TKN รุกธุรกิจร้านสตรีทฟู้ดเกาหลี เปิดขายแฟรนไชส์ Bomber Dog

บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ส่งบริษัท เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์ จำกัด (TKNRF) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ TKN ปั้นแบรนด์สตรีทฟู้ดเกาหลี เตรียมเปิดขายแฟรนไชส์ ‘บอมเบอร์ด๊อก’ (Bomber Dog) อาหารทานเล่นสไตล์เกาหลี ชี้เป็นโอกาสของคนที่อยากมีร้านค้าเป็นของตัวเอง ด้วยงบลงทุนเริ่มต้น 123,000 บาท คืนทุนใน 6-8 เดือน รุกขยายเข้าสู่ปั้มน้ำมัน เน้นเข้าถึงง่ายสำหรับกลุ่มผู้บริโภคทุกกลุ่ม ตั้งเป้าเดินหน้าขยาย 45 สาขาภายในปีนี้ หนุนยอดขายจากธุรกิจร้านอาหารเพิ่ม 100%

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ TKN เตรียมผลักดัน บริษัท เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์ จำกัด หรือ TKNRF ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ TKN ที่ดำเนินธุรกิจร้านจำหน่ายสินค้า และร้านอาหารประเภท Quick Service Restaurant  ตั้งเป้าเดินหน้าขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ร้านอาหาร ซึ่งที่ผ่านมา TKNRF ได้มีการศึกษาและทดลองวางกลยุทธ์ รูปแบบร้านอาหารและเมนูต่างๆเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย จึงเป็นที่มาของแฟรนไชส์อาหารสตรีทฟู้ดเกาหลี ซึ่งรูปแบบการทานอาหาร ‘สตรีทฟู้ด (Street Food)’ หรือ ‘ร้านอาหารริมทาง เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมการทานอาหารที่สามารถพบเจอได้ในหลายๆประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศแถบเอเชีย ถือเป็นจุดเด่นที่ผู้บริโภคท้องถิ่นรวมถึงนักท่องเที่ยวให้ความนิยมเป็นอย่างมาก 

อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดโควิด-19 มีผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ทำให้บริษัทฯมีการปรับกลยุทธ์ มองหาช่องทางการขายสินค้าสอดรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทฯ ได้มุ่งขยายสาขาที่ตั้งอยู่นอกห้างสรรพสินค้า เป็นจุดจำหน่ายและทำ Cloud Kitchen มุ่งเน้นทำเลพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน (ปั้มน้ำมัน) ซึ่งเป็นทำเลยุทธศาสาตร์ในการขยายธุรกิจนอกห้าง และลดความเสี่ยงจากมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ  

ทั้งนี้ TKNRF ได้ตั้งเป้าขยายแฟรนไชส์ บอมเบอร์ด๊อก’ (Bomber Dog) ร้านสตรีทฟู้ดเกาหลีในช่วงที่เหลือของปี 2564 จำนวน 45 สาขา หรือเฉลี่ยเปิด 8-10 สาขาต่อเดือน และคาดว่าจะเปิดอีก 100 สาขาในปี 2565 ปัจจุบันมีสาขาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ปั้มน้ำมัน และ Cloud Kitchen แล้วทั้งสิ้น 18 สาขา และเตรียมเปิดในเดือนกันยายนนี้ อีก 8 สาขา โดยเน้นขยายสาขาในพื้นที่ปั้มน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายที่เติบโตจากธุรกิจนี้มากกว่า 100% ภายในปีนี้ขณะเดียวกัน ยังได้เพิ่มช่องทางสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชันสั่งอาหารชั้นนำ เช่น LINE MAN, Grab, Food panda เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ที่ต้องการความสะดวกสบายและรวดเร็วในการสั่งอาหารมารับประทานอีกด้วย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN กล่าวเพิ่มเติมว่า บอมเบอร์ด๊อก’ (Bomber Dog) เป็นร้านสตรีทฟู้ดเกาหลีในรูปแบบเมนูทานเล่น เช่น คอร์นดอกฮอทดอก ต็อกโบกี เฟรนช์ฟรายส์ ไก่ป๊อบ ไก่ทอดเกาหลี ที่ชูจุดเด่นด้านรสชาติที่อร่อยเหมือนต้นตำรับ ถือเป็นอาหารที่เข้าถึงง่ายสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มและตอบโจทย์คนเมืองที่เร่งรีบระหว่างเดินทาง เน้นทานง่าย สะดวก และรวดเร็ว ซึ่งการลงทุนแฟรนไชส์ Bomber Dog จะเปิดสิทธิแก่ผู้ที่สนใจลงทุนด้านธุรกิจอาหารโดยไม่จำเป็นต้องทำอาหารเป็นมาก่อน เน้นเปิดในพื้นที่ขนาดเล็ก ในทำเลที่มีศักยภาพ ทั้งโมเดลรถเข็น ปั้มน้ำมัน และคอมมูนิตี้มอลล์ เป็นต้น 

ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนในแฟรนไชส์ของบอมเบอร์ด๊อก มี รูปแบบ คือ แบบรถเข็น ซึ่งจะมีค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 123,000 บาท และแบบตั้งบนพื้นที่ ซึ่งจะมีขนาดพื้นที่ 2.5×2.5 เมตร มีค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 260,000 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับผู้ที่สนใจลงทุนประกอบการธุรกิจร้านอาหารขนาดเล็ก ผู้ที่ต้องการทำธุรกิจเพื่อหารายได้เสริมหรือต้องการขยายธุรกิจใหม่ๆ โดยมีทีมงานมืออาชีพพร้อมให้คำแนะนำในการเริ่มต้นทำธุรกิจ คาดใช้เวลาคืนทุนภายในระยะเวลา 6-8  เดือน และสำหรับผู้ที่สนใจแต่ไม่มีเงินทุน บริษัทฯ ยังจับมือกับสถาบันการเงินชั้นนำ สนับสนุนสินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพ โดยผู้ที่สนใจลงทุนสามารถติดต่อได้ที่ บริษัทเถ้าแก่น้อย เรสเตอรงท์แอนด์เฟรนไชส์ จำกัด หมายเลข 02-960-1477 ต่อ 302

“TKNRF ได้ทดลองเปิดตัวแบรนด์ดังกล่าวมากว่า ปี เพื่อศึกษาและทดลองทำตลาด ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จึงได้ต่อยอดการขยายสาขาผ่านรูปแบบแฟรนไชส์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุนเปิดร้านสาขา รวมถึงบริษัทฯ จะลงทุนขยายสาขาเอง ที่มุ่งเน้นทำเลสถานีบริการน้ำมันของ ปตท. และแบรนด์อื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าและยังใช้เป็นจุดกระจายสินค้าผ่านแฟลตฟอร์ม Home Delivery อีกด้วย” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว

 

TKN แต่งตั้งตัวแทนขายในจีนเพิ่ม ปั๊มยอดส่งออกครึ่งปีหลัง 

บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKNเปิดเกมรุกหนักตลาดจีน รับเศรษฐกิจจีนที่กำลังซื้อเริ่มฟื้นตัว ปรับแผนแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายเพิ่มเติม เสริมความแข็งแกร่งช่องทางขายร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม และผ่าน E-Commerce เตรียมเพิ่มสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนอีก 10 รายการ หวังหนุนรายได้จากการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วน Orion Corp. ดูแลช่องทางขายโมเดิร์นเทรด  

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้าเถ้าแก่น้อย รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การจัดจำหน่ายในประเทศจีน เพื่อเร่งเพิ่มยอดขายรับโอกาสภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคในจีนที่กำลังฟื้นตัว โดยล่าสุดได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย (Distributor) เพิ่มเติมอีก ราย ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ กรกฎาคม ที่ผ่านมา เพื่อทำหน้าที่การกระจายสินค้าเข้าสู่ช่องทางร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม Traditional Trade และช่องทาง E-Commerce ซึ่งเป็นช่องทางที่มีศักยภาพและโอกาสขยายตัวได้อีกมาก

ทั้งนี้ การแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายเพิ่มเติมในครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนรุกขยายธุรกิจในตลาดจีน โดย TKN วางแผนเพิ่มไลน์สินค้าในช่องทางจำหน่ายร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมและช่องทางออนไลน์ในช่วงครึ่งปีหลังอีก 10 รายการ จากเดิม รายการ ซึ่งจะนำศักยภาพและความเชี่ยวชาญด้านการทำตลาดของตัวแทนจำหน่าย มาช่วยผลักดันสินค้าเข้าไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย และสนับสนุนการเติบโตของรายได้จากการส่งออกในครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้น 

ขณะเดียวกัน บริษัท Pan Orion Corp ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าอีกรายในประเทศจีน เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญของการทำตลาดในประเทศจีนและเป็นผู้ถือหุ้นใน TKN ในสัดส่วน 3.5% นั้น จะรับผิดชอบการจัดจำหน่ายสินค้าเข้าสู่ช่องทางจำหน่ายห้างค้าปลีกสมัยใหม่ หรือ Modern Trade เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในการทำตลาดผ่านช่องทางดังกล่าว 

“จีนซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของเรา และเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวจาก COVID-19 จึงเป็นโอกาสดีในการเร่งผลักดันการเติบโตรองรับกำลังซื้อสินค้าของชาวจีนที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งเราได้ปรับแผนการขยายตลาดในจีน โดยเพิ่มตัวแทนจำหน่าย Distribution อีก 1 ราย เพื่อช่วยขยายช่องทางจำหน่าย Traditional Trade และ E-commerce ให้มากขึ้น หลังจากในช่วงที่ผ่านมา การทำตลาดในช่องทางดังกล่าวยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งการเพิ่มเติมตัวแทนจำหน่ายครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถกระจายสินค้าได้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทุกช่องทางมากยิ่งขึ้น โดยมั่นใจว่าจากแผนดำเนินงานครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมรายได้จากตลาดส่งออกให้ทยอยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว 

TKN ปลื้ม กลับเข้าคำนวณดัชนี SET 100 ตอกย้ำหุ้นพื้นฐานแกร่ง

บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ปลื้มกลับเข้าคำนวณดัชนี SET100 ตอกย้ำปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง สภาพคล่องการซื้อขายสูง กระตุ้นความสนใจนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบัน วางแผนเร่งสร้างยอดขายเติบโต หลังรัฐบาลเร่งระดมฉีดวัคซีนพร้อมประกาศแผนเปิดประเทศภายใน 120 วัน มองสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19 มีแนวโน้มคลี่คลาย เตรียมจัดทัพผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่มสาหร่าย (Seaweed) และผลิตภัณฑ์นมพลาสเจอร์ไรส์จัสท์ ดริ้งค์ 

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า หลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ประกาศการคัดเลือกหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณดัชนี SET 50, SET 100, sSET, SETCLMV, SETHD, SETTHSI และ SETWB ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 (1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคมนี้) ล่าสุด TKN ได้เข้าเป็น 1 ในสมาชิก SET 100 ซึ่งเป็นการกลับเข้าคำนวณในดัชนี SET100 อีกครั้ง สะท้อนว่า TKN เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีสภาพคล่องการซื้อขายสูง นอกจากนี้จะช่วยดึงดูดกนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้ สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก โดยปัจจัยบวกจะมาจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลเร่งระดมฉีดวัคซีนซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ค่อยๆ คลี่คลาย และการที่นายกรัฐมนตรีประกาศแผนเปิดประเทศภายใน 120 วัน 

บริษัทฯ จึงพร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตผ่านการใช้กลยุทธ์ใหม่ๆ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้ศึกษาโอกาสขยายการลงทุนในธุรกิจที่เป็น New S-Curve ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มสาหร่าย (Seaweed) ที่คาดว่าจะทยอยเปิดตัวอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 SKUs และผลิตภัณฑ์นมพลาสเจอร์ไรส์ “จัสท์ ดริ้งค์” รสชาติใหม่อีก 2-3 SKU โดยล่าสุด บริษัทฯ เปิดตัวจัสท์ดริ้งค์รสชาติใหม่ กาแฟลาเต้ ที่คงความเป็นออริจินอลใช้สูตรรสชาติและวัตถุดิบหลักกาแฟนำเข้าจากไต้หวัน 100%  ตั้งเป้าเป้ายอดขายของผลิตภัณฑ์ Just Drink ในปีนี้ 300-400 ล้านบาท

ขณะที่ความคืบหน้าในการปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อทำการตลาดในประเทศจีน บริษัทฯ จะมุ่งเจาะช่องทางการขายผ่านร้านค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) และช่องทาง Online E-Commerce มากขึ้น โดยปัจจุบันแบรนด์เถ้าแก่น้อยครองส่วนแบ่งในตลาดในจีนกว่า 10% และยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ขณะที่ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์สินค้าขาดแคลนนั้นคาดว่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะผลักดันรายได้จากการส่งออกปรับตัวดีขึ้น