TVD ลงทุนพัฒนา Mobile Application ขยายฐานลูกค้าใหม่

ทีวี ไดเร็ค หรือ TVD เดินหน้าลงทุนพัฒนา Mobile Application โฉมใหม่ มอบความสนุกกับการช้อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ต่อยอดขยายฐานลูกค้าใหม่ มั่นใจเพิ่มศักยภาพธุรกิจในระยะยาวแม้ต้องใช้งบลงทุนเพิ่มขึ้น คาดให้บริการปลายเดือนตุลาคมนี้ พร้อมชูกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายผลิตภัณฑ์ ขนสินค้าแบรนด์เนมเสริมทัพ กลุ่มสินค้า กระเป๋า Coach รองเท้า Nike ชุดเครื่องนอน Picasso จำหน่ายบนเว็บไซต์ ชูราคาเข้าถึงง่ายและส่วนลดพิเศษ 10-75% ขยายฐานลูกค้าระดับกลางและวัยทำงาน วางเป้าหมายสิ้นปีเพิ่มสัดส่วนรายได้ออนไลน์เป็น 30% ของรายได้รวม 

นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางทีวีและออนไลน์ เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ วางนโยบายขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่านช่องทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นในเชิงรุก โดยร่วมกับบริษัท โมโม่ดอทคอม จำกัด หรือ Momo.com พาร์ทเนอร์และผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจโฮมช้อปปิ้งและอีคอมเมิร์ซรายใหญ่จากประเทศไต้หวัน มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์สร้างความหลากหลายให้กับสินค้า จากปัจจุบัน 20,000 รายการ เพิ่มเป็น 100,000 รายการ ภายในสิ้นปีนี้ ด้วยการนำเสนอราคาที่กลุ่มลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายและพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ บนช่องทางเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย เพื่อดึงดูดใจลูกค้าและกลุ่มลูกค้าใหม่ นอกจากฐานลูกค้าเดิมในฐานข้อมูลของบริษัทฯ  6.5 ล้านราย 

ล่าสุดบริษัทฯ และโมโม่ดอทคอม อยู่ระหว่างการลงทุนพัฒนา Mobile Application ครั้งใหญ่ เพื่อพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ รองรับการขยายฐานลูกค้า มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งให้สนุกกับการซื้อสินค้าได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงานเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาวที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง  ส่วนช่องทางเว็บไซต์ได้คัดสรรสินค้าแบรนด์เนมในราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้ทั้ง กลุ่มสินค้าของทีวี ไดเร็ค  ในสัดส่วน 10-20% ของแต่ละกลุ่มสินค้า ได้แก่ กลุ่มสินค้าแฟชั่นและความงาม อาทิ กระเป๋าแบรนด์เนม Coach รองเท้ากีฬา Nike เสื้อผ้ากีฬา WARRIX ฯลฯ กลุ่มเครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น ชุดเครื่องนอน Picassoเครื่องสุขภัณฑ์แบรนด์อเมริกันแตนดาร์ด เป็นต้น กลุ่มเครื่องครัว เช่น แบรนด์ Zaigel กลุ่มอุปกรณ์ออกกำลังกาย เช่น  แบรนด์ Viva  กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ได้เสริมทัพสินค้าแบรนด์ Talon ที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาสุขภาพเท้า และกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ภายใต้แบรนด์ชั้นนำอย่าง Belkin สมาร์ทวอทช์ Suunto โดยสินค้าแบรนด์เนมที่นำมาลดราคาพิเศษตั้งแต่ 10-75%

ทั้งนี้ หลังจากการนำสินค้าแบรนด์เนมมาจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ https://www.tvdirect.tv/ ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด สามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มวัยทำงานที่มีกำลังซื้อระดับกลางและกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาขายสินค้าเฉลี่ยต่อชิ้นเพิ่มขึ้นเป็น  2,000 บาท เทียบกับปี 2563 อยู่ที่ 1,400-1,500 บาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจานำสินค้าแบรนด์เนมเข้ามาจำหน่ายเพิ่มขึ้น เช่น รองเท้า SKECHERS เป็นต้น นอกจากนี้เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ
ไร้รอยต่อ บริษัทฯ อยู่ระหว่างพัฒนาแอปพลิเคชันโฉมใหม่ คาดว่าจะเปิดตัวช่วงปลายเดือนตุลาคมหรือต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อขยายฐานลูกค้าระดับอายุตั้งแต่ 
25 ปีขึ้นไป รวมถึงพัฒนาคอนเทนต์โซเชียลมีเดียเพื่อนำเสนอสินค้าในรูปแบบใหม่ๆ 

สำหรับแผนงานขยายตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างเต็มรูปแบบ ที่บริษัท ทีวี ไดเร็ค กับบริษัท โมโม่ดอทคอม ผนึกกำลังร่วมกันส่งเสริมและสร้างความแข็งแกร่งธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน มั่นใจว่าจะทำให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ครบครันทุกที่และทุกเวลา และตอบสนองความต้องการแก่ผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์และขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต โดยวางเป้าหมายผลักดันรายได้ผ่านช่องทางออนไลน์ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ของรายได้รวม จากปัจจุบันอยู่ที่ 15-16% ของรายได้รวม และในระยะยาวตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของรายได้รวม ภายในปี 2567   

TVD เตรียมเปิดตัว Xpresso ให้บริการจัดส่งพัสดุชิ้นเล็ก

ทีวี ไดเร็ค หรือ TVD วางเป้าหมายไตรมาส 4/2564 ผลประกอบการฟื้นตัว เร่งปรับแผนใหญ่ธุรกิจ B2C รุกเพิ่มยอดขายฐานลูกค้าเก่า 6.5 ล้านคน จัดส่งแคตาล็อกนำเสนอสินค้าฮอตฮิตกระตุ้นการตัดสินใจ เพิ่มช่องทางโปรโมตผ่านทีวีดิจิทัล เตรียมเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีกำไรสูง ด้านธุรกิจ B2B เตรียมเปิดตัว Xpresso ให้บริการจัดส่งพัสดุชิ้นเล็กผ่าน แอปพลิเคชัน หลังเสริมทีมงานที่มีประสบการณ์จากกลุ่ม Alpha รองรับดีมานด์ในยุคอีคอมเมิร์ซบูมและเสริมศักยภาพธุรกิจคลังสินค้า Fulfillment พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจนายหน้าประกันภัย  

นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางทีวีและออนไลน์ เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ช่วงครึ่งปีแรกประเทศไทยเผชิญกับการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 อย่างรุนแรงและสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง กำลังซื้อและดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง ประกอบกับบริษัทฯ อยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนและพัฒนาระบบการขายสินค้าออนไลน์เพื่อก้าวสู่ธุรกิจ อีคอมเมิร์ซและขยายธุรกิจใหม่ๆ  ส่งผลให้ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีรายได้รวม 741.95 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา และมีผลการดำเนินงานขาดทุน อย่างไรก็ตามคาดว่าไตรมาส 3 จะเป็นจุดต่ำสุดของผลการดำเนินงานในปีนี้ และตั้งเป้าหมายกลับมาทำกำไรในไตรมาส 4 ของปีนี้ รวมถึงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปีหน้า

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของผลประกอบการ จะมาจากการปรับแผนธุรกิจในกลุ่มธุรกิจ B2C และกลุ่มธุรกิจ B2B ครั้งใหญ่เพื่อสร้างรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง โดยกลุ่มธุรกิจ B2C ทั้งในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทีวีโฮมช้อปปิ้ง บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโมบาย แอปพลิเคชั่นในช่วงไตรมาส 4 นี้ เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งทุกที่และทุกเวลาได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมกับจัดทำแคตตาล็อกโดยนำสินค้าไฮไลต์และสินค้ายอดนิยมแต่ละกลุ่ม เพื่อสื่อสารโดยตรงถึงกลุ่มลูกค้าของทีวี ไดเร็ค ซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้าจำนวน 6.5 ล้านคน ที่มีความแอ็กทีฟในการการซื้อสั่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง และดำเนินการเพิ่มจำนวนคอลล์ เซ็นเตอร์ เป็น 500 ที่นั่ง เพื่อดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดและเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงฐานลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มยอดขายจากสินค้าเฮาส์แบรนด์ สินค้าเพื่อสุขภาพและอาหารเสริม ที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงขยายช่องทางโปรโมตสินค้าผ่านทีวีดิจิทัล

ขณะที่กลุ่มธุรกิจ B2B ภายใต้บริษัท เอบีพีโอ จำกัด ในเครือ TVD เตรียมเปิดตัวบริการขนส่งพัสดุขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ ‘Xpresso’ ในรูปแบบ Next Day ผ่านทางแอปพลิเคชัน และสามารถระบุเวลาเข้ารับสินค้าได้ถึง 22.00 น. หลังจากบริษัทฯ ได้รับพนักงานที่มีประสบการณ์จากกลุ่มบริษัทอัลฟ่าเพอร์เฟอร์มานซ์ (Alpha) ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุ ร่วมเสริมศักยภาพการให้บริการระบบจัดการคลังสินค้าออนไลน์ (Fulfillment) ที่ให้บริการจัดเก็บ แพ็กและจัดส่งแบบครบวงจร รองรับผู้ขายสินค้าออนไลน์ที่กำลังเติบโตตามเทรนด์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยเฟสแรกมีพนักงานเข้ามาเสริมทีมจำนวน  60 คน และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 100 – 200 คนในอนาคต

นอกจากนี้ เอบีพีโอ ได้เข้าลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัพกลุ่ม Food Tech และ ED Tech พร้อมกับนำความเชี่ยวชาญของคอลล์ เซ็นเตอร์ ให้บริการกับผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง และให้บริการซอฟท์แวร์ด้านการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ ส่วนบริษัท ทีวีดี โบรกเกอร์ จำกัด ในเครือ เอบีพีโอ วางแผนรุกขยายธุรกิจนายหน้าขายประกันภัย เพราะมีศักยภาพและแนวโน้มเติบโตที่ดีในอนาคต หลังจากเกิดแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ทำให้ผู้บริโภคเล็งเห็นความสำคัญของการทำประกันภัยในรูปแบบต่างๆ เพิ่มขึ้น

การปรับแผนและกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจ B2C และ B2B เพื่อสร้างรากฐานทางธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งรองรับกับการเติบโตในช่วงภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว จะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานไตรมาส 4/64 กลับมาทำกำไร ขณะที่ผลดำเนินงาน 2564 บริษัทฯ ได้ปรับประมาณการรายได้ที่ 2,850 ล้านบาท จากเดิม 4,000 ล้านบาท” นายทรงพล กล่าว

TVD ร่วมช่วยเอสเอ็มอีและผู้ค้าออนไลน์สู้โควิด-19  

ทีวี ไดเร็ค หรือ TVD ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งยืนเคียงข้างผู้ประกอบการสู้ภัย Covid-19 เปิดให้บริการจัดส่งสินค้าครบวงจร ณ จุดให้บริการศูนย์กระจายสินค้า เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีและผู้ค้าออนไลน์ให้ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลายากลำบากและยืดหยัดอยู่ได้ โดยสนับสนุนการจัดส่งสินค้าชิ้นเล็กถึงชิ้นใหญ่ ส่งมอบสินค้าถึงมือลูกค้าทั่วประเทศได้รวดเร็ว และยึดมาตรการสุขอนามัยความปลอดภัย

นายธีระพงษ์ ลิมป์ประเสริฐ หัวหน้าสายงานจัดส่งสินค้าและบริหารค้าปลีก บริษัท เอบีพีโอ จำกัด ในเครือ บมจ.ทีวี ไดเร็ค (TVD)  ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการจัดส่งสินค้าครบวงจร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส Covid-19 ระลอกใหม่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้สร้างผลกระทบต่อระบบขนส่งพัสดุของกลุ่มเอสเอ็มอี ผู้ค้าออนไลน์ หรือลูกค้าทั่วไป ให้มีความล่าช้าลง อันเนื่องจากผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุจำเป็นต้องชะลอการให้บริการบางสาขาลงชั่วคราว บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญของผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี บริษัทฯ มีการเตรียมตัวรับกับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี บริษัทฯ จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าต่อไปในวิกฤตินี้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำกลุ่มธุรกิจให้บริการจัดส่งสินค้าครบวงจร (Fulfillment Service) ร่วมช่วยเหลือการจัดส่งพัสดุของกลุ่มเอสเอ็มอี ผู้ค้าออนไลน์หรือลูกค้าทั่วไป ตั้งแต่สินค้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่น้ำหนักไม่เกิน 30-150 กิโลกรัม โดยสามารถรองรับการขนส่งพัสดุสูงสุด 10,000 ชิ้นต่อวัน ซึ่งบริษัทฯ จะนำศูนย์กระจายสินค้าในทุกภูมิภาคของประเทศ อาทิ กรุงเทพฯ นนทบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี ชลบุรี และระยอง ฯลฯ ให้บริการรับ-ส่งพัสดุทั่วประเทศ ทั้งจากผู้ค้าออนไลน์ กลุ่มเอสเอ็มอี และลูกค้าทั่วไป ด้วยอัตราค่าบริการที่เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย รวมทั้งจัดเตรียมส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ที่ส่งพัสดุจำนวนมาก 300 ชิ้นขึ้นไปต่อวัน (ตามข้อตกลง) โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทร 0-2793-2022 กด 3

สำหรับประเภทการจัดส่งสินค้า บริษัทฯ เปิดให้บริการฝากส่งสินค้าทุกประเภท เช่น อาหารสำเร็จรูป กล้าพันธุ์ไม้  เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น สามารถจัดส่งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ภายใน 2 วัน ส่วนในต่างจังหวัดใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ยกว่า 3 วัน และกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาบริการส่งพัสดุด่วน 1 วัน (SAME DAY) ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยลูกค้าที่เข้าใช้บริการโดยเจ้าหน้าที่จะสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาระหว่างให้บริการ ระบบการคัดกรองก่อนเข้าทำงาน และเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนคาดว่าจะครบทุกคนในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ยังพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบนพัสดุทุกชิ้น เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19

“ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นช่องทางหลักที่สร้างรายได้ในสถานการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ผู้ค้าออนไลน์ และลูกค้าทั่วไป ซึ่งหลังจากประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว อัตราการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เติบโตเพิ่มขึ้น จากปกติอัตราขนส่งพัสดุในประเทศไทยโดยเฉลี่ย 4 ล้านชิ้นต่อวัน ดังนั้นทีวี ไดเร็คขอเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมต่อโลกการช้อปปิ้งออนไลน์ให้สามารถเดินหน้าต่อไป ด้วยบริการจัดส่งพัสดุถึงมือลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย โดยพร้อมยืนอยู่เคียงข้างและร่วมฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน” นายธีระพงษ์ กล่าว 

สำหรับภาพรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของทีวี ไดเร็ค บนเว็บไซต์ https://www.tvdirect.tv/ หลังจากประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ยอดขายสินค้าในช่องทางดังกล่าวมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนรายได้จากลูกค้าอีคอมเมิร์ซเพิ่มจาก 10% เป็น 15% และจากการเพิ่มรายการสินค้าให้มีความหลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้สัดส่วนรายได้จากลูกค้าอีคอมเมิร์ซจะเพิ่มเป็น 20% ส่วนรายได้อีก 80% จะมาจากลูกค้าในช่องทางทีวีโฮมช้อปปิ้งและคอลล์เซ็นเตอร์