยเหลือสิ่งของแล้ว สคช. จ.จันทบุรี ยังมีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินการ และการให้ความรู้ทางด้านกฎหมาย โดยเป็นการบริการฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นค่าธรรมเนียมในชั้นศาลที่ต้องเสียตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน เช่น จัดหาทนายอาสา, จัดทำนิติกรรมสัญญาให้แก่ประชาชน เป็นต้น

NRF ออกหุ้นกู้อายุ 2 ปี จองซื้อ ก.ค. นี้

บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF เสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2564 วงเงินรวมไม่เกิน 700 ล้านบาท เสนอขายไม่เกิน 7 แสนหน่วย อายุหุ้นกุ้ ปี ชูอัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.50% ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 เสนอขายช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2564 สะท้อนเป้าหมายการเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารแห่งอนาคต “Food For Future” ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมอาหารเพื่อสร้างความยั่งยืนให้ระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบ  

นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการ สายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งจาก บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF ซึ่งดำเนินธุรกิจผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ ให้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ของ NRF ครั้งที่ 1/2564 โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2566 หรือมีอายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 6.50% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก เดือนตลอดอายุหุ้นกู้  

ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการยื่น Filing กับสำนักงาน ก.ล.ต. โดยหุ้นกู้ดังกล่าวมีกำหนดเสนอขายในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 600,000 หน่วย และจำนวนที่สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 100,000 หน่วย รวมหุ้นกู้ที่เสนอขายทั้งสิ้นไม่เกิน 700,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเสนอขายไม่เกิน 600 ล้านบาท และสำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าหุ้นกู้ทั้งสิ้นไม่เกิน 700 ล้านบาท ที่ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์นำเงินไปใช้เพื่อการลงทุนโครงการในอนาคต ได้แก่ การลงทุนใน BOOSTED NRF Corp., Inc (“BOOSTED NRF”) เพื่อขยายธุรกิจออนไลน์ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยผู้ที่สนใจสามารถจองซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นกู้ตามที่ระบุในหนังสือชี้ชวน 

ผลการดำเนินงานของ NRF ที่เติบโตก้าวกระโดดสวนกระแสเศรษฐกิจ โดยในไตรมาส 1/2564 NRF มีรายได้จากการดำเนินงาน 472 ล้านบาท เติบโต  77.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการดำเนินงาน 265 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติของ NRF ทำได้ 69 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 49.6% และมี EBITDA อยู่ที่ 83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของรายได้อย่างมีนัยสำคัญจากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ธุรกิจอาหารไทยและอาหารท้องถิ่น รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์เส้นบุกจากกลุ่มลูกค้ารับจ้างผลิตรายเดิมในทวีปอเมริกาเหนือ รวมไปถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการรับรู้รายได้จากบริษัท BOOSTED NRF Corp. 

พร้อมกันนี้ NRF ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ โดยมีเป้าหมายระยะยาวก้าวเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารแห่งอนาคต “Food For Future” ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมอาหารเพื่อสร้างความยั่งยืนให้ระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบ ด้วยนโยบายการเป็น The Purpose – Led Company เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด หรือมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3,000 ล้านบาท ภายในปี 2566 จากปี 2563 มีรายได้จากการขาย 1,408 ล้านบาท โดยจะเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Organic growth และ Inorganic growth  

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา บริษัท เอ็นอาร์เอฟ คอนซูเมอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ร่วมลงทุนกับ Boosted Ecommerce, Inc ซึ่งอยู่ในสหรัฐฯ ได้จัดตั้ง บริษัท BOOSTED NRF Corp. เพื่อลงทุนในธุรกิจ Branded e-commerce บน Amazon.com ซึ่งการลงทุนดังกล่าวเป็นการต่อยอดกลยุทธ์ e-commerce โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ต้องมียอดขายที่ดีในระบบ E-Commerce ของ Amazon.com  

ซึ่งการลงทุนในธุรกิจ E-Commerce ในช่วงที่ผ่านมา ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นตัวเร่งทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะการนำระบบ E-Commerce มาใช้ในการขายสินค้า ทำให้มูลค่าของบริษัท BOOSTED E-commerce Inc., USA เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า จากมูลค่าเดิมที่ NRF ได้ลงทุน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นการต่อยอดธุรกิจเดิมไปสู่ Branded e-commerce บน Amazon.com ที่มีผลิตภัณฑ์อยู่ในกลุ่ม Ethnic Food, Plant-Based Food, Functional Product เข้าไปวางจำหน่ายเพิ่มเติม  

หากมีท่านใดต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  โทร 02-088-9869, 02-088-9870, 02-088-9871, 02-088-9872 

GMM x JOOX ดึง Original Content บุกพื้นที่ต่างประเทศ

นับเป็นปรากฏการณ์ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องระหว่าง พันธมิตรชั้นนำอย่าง ‘GMM GRAMMY’ ซึ่งเป็น Music & Entertainment Content Provider อันดับ และ ‘JOOX’ แอปมิวสิคคอมมูนิตี้สำหรับคนรักเสียงเพลงอันดับ ของไทย ล่าสุดเดินหน้าสานต่อความร่วมมือครั้งใหม่ เปิดตัว JOOX ORIGINAL โปรเจกต์พิเศษเพื่อฉลองครอบรอบ 5 ปี JOOX อย่าง JOOX ORIGINAL ‘100x100’ SEASON Special ที่มาพร้อมกับสีสันครั้งใหม่ ที่รวมความหลากหลายจากศิลปินต่างค่ายต่างแนวมาไว้ด้วยกันอย่างลงตัว หวังตอกย้ำความสำเร็จจากการสร้างสรรค์คอนเทนต์ทางดนตรีให้โดนใจผู้ฟัง พร้อมยกระดับมาตรฐานความสามารถของเหล่าคนดนตรี และเป็นแรงผลักดันที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเพลงไทยให้เดินต่อไปข้างหน้า

 หากจะพูดถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะโปรเจกต์ JOOX ORIGINAL ‘100x100’ SEASON 1-2 ในปี 2562-2563 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากยอดการฟังเพลง (Playtime) ทุกเพลงจาก ซีซั่น จนถึงปัจจุบัน รวมกันทะลุถึงกว่า 1,045 ล้านครั้ง ไม่ว่าจะเป็น เพลงให้นานกว่าที่เคย (Collab Version) ศิลปิน KLEAR x ไผ่ พงศธร และ เพลง ดึงดัน ศิลปิน COCKTAIL x ตั๊ก ศิริพร เป็นต้น เรียกว่าได้สร้างปรากฏการณ์ และกระแสความนิยมของเพลงต่างสไตล์ ที่มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

ปีนี้ ‘GMM GRAMMY’ และ ‘JOOX’ เดินหน้าสานต่อความร่วมมือกันอีกครั้งกับ JOOX ORIGINAL 8‘100x100’ SEASON Special ที่เป็นการร่วมเฉลิมฉลอง JOOX ครบรอบ ปี และเพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับผู้ฟังเพลงบน JOOX โดยความพิเศษของอัลบั้มนี้คือการได้ โอม-ปัณฑพล ประสารราชกิจ หรือ โอม Cocktail’ Executive Label Director จากค่ายเพลงเลือดใหม่สังกัด GENE LAB ในเครือ GMM GRAMMY มารับหน้าที่ดูแลผลิตผลงานเพลงในทุกขั้นตอน ผ่านมุมมองของศิลปินที่อาจไม่เคยถูกพูดถึงที่ไหนมาก่อน กับ 6 ศิลปินชั้นนำของไทยที่มีความหลากหลายของแนวดนตรี อย่าง COCKTAIL, แพรวา ณิชาภัทร, F.HERO, จ๊ะ นงผณีมิว ศุภศิษฏ์ และ นนท์ ธนนท์ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของสมาชิก JOOX VIP สามารถฟังเพลงใน JOOX ORIGINAL ALBUM 100×100 Season 3 Special ได้ก่อนใคร ในวันที่ 20 มิถุนายน 2564 และสำหรับผู้ใช้ทั่วไปสามารถรับฟังทุกเพลงได้พร้อมกันในวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ที่ JOOX เท่านั้น!

นอกเหนือจากนี้ GMM GRAMMY เตรียมรุกขยายความร่วมมือด้วยการนำคอนเทนต์เพลงที่มีอยู่จำนวนมหาศาล ไปสู่ตลาดเพลงดิจิตอล ทั้ง พื้นที่ที่ JOOX เปิดให้บริการ ไม่ว่าจะเป็น ฮ่องกง มาเก๊ามาเลเซียอินโดนีเซียพม่า และแอฟริกาใต้ ซึ่งมีผู้ใช้บริการรวมทั้งสิ้นกว่าหลายร้อยล้านคน ถือเป็นโอกาสดีที่คอนเทนต์เพลงทั้งหมดของ GMM GRAMMY จะสร้างประสบการณ์บันเทิงทางดนตรีให้กับผู้ฟังในพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสาคัญที่ GMM GRAMMY วางไว้คือการผลักดันให้ศิลปิน และเพลงไทยได้เป็นที่รู้จักในมิติที่กว้างขึ้น  

          

นายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การได้ร่วมมือกับศิลปินที่มีคุณภาพ และแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่แล้ว แต่ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นตลอด ซีซั่น รวมถึงโปรเจกต์ JOOX ORIGINAL อื่นๆ ที่ผ่านมานับเป็นความน่ายินดีอันสูงสุดของทุกคนที่ผลักดันให้วงการดนตรีไทยก้าวไปข้างหน้า ในปีนี้เรายังเดินหน้าด้วยคอนเซ็ปต์ที่แข็งแรงด้วยการตอกย้ำความเป็นที่สุดของอัลบั้มแห่งปี แต่เรื่องที่น่าตื่นเต้นกว่าเดิม คือการที่เพลงไทยจะมีโอกาสได้นำเสนอผ่าน JOOX ทั้งในไทย และ อีก พื้นที่ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง มาเก๊ามาเลเซียอินโดนีเซียพม่า และแอฟริกาใต้ สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณ JOOX ที่มาร่วมสร้างโปรเจกต์ที่มีคุณค่านี้ตลอดมา และขอขอบคุณศิลปินทุกคน รวมถึง Executive Producer, ทีมงานเบื้องหน้า และเบื้องหลังที่ทุ่มเททำให้ทุกๆ  โปรเจกต์ออกมาสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม”

สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณ JOOX Music Application ที่มาร่วมสร้างโปรเจกต์ที่มีคุณค่านี้ตลอดมา และขอขอบคุณศิลปินทุกคน รวมถึง Executive Producer, ทีมงานเบื้องหน้า และเบื้องหลังทุกท่านที่ทุ่มเททำให้ทุก ๆ โปรเจกต์ออกมาสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม

ด้าน นายกฤตธี มโนลีหกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหาร JOOX ประเทศไทย กล่าวว่า “กระแสตอบรับจากแฟนเพลงที่ท่วมท้น ถือเป็นความภาคภูมิใจ และเครื่องการันตีความสำเร็จของโปรเจกต์ JOOX ORIGINAL และความร่วมมือระหว่าง JOOX และ GMM GRAMMY ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเนื่องในโอกาสที่ JOOX ครบรอบ 5 ปี ในปีนี้ JOOX จึงเดินหน้าเปิดตัวโปรเจกต์พิเศษ เพื่อแทนคำขอบคุณผู้ฟัง JOOX  โดยการสานต่อความร่วมมือกับ GMM GRAMMY ในการสร้างสรรค์ Original Content ที่โดดเด่น แปลกใหม่กว่าที่เคย ซึ่งเชื่อว่า JOOX ORIGINAL ‘100x100’ SEASON Special จะสร้างปรากฏการณ์ความฮิตได้อีกครั้ง เนื่องจากได้ ศิลปิน และโปรดิวซ์ฝีมือดีอย่าง โอม Cocktail และยังคว้าตัวศิลปินใหม่ๆ มาร่วมสร้างสรรค์เพลงในซีซั่นนี้ นอกจากนี้ในฐานะแพลตฟอร์มดนตรีชั้นนำของเอเชีย JOOX ยังใช้ความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มที่ให้บริการในหลายพื้นที่ ผลักดันดนตรี และอุตสาหกรรมเพลงไทยให้ก้าวไกลไปอีกขั้น ด้วยการนำเพลงไทยบนแพลตฟอร์มไปมอบประสบการณ์ทางดนตรีอันแปลกใหม่ให้แก่ผู้ใช้ในประเทศต่างๆ ได้อีกกว่าหลายร้อยล้านคน”

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า Original Content ในทุก ๆ โปรเจกต์ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ พันธมิตร ทั้ง ‘GMM GRAMMY’ และ ‘JOOX’ ที่ร่วมกันสร้างสรรค์เพื่อช่วยผลักดันอุตสาหกรรมเพลงไทยให้เติบโตขึ้นในทุก ๆ ปี  ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการมอบประสบการณ์ใหม่ในการฟังเพลงเพื่อสร้างความสุขให้แก่ผู้ฟังทุกคนนั่นเอง

โอสถสภาปรับโครงสร้างทีมบริหารใหม่

นายสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอชื่อเพิ่มกรรมการอิสระจำนวน 2 ท่าน ประกอบด้วย นายจรัมพร โชติกเสถียร และ พลเอกสุรพงษ์  สุวรรณอัตถ์ ซึ่งเป็นผู้มีคุณวุฒิและประสบการณ์ เป็นที่รู้จักและยอมรับ เข้าร่วมเป็นกรรมการบริษัท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและร่วมกำหนดวิสัยทัศน์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของบริษัทในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการบริษัท เพิ่มจาก 15 ท่านเป็น 17 ท่าน โดยบริษัทจะจัดประชุม E-EGM นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติ ในวันที่ 5 สิงหาคม 2564

นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังมีมติให้จัดโครงสร้างการบริหารใหม่ เนื่องจาก นายธนา ไชยประสิทธิ์ รักษาการ CEO จะขึ้นไปดำรงตำแหน่ง รองประธานคณะกรรมการบริหารอาวุโส จึงได้แต่งตั้ง นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น Chief Executive Officer (CEO) หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เนื่องจากเป็นผู้บริหารมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์และร่วมขับเคลื่อนทีมบริหารโอสถสภาด้วยความแข็งแกร่งตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี พร้อมยกเลิกตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารงาน

พรธิดา บุญสา Chief Operating Officer และ Group Chief Financial Officer

และได้แต่งตั้ง นางพรธิดา บุญสา ขึ้นดำรงตำแหน่ง Chief Operating Officer และ Group Chief Financial Officer เพื่อช่วยขับเคลื่อนสายการปฏิบัติการ และดูแลสายงานด้านการเงินและบัญชีของกลุ่มบริษัทโอสถสภา เนื่องจากเป็นผู้มีประสบการณ์และคลุกคลีกับทีมปฎิบัติการผลิตและซัพพลายเชนของบริษัทอย่างแข็งแกร่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา โดยโครงสร้างการบริหารจัดการใหม่ของบริษัท จะมีผลตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป

สำหรับการเพิ่มกรรมการอิสระและการจัดโครงสร้างใหม่ครั้งนี้ จะทำให้โอสถสภามีความแข็งแกร่ง ด้วยโครงสร้างทั้งในส่วนของคณะกรรมการบริษัท และคณะผู้บริหาร ที่มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ ซึ่งจะนำเอาประสบการณ์ความเป็นมืออาชีพมาขับเคลื่อนโอสถสภาให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน