SSP แดดแรงหนุนปริมาณผลิตไฟเพิ่ม – รับรู้รายได้โครงการ Yamaga

บมจ. เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น(SSP) รายงานผลการดำเนินงานใน Q2/64 กำไรจากการดำเนินงานแตะ 235 ล้านบาท เพิ่มขึ้น13%จากงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่ EBITDA โต 21% การรับรู้รายได้จากโครงการ Yamaga ที่ญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญา 30 เมกะวัตต์เต็มไตรมาส ส่งผลให้โรงไฟฟ้าในมือในต่างประเทศ มีปริมาณผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น ฟากซีอีโอ “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ระบุ ครึ่งปีหลังเดินหน้า COD เพิ่ม ล่าสุดกดปุ่มโซลาร์ฟาร์มโครงการ LEO1 กำลังผลิต 20 เมกะวัตต์เรียบร้อยแล้ว รับรู้รายได้ทันที คาดไตรมาส 4/64 วินด์ฟาร์มเวียดนาม พร้อมจ่ายไฟ ดันกำลังผลิตไฟฟ้าสิ้นปีนี้ทะลุเป้า 200 เมกะวัตต์ 

นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานสำหรับงวดไตรมาส 2/2564 สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2564 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมทั้งหมด 568 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA เท่ากับ 478 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  21%

ทั้งนี้ บริษัทฯมีกำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัท) จำนวน 240 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60 % จากงวดเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากกำไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่นนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

สำหรับกำไรหลักจากการดำเนินงานจำนวน 235 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราส่วนกำไรหลักจากการดำเนินงาน 41 % ของรายได้รวม

“ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานอยู่ในทิศทางที่ดี แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แต่ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนมาจากการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โครงการ Yamaga ประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิตตามสัญญา 30 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการระหว่างปี 2563 และจะรับรู้เต็มปีในปี 2564 ขณะเดียวกันเป็นฤดูกาลของความเข้มข้นของแสงแดดอยู่ในระดับสูงทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าอยู่ในระดับที่ดีขึ้นด้วย”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่าแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจาก ล่าสุดได้จ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD)ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Leo 1 ขนาด 20 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว  ส่งผลให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าในปัจจุบัน  177 เมกะวัตต์  และคาดว่าจะรับรู้รายได้ทันทีตั้งแต่ในไตรมาส 3/2564 ขณะที่โครงการพลังงานลมในประเทศเวียดนาม ขนาด 48 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถ COD ภายในไตรมาส 4/2564 ส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศภายในปีนี้ทะลุ 200 เมกะวัตต์

นอกจากนี้แผนการดำเนินงานในอนาคต บริษัทฯเตรียมขยายการลงทุน Solar Rooftop ในประเทศอินโดนีเซีย โดยคาดว่าภายในปี 2565 จะ  COD ประมาณ 16 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Leo 2 ในประเทศญี่ปุ่นขนาด 17 เมกะวัตต์ โดยอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ และคาดว่าจะ COD ได้ในปี 2566  ทั้งนี้ บริษัทฯวางเป้าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า กำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 400 เมกะวัตต์

SSP กางแผนครึ่งปีหลังจ่อ COD วินด์ฟาร์มเวียดนาม 48 MW

บมจ. เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) เปิดแผนธุรกิจครึ่งปีหลังเดินหน้ารับรู้รายได้จากโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นโครงการ  Leo 1 กำลังผลิตขนาด 20 เมกะวัตต์ ได้เต็มที่หลังจ่ายไฟฟ้าในช่วงไตรมาส 3/64  และเตรียม COD โรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนามอีก 48 เมกะวัตต์ ในไตรมาส 4/64 รวมทั้งจะเริ่มรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าชีวมวล UPT 9.9 เมกะวัตต์ ฟาก ซีอีโอ”วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ระบุแนวโน้มผลงานครึ่งปีหลังเติบโตโดดเด่น ปัจจัยหนุนเพียบ รุกขยายการลงทุนโซลาร์ รูฟท็อปในอินโดนีเซีย ดันกำลังผลิตแตะ 400 เมกะวัตต์ในอีก 3-5 ปี  

นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากในไตรมาส3/2564 ได้จ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Leo 1 มีกำลังการผลิตขนาด 20 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะรับรู้รายได้ทันทีตั้งแต่ในไตรมาส 3/2564 ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือรวม 177 เมกะวัตต์

สำหรับโครงการพลังงานลมในประเทศเวียดนาม ขนาด 48 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถ COD ได้ภายในไตรมาส 4/2564 ตามแผนที่วางไว้ รวมถึงบริษัทฯ จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดกำลังผลิต 9.9 เมกกะวัตต์ หลังจากได้ทำรายการซื้อหุ้นของบริษัทยูนิ พาวเวอร์ เทค จำกัด (UPT) จากกลุ่มผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 49% ทำให้มั่นใจว่าในปี 2564 บริษัทฯจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศทะลุ 200 เมกะวัตต์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

“แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงรักษาการเติบโตได้เป็นอย่างดี แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ทุกอย่างยังเดินหน้าได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งบริษัทฯจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นตามกำลังการผลิตที่สูงขึ้น ดังนั้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่าสำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต บริษัทฯเตรียมขยายการลงทุน Solar Rooftop ในประเทศอินโดนีเซีย โดยคาดว่าภายในปี 2564 จะ COD ได้ประมาณ 16 เมกะวัตต์ รวมทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Leo 2 ในประเทศญี่ปุ่นขนาด 17 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ และคาดว่าจะ COD ได้ในปี 2566 โดยบริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายไว้จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มไปถึงระดับ 400 เมกะวัตต์ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า

SSP เฮ!กดปุ่ม COD โซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่น 20 MW รับรู้รายได้ทันที

บมจ.เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) กดปุ่ม COD โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น “โครงการ LEO 1″ ขนาดกำลังผลิต 20 เมกะวัตต์เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้มีกำลังการผลิตปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 163 เมกะวัตต์  ฟากซีอีโอ “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ระบุทยอยรับรู้รายได้ทันที มั่นใจสนับสนุนผลงานปีนี้โตเข้าเป้า 20% เดินหน้าเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้าพอร์ตเพิ่ม ผลักดันกำลังผลิตไฟฟ้าในมือทะลุ 400 เมกะวัตต์ภายในปี 2567

นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 บริษัทฯได้ดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date: COD) ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น ในโครงการ LEO 1 มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 20 เมกะวัตต์  ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ส่งผลให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือเพิ่มขึ้นเป็น 163 เมกะวัตต์จากเดิมอยู่ที่ 143เมกะวัตต์  

ขณะที่บริษัทฯคาดว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 48 เมกะวัตต์ น่าจะเริ่ม COD ในไตรมาส 4/2564 ซึ่งจะช่วยผลักดันกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งใน และต่างประเทศสิ้นปี 2564เพิ่มขึ้นเป็น 200 เมกะวัตต์

บริษัทฯสามารถ COD โครงการ LEO 1 ได้ตามแผนงานที่วางไว้ และสามารถรับรู้รายได้ได้ทันที ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ผลงานปี 2564เติบโตได้ในระดับ 20% จากปีก่อน ส่วนความคืบหน้าของโครงการโรงไฟฟ้า Leo 2 ขนาดกำลังการผลิต 17 เมกะวัตต์ ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการและคาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายเช่นกัน แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเดินหน้าเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบของเชื้อเพลิงชนิดต่างๆเพิ่มเติม เพื่อผลักดันให้กำลังการผลิตไฟฟ้าในมือปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 400เมกะวัตต์ ภายในปี 2567″

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีความสนใจที่จะเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าประเภท SPP ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งมีขนาดกำลังผลิตรวม ประมาณ 50 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล (Biomass) โดยพยายามจะมองหาโอกาสเข้าซื้อลงทุนในโครงการต่างๆมากขึ้นมาเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า

SSP ไฟเขียวซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ 

กำธร วังอุดม ประธานกรรมการ (กลาง) , วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซ้าย) ,สุกัญญา โภคะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บัญชีและการเงิน (ขวา) พร้อมด้วยคณะกรรมการ บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-EGM) โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ อนุมัติการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ด้วยมูลค่าลงทุน 500 ล้านบาท ประเมินอัตราผลตอบแทน( IRR) เบื้องต้นระดับ 10% และจะทำให้รับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าทันที โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องประชุมของบริษัทฯ

SSP เพิ่มทุนขาย PP 50 ล้านหุ้น ต่อยอดธุรกิจโรงไฟฟ้า

บอร์ด SSP อนุมัติขายหุ้นเพิ่มทุนแบบพีพี จำนวน 50 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.93% ราคาหุ้นละ12.10 บาท มูลค่ารวม 605 ล้านบาท จัดสรรให้กับ นายพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี และยูโอบีเคย์เฮียน ไพรเวท ลิมิเต็ด เดินหน้านำเงินต่อยอดธุรกิจโรงไฟฟ้าให้ครบวงจร  ฟาก “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ซีอีโอ ระบุการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าทั้งใน และต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการมีกำลังผลิตไฟฟ้าในมือ 400 เมกะวัตต์ภายในปี 2567 สนับสนุนรายได้ และกำไรทำสถิติสูงสุดได้ต่อเนื่อง หวังสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นในอนาคต 

นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 มีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จํานวน 50,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจํานวน 1,369,169,683 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 1,419,169,683 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวน 50,000,000 หุ้น คิดเป็น 4.93% ต่อทุนที่ชำระแล้ว ณ วันที่กรรมการมีมติให้เพิ่มทุน มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยจัดสรรให้บุคคลในวงจํากัด (Private Placement) ประกอบด้วย

การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจํานวนไม่เกิน 30,00,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ในราคาเสนอขาย 12.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 363,000,000.00 บาท ให้แก่ ยูโอบีเคย์เฮียน ไพรเวท ลิมิเต็ด (UOB Kay Hian Private Limited) และจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจํานวนไม่เกิน 20,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ในราคาเสนอขาย 12.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 242,000,000.00 บาท ให้แก่ นายพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี ซึ่งภายหลังการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนนักลงทุนดังกล่าวจะเข้าเป็นผู้ถือหุ้นรวม 4.70% ของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมด

ขณะเดียวกันที่ประชุมยังมีมติอนุมัติกําหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2564 เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เวลา 10.00 น. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-EGM) โดยกําหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมในวันที่ 23 สิงหาคม 2564 (Record Date)

กลุ่มนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นในครั้งนี้ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐาน และมองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของบริษัทในอนาคต ส่วนวัตถุประสงค์ของการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน เพื่อใช้เป็นเงินทุนไปต่อยอดการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มปริมาณกำลังการผลิตในมือให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อผลักดันให้ผลงานเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตลอดจนการสร้างผลตอนแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ต่อเนื่อง

บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขยายการลงทุนและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าจํานวนรวมทั้งสิ้น 400 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 จากปีนี้จะอยู่ที่ 200 เมกะวัตต์ ผ่านการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทั้งในรูปแบบการลงทุนพัฒนาโครงการด้วยตัวเอง (Greenfield Project Investment) ตลอดจนการเข้าลงทุนในโครงการที่เปิดดําเนินการแล้ว (Operating Assets) โดยบริษัทฯ มีการเข้าทําการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ รวมถึงพิจารณาข้อเสนอ และเงื่อนไขในการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอยู่หลายโครงการ

ดังนั้น จึงมีความประสงค์ที่จะระดมทุน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสําหรับรองรับการขยายกิจการในอนาคต โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะใช้เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ในการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคิดเป็นงบประมาณในการเข้าลงทุนเป็นจํานวนประมาณ 900 -1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากบริษัทฯ ต้องใช้เงินลงทุนเกินกว่าจํานวนเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะพิจารณาใช้แหล่งเงินทุนอื่น อาทิเช่น การออกและเสนอขายหุ้นกู้ หรือการกู้ยืมเงินทุนจากสถาบันการเงิน ประกอบกับการที่บริษัทฯ พิจารณานักลงทุนที่มีศักยภาพด้านเงินทุน และมีความประสงค์ที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน บริษัทฯ จึงได้เข้าเจรจากับนักลงทุน จนประสบผลสําเร็จในครั้งนี้

“การขายหุ้นให้ PP ครั้งนี้ทำให้บริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการเข้าลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในอนาคต ตามเป้าหมายที่บริษัทฯตั้งไว้ในการขยายการลงทุนและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าจํานวนรวมทั้งสิ้น 400 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและความมั่นคงให้แก่ฐานะการเงินของบริษัท อีกทั้ง ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการดําเนินธุรกิจ อันจะช่วยส่งผลกระทบให้ผลประกอบการของบริษัทฯ แข็งแกร่งในระยะยาว นอกจากนี้ การเพิ่มทุนในลักษณะแบบ PP  จะช่วยลดภาระในการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท และยังสามารถดําเนินการได้ทันทีภายหลังได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ” นายวรุตม์ กล่าวในที่สุด

SSP เทกฯ โรงไฟฟ้าชีวมวล 9.9 MW มูลค่าลงทุน 500 ล้าน

ผู้ถือหุ้น SSP ไฟเขียวอนุมัติทุ่มงบ 500 ล้านบาท ซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าชีวมวล จังหวัดนครราชสีมา ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ มั่นใจให้ผลตอบแทนดี คาด IRR 10%  ฟากซีอีโอ “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ระบุสามารถรับรู้รายได้ทันที ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่น ขนาด 20 เมกะวัตต์ และเวียดนาม ขนาด 48 เมกะวัตต์เตรียม COD ตามแผน ส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมปี 64 มากกว่า 200 เมกะวัตต์ สนับสนุนผลงานทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนแบบครบวงจร 

นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) SSP เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดกำลังการผลิต 9.9 เมกกะวัตต์ โดยการซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท ยูนิ พาวเวอร์ เทค จำกัด (ยูพีที) จากกลุ่มผู้ถือหุ้นของยูพีที รวมถึงสิทธิในการรับชำระหนี้เงินกู้ในส่วนที่ยูพีทียังคงค้างชำระแก่ผู้ถือหุ้นของยูพีทีด้วย มูลค่าลงทุนรวม 500 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเข้าทำรายการเพื่อให้ได้มาซึ่งหุ้นของยูพีที จำนวน 119,070 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 บาท คิดเป็นสัดส่วน 49% ภายในเดือน กรกฎาคม 2564 และคาดว่าจะเข้าทำรายการเพื่อให้ได้ ซึ่งหุ้นของยูพีทีจำนวน 123,930 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 บาท คิดเป็นสัดส่วน 51% ภายในเดือนพฤษภาคม 2565 รวมเป็นการเข้าซื้อหุ้นของยูพีทีทั้งสิ้นจำนวน 243,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 100%

ทั้งนี้ บริษัท ยูนิ พาวเวอร์ เทค จำกัด (ยูพีที) ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล โดยดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดกำลัง 9.9 เมกกะวัตต์ ตั้งอยู่ตำบลสี่คิ้ว อำเภอสี่คิ้ว จังหวัดนครราชสีมา โดยเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 มีระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นจำนวน 20 ปีนับแต่วัน COD

การเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลในครั้งนี้จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งเบื้องต้นได้มีการประเมินอัตราผลตอบแทน( IRR)ในระดับ 10% และคาดว่าจะใช้เวลาคุ้มทุนภายใน 7 ปี โดยราคารับซื้อไฟฟ้ารูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่ 4.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯสามารถรับรู้รายได้และกำไรจากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้ามาทันที  ถึงแม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 แต่บริษัทฯยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ โดยช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าในเวียดนาม กำลังการผลิต 48 เมกะวัตต์ เตรียมขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ตามแผน ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมทะลุ 200 เมกะวัตต์  จากปัจจุบันอยู่ที่ 143 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังคงมองหาโอกาสการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้และกำไรสร้างสถิติสูงสุดใหม่ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

นายวรุตม์ กล่าวอีกว่า การเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลของ SSP ถือเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนแบบครบวงจร อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงมองหาการลงทุนในทุกรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าต่อไป โดยวางเป้าหมายช่วง 3-5 ปีข้างหน้า กำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 400 เมกะวัตต์ ผลักดันผลการดำเนินงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

SSP ขึ้นทำเนียบหุ้นน่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging

SSP สุดปลื้ม! ขึ้นแท่นหุ้นน่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 64 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 24 หลักทรัพย์ ตอกย้ำปัจจัยพื้นฐานแกร่ง โตแรงฝ่าวิกฤติโควิด ฟาก “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” เปิดแผนงานครึ่งปีหลังเตรียม COD โรงไฟฟ้าญี่ปุ่น-เวียดนาม เพิ่ม หนุนผลงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง 

นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยถึงกรณีที่สถาบันไทยพัฒน์ โดยหน่วยงาน ESG Rating ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ได้ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 โดย SSP อยู่มีรายชื่อหุ้นอยู่ในกลุ่มดังกล่าว ถือว่าเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงหลักการคิดในการบริหารธุรกิจของบริษัทฯ ที่ไม่ได้มองเพียงมิติของผลกำไรจากการดำเนินงานเพียงเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ของความยั่งยืน โดยหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 มีทั้งสิ้น 24 หลักทรัพย์

ทั้งนี้  การพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่น่าลงทุน กลุ่ม ESG Emerging ในปีนี้ นับเป็นปีที่สองของการประเมิน โดยใช้ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ปรากฏในการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG และความริเริ่ม หรือลักษณะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นด้าน ESG ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ หรือการประหยัดต้นทุนของกิจการในรอบปีการประเมิน

นายวรุตม์ กล่าวอีกว่า แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่บริษัทฯยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น และเวียดนาม เตรียมขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ตามแผน ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังคงมองหาโอกาสการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้และกำไรสร้างสถิติสูงสุดใหม่ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

อนึ่ง ผลการดำเนินงานของ SSP ในไตรมาส 1/64 แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 บริษัทฯยังคงรักษาความสามารถทำกำไรได้ในระดับสูง มีกำไรหลักจากการดำเนินงานจำนวน 178.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราส่วนกำไรหลักจากการดำเนินงาน 35.6% ของรายได้รวม  สะท้อนการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ