9 ข้อคิดสำหรับ SMEs ไทยก่อนบุกตลาดจีนในยุคโควิด-19

สรุป 9 ข้อคิดสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ไทยที่ต้องการเจาะตลาดจีน จาก กิจกรรมบ่มเพาะผู้ประกอบการแบรนด์ไทยสู่ตลาดจีน (Over the Great Wall : Now Normal Era) โดยสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับศูนย์สร้างโอกาสธุรกิจไทยสู่จีน Thailand Smart Trade Center หรือ TSTC เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการทำการตลาดในจีน โดยเฉพาะเมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 (COVID-19) ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • จีนมีพัฒนาการในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดค่อนข้างดี ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์โควิด-19 (COVID-19) จนเข้าสู่ปี 2564 ก็ยังดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่างจากประเทศอื่นๆ ในโลก คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะแซงสหรัฐฯ ภายในปี 2573 ด้วยการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Platform) เน้นการพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ และวางเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด
  • กลุ่มเป้าหมายของผู้บริโภคที่ควรศึกษา คือ กลุ่มที่เติบโตมาจากนโยบายลูกคนเดียวเพราะมีพฤติกรรมซื้อสินค้าออนไลน์เป็นช่องทางหลัก และรองลงมาคือกลุ่มผู้สูงอายุที่ค่อนข้างมีกำลังซื้อสูง
  • พฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีนมีความหลากหลายทั้งภูมิภาค ความแตกต่างทางวัฒนธรรม เพศ อายุ ผู้ประกอบการต้องศึกษาให้ดี
  • การจดเครื่องหมายการค้า (Trade Mark) ให้เรียบร้อยก่อนไปบุกตลาดจีนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการเสียเปรียบทางธุรกิจ
  • นับตั้งแต่เกิดโควิด-19 ตลาดอี-คอมเมิร์ซในจีนเจริญเติบโตขึ้นมากถึง 37% เพราะการซื้อขายออนไลน์เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายและสะดวกกว่าออฟไลน์ โดยในแอปพลิเคชั่น Taobao ที่มีผู้ใช้ 874 ล้านคนนั้น 60% เป็นผู้ซื้ออายุต่ำกว่า 30 ปี ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเมื่อต้องทำ Target group
  • ช่วงเทศกาลช้อปปิ้ง 18 ซึ่งเป็นเทศกาลออนไลน์กลางปีครั้งยิ่งใหญ่อีกงานหนึ่งของจีน ในปีนี้ได้สร้างสถิติสูงสุดมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยสินค้าที่ขายดีและมาแรง คือ สินค้าสุขภาพความงาม และผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเรื่องสุขภาพ
  • ควรเลือกใช้เครื่องมือทางการตลาดที่ยังคงทรงพลังท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชั่น เว็บไซต์ หรือ โซเชียล มีเดีย เพราะสามารถเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มได้
  • โซเชียล แพลตฟอร์มที่กำลังเป็นที่นิยมในจีนคือ Douyin แอปพลิเคชั่นวิดีโอสั้นที่รู้จักกันในชื่อ Tik Tok ซึ่งเป็นช่องทางที่ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น หากเจ้าของแบรนด์สร้างสรรค์คอนเท้นต์ที่ทำให้เห็นถึง “ความคุ้มค่าที่จะซื้อ” ได้มากเท่าไรย่อมได้เปรียบ เพราะจากข้อมูลพบว่า 64% ของผู้บริโภคจีนนั้นยินดีที่จะลองสินค้าใหม่
  • WeChat Official Account และช่องทางต่างๆ ในการสื่อสาร ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในประเทศจีนแล้วสามารถสร้างบัญชีผู้ใช้เองได้ หรือจะให้บริษัทที่เชี่ยวชาญในด้านนี้มาดูแลให้ก็ได้ เพราะจะต้องหมั่นสร้างคอนเทนต์ และบริหารงานแอคเค้าท์ให้มีการเติบโต เพิ่มจำนวนผู้ติดตามเพื่อสร้างยอดขายให้สูงเพิ่มขึ้นได้ต่อไป

สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการไทยที่มีประสบการณ์การทำตลาดในจีนร่วมให้ความรู้มากมาย อาทิ นายยงค์กิจ ธรรมพัฒนาภรณ์ กรรมการบริหาร ศูนย์สร้างโอกาส ธุรกิจไทยสู่จีน, นายศิวัสน์      เหลืองสมบูรณ์  ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, นางสาวณัฐชานันท์ พาณิชย์วโรชา เจ้าของแบรนด์ PASJEL, นายสุวัฒน์ รักทองสุข ผู้บริหาร บริษัท เลิศ โกลบอล กรุ๊ป จำกัด, นายกิตติพนธ์  นามพิชญ์ธนสิน ซีอีโอ บริษัท คิสออฟบิวตี้ จำกัด และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ได้แก่ Ms. Lea Zhang ผู้จัดการอาวุโส ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Tmall Global, Mr. Jet Zhou ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ Dermatosis Cultural Tourism และ Ms. Summer Deng ผู้บริหาร Guangzhou

เปิดเทคนิคทางรอดธุรกิจร้านอาหาร SME ไทยยุคโควิด

ธุรกิจร้านอาหารถือเป็นธุรกิจปราบเซียน แม้จะเป็นธุรกิจหอมหวานชวนให้ผู้คนกระโจนเข้ามาเล่นง่าย กลายเป็นตลาด Red Ocean ที่มีผู้เล่นจำนวนมาก แต่กลับหาธุรกิจที่อยู่รอด มียอดขายโตต่อเนื่อง เป็นตัวจริงในวงการได้ยาก โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิดรุมเร้า ธุรกิจอาหารกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ต้องเผชิญความยากลำบากมากที่สุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เผยผลการประเมินผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่มีต่อธุรกิจร้านอาหารในปี 2564 คาดว่ามูลค่าธุรกิจร้านอาหารจะหดตัว 5.6 เปอร์เซ็นต์ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารที่เป็นกลุ่ม SMEs อันเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศกว่า 80% ที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจนต้องปิดตัวลงหรือหันไปพึ่งพาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนภายนอก เห็นได้ชัดจากการที่มียอดคงค้างสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว

LINE ในฐานะแพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำในประเทศไทย พร้อมเดินหน้าผลักดันให้ทุกกลุ่มธุรกิจเดินหน้าต่อได้ท่ามกลางวิกฤต นำเสนอแนวคิดและแนวทางให้ผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร SME ไทย สามารถสร้างยอดขาย เดินหน้าฝ่าวิกฤตครั้งนี้ต่อไปได้ ด้วย 2 แนวคิดสำคัญในการทำธุรกิจออนไลน์ คือ การสร้าง Content Marketing ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างตัวตน เรื่องราวของแบรนด์บนโลกออนไลน์ และการรู้จักใช้แพลตฟอร์ม เทคโนโลยีอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีตัวอย่างความสำเร็จของการสร้างแบรนด์ สร้างยอดขาย โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยหลักจาก 2 แบรนด์ดัง หวังช่วยจุดประกายไอเดียให้ธุรกิจร้านอาหาร SME ไทยได้สู้ต่อไปได้เพื่อผ่านพ้นวิกฤตใหญ่และเติบโตต่อได้อย่างยั่งยืน

กล้อง-อาริยะ คำภิโล ผู้ก่อตั้งร้านอาหารเพื่อสุขภาพ Jones’ Salad

เมื่อร้านอาหารเกือบทั่วประเทศไทย ต้องเจอกับมาตรการการปิดหน้าร้านออฟไลน์ การเร่งสร้างแบรนด์ สร้างร้านอาหารให้มีตัวตนบนโลกออนไลน์จึงเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้อีกต่อไป กล้อง-อาริยะ คำภิโล ผู้ก่อตั้งร้านอาหารเพื่อสุขภาพ Jones’ Salad ได้ให้คำแนะนำสำหรับแบรนด์ SME โดยฉพาะสายธุรกิจอาหาร ที่อยากสร้างธุรกิจในโลกออนไลน์ ในรายการ SME Biz Talk ว่า การจะทำ Content Marketing ให้ได้ดี ต้องเริ่มต้นจากการเอาตัวตนของธุรกิจเป็นตัวตั้ง เช่น ร้านอาหารสุขภาพ ก็ควรเน้นการให้ความรู้ นำข้อมูลสุขภาพมาเสนอด้วย ไม่ใช่สื่อสารแต่สินค้าเพื่อขายอย่างเดียว การเอางานวิจัยหรือบทความที่อ่านแล้วเข้าใจยาก มีความซับซ้อน หรืออัพเดทสถานการณ์ต่างๆ มาทำเป็นการ์ตูน หรืออินโฟกราฟิกให้ลูกค้าเราเข้าใจง่าย เพื่อสร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์และความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง เป็นหลักเริ่มต้นง่ายๆ ที่แบรนด์ตนเองได้เริ่มทำตั้งแต่ก่อนเจอวิกฤต พร้อมสร้างคาแรคเตอร์ “ลุงโจนส์” มาเป็นตัวละครหลักในการเล่าเรื่องเพื่อให้เป็นภาพจำกลับมาสู่แบรนด์ ไม่ว่าคอนเทนต์จะเป็นเรื่องใดก็ตาม

ซึ่งการเซ็ตแนวทางคอนเทนต์ไว้ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เจ้าของธุรกิจควรออกแบบแนวทางของเนื้อหาและคาแรคเตอร์ให้สอดคล้องกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการขายสินค้าตั้งแต่แรก และต้องไม่ขัดแย้งกับสินค้าบริการและตัวตนของแบรนด์ ซึ่งคอนเทนต์ที่ดีต้องสร้างการรับรู้ (Brand Awareness) ไปพร้อมกับทำให้ลูกค้าเข้าใจคุณค่าของแบรนด์ (Brand Value) ทำให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือได้ในที่สุด

รับชมเคล็ดลับความสำเร็จของ Jones’ Salad ในรายการ SME Biz Talk Season 2 ย้อนหลังได้ที่https://tv.line.me/v/20660463_sme-biz-talk-ซีซั่น-2-ep3-share-talk

ปริญญ์ สุขสมิทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ฟินิกซ์ ลาวา

แบรนด์ฟีนิกซ์ ลาวา (Phoenix Lava) แบรนด์ขนมแห่งการให้ ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 8 ปี เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยการรู้จักสร้างคอนเซปต์ให้แบรนด์ตนเองตั้งแต่เริ่ม ทำให้แบรนด์มีตัวตน ภาพจำที่โดดเด่นกว่าแบรนด์ทั่วไป โดยชูคอนเซปต์การเป็น “ร้านขนมแห่งการให้” ที่ลูกค้าสามารถซื้อไปฝากคนอื่นได้ กลายเป็นปรัชญาทางธุรกิจทั้งผู้ให้และผู้รับมีความสุข โดยใส่ใจทุกรายละเอียดตั้งแต่คุณภาพของวัตถุดิบและการออกแบบ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของสินค้าภายใต้ชุดความคิด “ผู้ให้” สู่กลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ปริญญ์ สุขสมิทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ดังกล่าว ยังได้เล่าเพิ่มเติมในรายการ SME Biz Talk Season 2 อีกว่า นอกจากการสร้างคอนเซปต์ ใส่ใจรายละเอียดทุกขั้นตอนแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างยั่งยืน คือ การให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูล (DATA) เพื่อมาวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ทั้งจากพนักงานหน้าร้าน เครื่อง POS หน้าร้าน และผ่านแพลตฟอร์ม เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงจากการแชท โดยเฉพาะเมื่อยามหน้าร้านจำกัดการให้บริการ เพื่อให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ แพคเกจ ไปจนถึงบริการบนโลกออนไลน์ให้โดนใจ สร้างยอดขายได้ ลูกค้านึกถึงแบรนด์ตลอดเมื่อต้องการซื้อ

ปริญญ์ ยังกล่าวเพิ่มว่า ผู้ประกอบการควรต้องมองให้ขาดว่าโซเชียลมีเดียแต่ละตัวมีบทบาทต่างกัน ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เป็นเหมือนป้ายโฆษณาที่สร้างการรับรู้ แต่ด้วยเสน่ห์ของการแชท เราใช้ LINE Official Account เป็นช่องทางหลักในการปิดการขายและเก็บฟีดแบคจากกลุ่มลูกค้า โดยต้องเรียนรู้เทคนิคการใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ภายในให้ครบ เพื่อเราจะได้ใช้เทคโนโลยีให้คุ้ม ไม่ว่าจะเป็นจากหน้าแสดงผลข้อมูลเชิงลึก (Insight) ในระบบ LINE OA ไปจนถึงการแชทพูดคุยกับแอดมินร้านที่มีฟีเจอร์ช่วยจำต่างๆ มากมาย ทำให้เราเก็บข้อมูลได้เยอะและครบถ้วน ซึ่งจากการเก็บข้อมูลจาก LINE OA แบรนด์พบว่ากลุ่มลูกค้าหลักคือผู้หญิงวัยทำงานที่มักซื้อฝากครอบครัว คนรอบข้าง ส่งผลต่อมาถึงการพัฒนาแพคเกจให้เหมาะสมโดนใจ รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่คิดถึงความเป็นญี่ปุ่น ก็ให้แบรนด์พัฒนาสินค้าใหม่พร้อมเรื่องราวมาตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน

สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับการให้บริการโดยเฉพาะบนโลกออนไลน์คือการมองในมุมมองลูกค้าเป็นสำคัญ ลูกค้าที่แอด LINE OA มาส่วนใหญ่คือเป็นกลุ่มที่มีความตั้งใจในการซื้ออยู่ระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่เราต้องทำคือให้ข้อมูลสินค้า ปิดการขายด้วยประสบการณ์ที่ดีที่สุด ถึงจะทำให้ลูกค้าอยู่กับ LINE OA  เราต่อไป ไม่บล็อกช่องทางนี้ เช่น ลูกค้าแอดเรามาเพราะอยากรู้หรือมีปัญหาอะไร สิ่งเหล่านี้ควรอยู่ใน Greeting message หรือ Rich Menu ให้เห็นตั้งแต่วินาทีแรก ในยามที่ลูกค้ามาดูเมนูที่หน้าร้านไม่ได้ ก็ควรสร้างเมนูอาหารไว้ในหน้า Timeline เพื่อให้ลูกค้ากดดูเองได้ทันที ทันใจ รวมไปถึงการ Broadcast ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เลือกส่งข้อความที่เป็นประโยชน์ต่อคนเฉพาะกลุ่มที่สนใจ หรือการทำโปรโมชั่นพิเศษสื่อสารให้กับลูกค้าเฉพาะกลุ่มแตกต่างกันระหว่างลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ เป็นต้น

รับชมเคล็ดลับความสำเร็จของ Phoenix Lava ในรายการ SME Biz Talk Season 2 ย้อนหลังได้ที่: https://tv.line.me/v/20660462_sme-biz-talk-ซีซั่น-2-ep3-brand-talk

SMEs ไทย ผงาดเวทีระดับโลกในงาน เวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล คัดสุดยอดสินค้าดี สินค้าเด่นของไทย ร่วมจัดแสดงที่อาคารแสดงประเทศไทยในงาน “เวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ” ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 31 มีนาคม 2565 ณ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อแสดงศักยภาพของสินค้าไทยสู่สายตาชาวโลก พร้อมเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าสู่ตลาดตะวันออกกลางและประเทศอื่น ๆ แก่ผู้ประกอบการไทย

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา ดีป้า ริเริ่มโครงการคัดเลือกสุดยอดสินค้าดี สินค้าเด่นของไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs มีโอกาสเปิดตลาดใหม่ในแถบตะวันออกกลาง เพราะผู้เข้าชมงานกว่าร้อยละ 74 เป็นกลุ่มผู้ซื้อหลักของตลาดดูไบและตะวันออกกลาง โดยจะนำสินค้าไปจำหน่ายและแจกเพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับผู้เข้าชมอาคารแสดงประเทศไทยในงาน “เวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ” ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพและได้รับมาตรฐานการส่งออกจำนวนกว่า 200 ราย

“ปัจจุบัน เราได้ทำการคัดเลือกสุดยอดสินค้าไทยที่ผ่านหลักเกณฑ์และมาตรฐานด้านความโดดเด่น มีเอกลักษณ์ เป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย และมีเอกสารรับรองสำหรับการส่งออกครบถ้วนแล้ว จำนวน 250 รายการ โดยแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์หัตถกรรมฝีมือคนไทย 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ สปา และเครื่องสำอาง 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก 4. กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องประดับ และ 5. กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานและเครื่องดื่ม” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

สำหรับสุดยอดสินค้าจากโครงการสินค้าดี สินค้าเด่นของไทยทั้งหมด รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวงจะจัดจำหน่ายบริเวณชั้นล่างของอาคารแสดงประเทศไทย ณ ร้านของที่ระลึก “Thai Souk” โดย Souk ในภาษาอารบิกแปลว่า “ตลาด” และออกเสียงคล้าย “ความสุข” ในภาษาไทย ดังนั้น Thai Souk จึงหมายความถึงตลาดที่ส่งมอบความสุขด้วย 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์อันเลื่องชื่อของประเทศไทย โดย ดีป้า ได้คัดเลือก บริษัท เวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด บริษัทของคนไทยที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญด้านการจัดแสดงสินค้าในประเทศแถบตะวันออกกลางบริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าว

อัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด

ด้าน นายอัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด ในฐานะรองประธานสภาธุรกิจไทยในดูไบและรัฐตอนเหนือของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวว่า การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาคารแสดงประเทศไทยในครั้งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญในนามประเทศไทย และยังเป็นโอกาสอันดีที่จะได้นำเสนอสินค้าและบริการของผู้ประกอบการไทยในเวทีระดับโลก โดยมีทั้งสินค้าที่เป็นที่นิยมในกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลางอยู่แล้ว อาทิ อัญมณีเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ไม้ อาหารทะเลแปรรูป รวมถึงสินค้าใหม่ที่มีโอกาสสร้างตลาดในดูไบและตะวันออกกลาง เช่น งานหัตถกรรมฝีมือคนไทย สินค้าเพื่อสุขภาพ สปาและเครื่องสำอาง สินค้าของที่ระลึก และอาหารพร้อมรับประทานและเครื่องดื่ม

“สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ มีเมืองดูไบเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการค้า สามารถเชื่อมต่อการเดินทางทั้งทางบกและอากาศ ต่อเนื่องถึงทวีปแอฟริกาและยุโรป จากการที่ดูไบได้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดงาน เวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดการก่อสร้างสาธารณูปโภค และเกิดการจ้างงานจำนวนมาก โดยสินค้าและบริการของประเทศไทยยังคงได้รับความนิยมและชื่นชอบจากชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพราะคุณภาพดี ราคาไม่แพง อีกทั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าสุขภาพเป็นจำนวนมาก จึงถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะใช้งานนี้แสดงศักยภาพสินค้าไทยที่มีคุณภาพและมาตรฐานเทียบเท่าสากล ซึ่งมั่นใจว่า สินค้าของไทยจะได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานเป็นจำนวนมาก” นายอัครวุฒิ กล่าว

งานเวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 31 มีนาคม 2565 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ภายใต้แนวคิด “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต: CONNECTING MINDS, CREATING THE FUTURE” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไป และส่งสัญญาณต่อให้ทุกคนร่วมใจกันพัฒนาโลก ภายใต้ 3 หัวข้อย่อย ได้แก่ 1. โอกาส (Opportunity) 2.การขับเคลื่อน (Mobility) และ 3.ความยั่งยืน (Sustainability)

สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและร่วมภูมิใจกับอาคารแสดงประเทศไทยที่ Facebook, Instagram และ YouTube: Expo2020DubaiThailand หรือ https://expo2020dubaithailand.com