STARK ต่อยอดธุรกิจผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ล ดันปี 64 นิวไฮต่อ

บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK ปลื้มประสบความสำเร็จการขายหุ้นกู้เป็นครั้งแรก รับผู้ลงทุนสถาบัน – รายใหญ่ ชี้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจสอดรับพื้นฐานธุรกิจแกร่ง จากการเป็นผู้นำการผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วางเป้าหมายรายได้ปี 64-65 เติบโต 15 – 20% ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อจากปี 63 

นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ผู้นำด้านการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2564 ซึ่งเป็นการออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรกของบริษัทฯ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวม 2,241 ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุหุ้นกู้ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.50% และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุหุ้นกู้ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ 

ทั้งนี้ หุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายครั้งนี้ ได้การตอบรับทั้งจากผู้ลงทุนสถาบันที่ให้ความสนใจลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ และผู้ลงทุนรายใหญ่ที่ให้ความสนใจเป็นอย่างดี หลังเปิดให้ผู้ลงทุนจองซื้อระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจจองซื้อเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จากตอนแรกที่จำนวน 1,800 ล้านบาทแสดงให้ถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มองหาการลงทุนในหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว โดยบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 อยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” สะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในทวีปเอเชีย รวมถึงความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลที่แข็งแกร่งฐานะการเงินและโอกาสเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต 

สำหรับการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะใช้ชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินหรือบริษัทในกลุ่ม รวมถึงใช้ชำระคืนตั๋วแลกเงินและหุ้นกู้ของบริษัทในกลุ่ม และ/หรือ เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ 

บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ และเสียงตอบรับเป็นอย่างดีสำหรับการออกหุ้นกู้เป็นครั้งแรกของ STARK ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความสำเร็จ ตลอดจนความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานธุรกิจผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลที่แข็งแกร่ง เพราะอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้งานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสในการขยายธุรกิจเพื่อเป้าหมายการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต” นายประกรณ์ กล่าว 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ สั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจมากกว่า 50 ปี มุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยในระดับโลก จนเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับภูมิภาคและทั่วโลกกว่า 40 ประเทศ โดยบริษัทฯ ได้วางแผนงานและวางกลยุทธ์สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงด้วยเป้าหมายมุ่งสู่ผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลขึ้นสู่ระดับ Top Ten ของโลก  

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,252 ล้านบาท เติบโต 23.9% เมื่อเทียบจากชช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 524 ล้านบาท เติบโต 22.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก (มกราคมมิถุนายน) ของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 9,908 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 963 ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง ผลจากยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้น จากทั้งโครงการภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการก่อสร้างตามแผนงาน รวมถึงรับรู้ผลประกอบการของธุรกิจที่เวียดนามเข้ามา ปัจจุบัน STARK มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้  

บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้ในช่วงปี 2564-2565 ประมาณ 17,000-18,000 ล้านบาทต่อปี หรือเติบโต 15 – 20% จากปี 2563 ที่มีรายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ 16,917 ล้านบาท โดยใช้กลยุทธ์มุ่งเน้นขายสินค้าในกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูง (High Margin) โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์สายไฟแรงดันระดับกลางถึงระดับสูงพิเศษเพื่อรองรับงานโครงการของภาครัฐและเอกชน รวมถึงใช้ประโยชน์จากโรงงานในเวียดนามที่เปรียบเชิงการบริการจัดการด้านต้นทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรรวมถึงเดินหน้าปรับลดต้นทุนต่างๆ ในทุกด้าน ซึ่งคาดว่าระดับหนี้สินทางการเงินของบริษัทฯน่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นคาดว่าจะลดลงเหลือ 3.5-4 เท่า พร้อมกันนี้ได้วางเป้าหมายขยายตลาดส่งออกเป็น 50 ประเทศภายในปี 2564 จากปีที่ผ่านมาส่งออก 40 ประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ส่งออกเป็น 10-12% จากปีก่อนอยู่ที่ 8%

STARK เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ ชูอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.30 – 3.90%

บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ ชุด อายุ ปี และ ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.30 – 3.90]% เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ คาดเปิดจองซื้อวันที่ 30 ส.ค. – 1 ก.ย. นี้ พร้อมวางแผนขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ตอกย้ำผู้นำการผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตั้งเป้าหมายเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลขึ้นสู่ระดับ Top Ten จากอันดับที่ 14 ของโลก 

นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์คคอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่าบริษัทฯ เป็นผู้นำด้านการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจมากกว่า 50 ปี มุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยในระดับโลก เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับภูมิภาคและทั่วโลกกว่า 30 ประเทศ 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เสริมความแข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจสายไฟฟ้า ด้วยการขยายการลงทุนในไทยและต่างประเทศ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้เข้าลงทุนใน Thinh Phat Electric Cable Joint Stock Company ผู้ผลิตสายไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศเวียดนาม ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่มีการเติบโตสูง ทำให้บริษัทฯ ขึ้นแท่นเป็นผู้นำด้านการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีเป้าหมายมุ่งสู่ผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลขึ้นสู่ระดับ Top Ten จากอันดับที่ 14 ของโลก  

บริษัทฯ ได้รุกขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยต่อยอดสร้างการเติบโตในต่างประเทศ ล่าสุดบริษัทฯ ชนะการประมูลงานในประเทศเวียดนาม ได้แก่ งานสายส่งกำลังไฟฟ้า (Transmission line) ของการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) และงานโรงไฟฟ้าในเวียดนามตอนเหนือ เช่น กว๋างนิน เวียดนามตอนกลาง เช่น ดานัง และเวียดนามตอนใต้ เช่น โฮจิมินห์, เกิ่นเทอ เป็นต้น มูลค่ารวมประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้รับคำสั่งซื้อสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลจากกลุ่มประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียใต้ ได้แก่ โครงการพัฒนารถไฟฟ้าใต้ดินในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย โครงการจากรัฐบาลบังกลาเทศ และโครงการจากรัฐบาลศรีลังกา มูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท 

นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างรอผลประมูลงานในประเทศเวียดนาม จากภาครัฐ (B2G) และผู้ประกอบการ (B2B) โดยส่วนใหญ่เป็นงานสายส่งกำลังไฟฟ้าจากเมืองฮานอย ดานัง บิ่ญเฟื้อก โรงไฟฟ้าในดาลักและโฮจิมินห์ รวมมูลค่ากว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4,500 ล้านบาท คาดว่าจะทราบผลการประมูลบางส่วนภายในปีนี้ จากปัจจุบัน บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าประมูลงานโครงการใหม่เพื่อเพิ่ม Backlog อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจปัจจุบันอยู่ในภาวะชะลอตัวจากผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างไรก็ตาม มองว่าอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้งานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น 

สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้เติบโต 15 – 20% จากปี 2563 ที่มีรายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ 16,917 ล้านบาท โดยวางกลยุทธ์มุ่งเน้นขายสินค้าในกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูง (High Margin) โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์สายไฟแรงดันระดับกลางถึงระดับสูงพิเศษเพื่อรองรับงานโครงการของภาครัฐและเอกชน รวมถึงใช้ประโยชน์จากโรงงานในเวียดนามที่มีต้นทุนการผลิตต่ำเพื่อเพิ่มความสามารถทำกำไร พร้อมกันนี้ได้วางเป้าหมายขยายตลาดส่งออกเป็น 50 ประเทศภายในปี 2564 จากปีที่ผ่านมาส่งออก 40 ประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ส่งออกเป็น 10-12% จากปีก่อนอยู่ที่ 8% 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดบริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวน ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2564 จำนวน 2 ชุด แบ่งเป็น หุ้นกู้ชุดที่ อายุหุ้นกู้ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.30 – 3.50]% ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุหุ้นกู้ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.70 – 3.90]% ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2567 กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนจะมีการประกาศอีกครั้ง 

บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินงานของบริษัทฯ ในฐานะผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้หุ้นกู้ของบริษัทฯ คาดว่าจะเปิดให้ผู้ลงทุนจองซื้อในวันที่ 30 สิงหาคม – กันยายนนี้ โดยจะเสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ ราย ได้แก่ ธนาคารยูโอบี  จำกัด (มหาชน) – เสนอขายเฉพาะต่อผู้ลงทุนสถาบันเท่านั้น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 028888888 กด 819 โดยบุคคลธรรมดาจองซื้อทางออนไลน์ผ่านhttps://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) 1428 กด#4 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) โทร. 026585050 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอเชีย เวลท์ จำกัด โทร. 02-207-2113 

การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างทางการเงิน รองรับแผนขยายธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการลงทุนในตราสารเพื่อรับผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่น่าพอใจและมีความสม่ำเสมอท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผันผวน” นายประกรณ์ กล่าว