SCGP ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซีย

SCGP ได้เข้าถือหุ้นร้อยละ 75 ใน Intan Group ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกรายใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย ที่มีฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ต่อยอดด้านการผลิต    ซัพพลายเชน และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รองรับการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่สิงหาคมนี้  

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว จึงวางกลยุทธ์ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ หลังจากเริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2556 เพื่อต่อยอดธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เพิ่มความเข้มแข็งด้านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์กระดาษ จากปัจจุบันที่มีฐานการผลิต แห่งในประเทศอินโดนีเซีย 

ล่าสุด ในวันที่ 13 สิงหาคม 2564 SCGP ได้เข้าถือหุ้น (Merger and Partnership หรือ M&P) ร้อยละ 75 ใน PT Indonesia Dirtajaya Aneka Industri Box, PT Bahana Buana Box และ PT Rapipack Asritama (Intan Group) เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นไปตามที่ได้เคยเปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 โดยดำเนินการผ่าน TCG Solutions PteLtd. (TCGS) ที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด (หรือ “TCG”) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SCGP และ Rengo Company Limited ประเทศญี่ปุ่น ที่สัดส่วนร้อยละ 70:30 ตามลำดับ โดยแบ่งการชำระค่าหุ้นออกเป็นงวดแรกจำนวน 822 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 1,997 ล้านบาท) และจะชำระค่าหุ้นงวดที่ 2 โดยพิจารณาจากผลประกอบการส่วนเพิ่มของ Intan Group สำหรับงวดปีบัญชี 2565 และ 2566 ซึ่งเมื่อรวมกับเงินที่ชำระในงวดแรกแล้วจะเป็นเงินไม่เกิน 859 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 2,088 ล้านบาท) และจะเริ่มรับรู้ผลประกอบการของ Intan Group ในงบการเงินรวมของ SCGP ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป  

Intan Group เป็นหนึ่งในผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกรายใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันดำเนินธุรกิจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ พื้นที่ ได้แก่ Surabaya ทางทิศตะวันออกของเกาะชวา Semarang ทางตอนกลางของเกาะชวา Bekasi ทางทิศตะวันตกของเกาะชวา และ Minahasa ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุลาเวสี โดยมีลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค 

เมื่อสิ้นสุดปีบัญชี 2563 Intan Group มีรายได้ประมาณ 1,329 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 3,231 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิหลังหักภาษีประมาณ 65 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 158 ล้านบาท) และมีสินทรัพย์ประมาณ 755 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 1,836 ล้านบาท)  

 “การขยายการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียจะเพิ่มศักยภาพจากความร่วมมือแบบบูรณาการทั้งด้านการผลิต การตลาด การวิจัย  รวมถึงนำเสนอบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายร่วมกับการนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรเพื่อรองรับการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งยังเป็นการเน้นย้ำความเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่งของประเทศอินโดนีเซีย” นายวิชาญ กล่าว 

SCGP และมูลนิธิเอสซีจี ผนึก จุฬาฯ ร่วมพัฒนา Respirator “CUre AIR SURE”

SCGP ผนึก จุฬาฯ ร่วมพัฒนานวัตกรรมหน้ากาก CUre AIR SURE ที่ออกแบบจากความใส่ใจสู่ความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุข พร้อมร่วมกับมูลนิธิเอสซีจี เตรียมส่งมอบให้แก่บุคลากรสาธารณสุขด่านหน้าจำนวน 10,000 ชิ้น เพื่อใช้ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ 

ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์ฝุ่นที่เกิดขึ้น ทำให้เทคโนโลยีการกรองอากาศกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตวิถีใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นความสำคัญและต้องการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพของคนไทย จึงร่วมกับภาคเอกชนในการออกแบบและพัฒนาหน้ากาก Respirator CUre AIR SURE’ เพื่อเป็นนวัตกรรมทางเลือกใหม่ในการสวมใส่หน้ากากกรองฝุ่นและเชื้อโรค โดยได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจาก SCGP และหน่วยงานอื่น ๆ อีกหลายภาคส่วน อาทิ กองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สถาบันพลาสติก ร่วมทำงานกับทีมคณาจารย์นักวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จนสามารถผลิตหน้ากาก Respirator แบบครอบครึ่งหน้าที่มีคุณภาพสูง กรองเชื้อแบคทีเรียและกรองอนุภาคขนาดเล็กได้ 99ผ่านเกณฑ์หน้ากากอนามัยชั้นที่ 1 ตามมาตรฐานสากล Medical Face Mask ASTM F2100  

วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชนหรือ SCGP กล่าวต่อว่า SCGP ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบและผลิตโครงสร้างหน้ากากอนามัยภายใต้นวัตกรรมการออกแบบเพื่อสังคม โดยนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการดีไซน์และผลิตวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์มาต่อยอด เพื่อให้ได้หน้ากากที่รับกับโครงสร้างใบหน้าของคนไทย สวมใส่สบายและมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรคและกรองฝุ่นละอองได้ดี โดยออกแบบให้สามารถเปลี่ยนแผ่นกรองได้

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการ มูลนิธิเอสซีจี กล่าวด้วยว่า มูลนิธิเอสซีจี ตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา มูลนิธิฯ มีความห่วงใยพี่น้องชาวไทยที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน จึงได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประเทศไทยสามารถเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ได้โดยเร็ว โดยที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้มอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือบุคลากรสาธารณสุข ผู้ป่วย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ 77 จังหวัด นอกจากนี้ SCGP ยังได้ร่วมสมทบทุนกับมูลนิธิเอสซีจีเพื่อส่งมอบหน้ากากอนามั Cure AIR SURE จำนวน 10,000 ชุด ให้กับบุคลากรสาธารณสุขและโรงพยาบาลต่าง ๆ จำนวนกว่า 100 แห่ง ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยในด่านหน้า ผ่านเครือข่ายในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ

SCGP ยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESGและพร้อมร่วมมือกับองค์กรและเครือข่ายต่าง ๆ ในการพัฒนาและออกแบบนวัตกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยได้ก้าวผ่านสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ไปด้วยกัน 

SCGP ชวนร่วมโครงการ SCGP PACKAGING SPEAK OUT

บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน จัดการประกวด SCGP PACKAGING SPEAK OUT ให้นิสิตและนักศึกษาได้โชว์ไอเดียที่จะทำให้โลกนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้นผ่านบรรจุภัณฑ์ ชิงรางวัลรวม 300,000 บาท และโอกาสในการเข้าร่วม SCGP Internship Program โดยโจทย์แบ่งออกเป็น 2 หัวข้อ ได้แก่ PACKAGING DESIGN การครีเอทแพคเกจจิ้งสุดสร้างสรรค์ และ PACKAGING SOLUTIONS การสร้างโซลูชันเกี่ยวกับแพคเกจจิ้งในรูปแบบใหม่ หากคุณอยากส่งเสียงให้โลกนี้ดีขึ้น เวทีนี้เปิดให้คุณสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 27 กันยายน 2564

การแข่งขัน SCGP PACKAGING SPEAK OUT เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้เหล่า GEN Z ที่อยากจะเปลี่ยนแปลงโลก ได้มีพื้นที่สำหรับโชว์ศักยภาพผ่านการสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อมหรือด้านสังคม เพื่อเปลี่ยนแปลงให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น ซึ่งโจทย์ในการประกวดครั้งนี้ แบ่งออกเป็น หัวข้อ ได้แก่

  1. PACKAGING DESIGN: ส่งผลงานประเภทการออกแบบแพคเกจจิ้ง ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าประกวดสามารถครีเอทแพคเกจจิ้งของตัวเองด้วยรูปแบบใหม่ๆ ได้เต็มที่ เพื่อให้ได้แพคเกจจิ้งที่สามารถใช้งานได้ สร้างสรรค์ไอเดียที่สื่อสารได้ตรงประเด็น และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ผู้เข้าประกวดเลือกไว้
  2. PACKAGING SOLUTIONS: ส่งผลงานประเภทอื่น ๆ นอกเหนือจากการออกแบบแพคเกจจิ้ง แต่ยังเป็นไอเดียที่มีความเกี่ยวข้องกับแพคเกจจิ้ง เช่น การออกแบบระบบการจัดการ การออกแบบในเชิงธุรกิจ การออกแบบเชิงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ Ecosystem ของแพคเกจจิ้งนั้น ๆ โดยต้องมีความเป็นไปได้ สมเหตุสมผล  รวมไปถึงสามารถสื่อสารถึงประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้เข้าประกวดเลือกไว้ได้

ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากประเภท The Best of the Packaging Design Challenge และ The Best of the Packaging Solutions Challenge จะได้รับเงินรางวัลทีมละ 80,000 บาท และยังได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน SCGP Internship Program นอกจากนี้ยังมีรางวัล Runner  Up ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ จากทั้ง หัวข้อจะได้รับเงินรางวัลทีมละ 60,000 บาท และรางวัล Popular Vote จากทั้ง หัวข้อ ซึ่งเปิดให้โหวตตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม – 29 พฤศจิกายน 2564 ผ่านทางเว็บไซต์ SPEAKOUT.scgpackaging.com จะได้รับเงินรางวัล    ทีมละ 10,000 บาท 

ทั้งนี้ คุณสมบัติผู้เข้าแข่งขันจะต้องมีอายุไม่เกิน 25 ปี (นันถึงวันที่ 2กันยายน 2564) ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดสัญชาติ ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา สถาบันการศึกษา คณะที่ศึกษา รวมไปถึงชั้นปีที่ศึกษา ผู้สมัครสามารถสมัครแบบทีม โดยมีสมาชิกรวมไม่เกิน คน และจะคัดเลือกผู้เข้ารอบจำนวน 10 ผลงาน ซึ่งผู้ผ่านเข้ารอบจะได้เข้าร่วมกิจกรรม Special Workshop Design thinking Virtual Workshop” และ “Pitching Technique” โดยทีมวิทยากรที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญจาก SCGP และภายนอก หากผู้เข้าร่วม Workshop เก็บชั่วโมงกิจกรรมครบตามกำหนด จะได้รับประกาศนียบัตรจาก SCGP เพื่อเป็นการรับรองว่าคุณได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาแพคเกจจิ้งเพื่อต่อยอดและนำไปใช้จริงได้ในอนาคต

ผู้ที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครได้ที่ SPEAKOUT.scgpackaging.com ตั้งแต่วันนี้ถึง 27 กันยายน 2564 เวลา 18.00 น.

SCGP ทำรายได้ครึ่งปีแรก 57,148 ล้าน

SCGP ทำรายได้จากการขายครึ่งปีแรก 57,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 รักษาการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์และการขยายตัวของการส่งออกเพิ่มขึ้นในภูมิภาคอาเซียน ทั้งการขยายกำลังการผลิตและ M&P ได้ตามแผนงาน ครึ่งปีหลังเตรียมปิดดีลในอินโดนีเซียและสเปน เดินหน้าแผนการประสานความร่วมมือกับพันธมิตร รวมถึงขยายกำลังการผลิตในอาเซียนแล้วเสร็จ เสริมศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 57,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 4,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน EBITDA (กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ไม่รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม และรวมกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้ยืม) อยู่ที่ 10,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  

สำหรับรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น มาจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์และการส่งออกสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอาเซียน เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและ อาหารแช่แข็ง เป็นต้น รวมถึงเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ประเทศในยุโรป และประเทศจีนเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคโควิด 19 ถึงแม้จะมีแรงกดดันจากต้นทุนด้านพลังงานและภาวะขาดแคลน   ตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าทางเรือในช่วงที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการต้นทุน และปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ 

และรายได้ที่เพิ่มขึ้นยังมาจากการวางกลยุทธ์ในการรักษาความเป็นผู้นำโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนและการขยายธุรกิจได้ตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งการเข้าควบรวมกิจการ (Merger & Partnership หรือ M&P) กับ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ประเทศเวียดนาม และการเข้าลงทุนใน GoPak UK Limited เพื่อขยายตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตที่แล้วเสร็จในช่วงที่ผ่านมา เช่น การเพิ่มกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ ในประเทศอินโดนีเซีย, การเพิ่มกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ในประเทศไทย เป็นต้น 

SCGP สามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการวางกลยุทธ์ขยายธุรกิจผ่านธุรกิจปัจจุบันและ M&P ทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดว่าในปี 2564 จะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อกระจายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพิ่มพอร์ตบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม กระบวนการทำงาน และโมเดลธุรกิจ เพื่อนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละราย รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2564 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 10 สิงหาคม 2564 

นายวิชาญ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลัง จะได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน 

อย่างไรก็ตาม ทิศทางการดำเนินงานของ SCGP ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ จะรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายรายได้จากการขายรวมทั้งปีไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ด้วยการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ที่วางไว้ และมีโครงการขยายกำลังการผลิต ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารจากกระดาษเพิ่มขึ้นอีก 1,615 ล้านชิ้นต่อปี ที่ประเทศไทยและประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ รวมถึงการขยายกำลัง    การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในฟิลิปปินส์อีก 220,000 ตันต่อปี และการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์แบบอ่อนตัวในประเทศไทยอีก 53 ล้านตารางเมตรต่อปี ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ปีนี้  

“โดยล่าสุด SCGP ได้ปิดดีลการเข้าถือหุ้นร้อยละ 70 ใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation        (Duy Tan) ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปในเวียดนาม ตามการเข้าทำสัญญาซื้อหุ้นตามที่ได้เปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่23 กรกฎาคม 2564 นอกจากนี้ ยังมีดีลที่อยู่ระหว่างดำเนินการซึ่งคาดว่าจะปิดดีลสำเร็จในไตรมาสที่ ของปี 2564 ได้แก่ การเข้าถือหุ้นร้อยละ 75 ใน PT Indonesia Dirtajaya Aneka Industri Box, PT Bahana Buana Box และ PT Rapipack Asritama (Intan Group) เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ ในประเทศอินโดนีเซีย และการเข้าถือหุ้นร้อยละ 85 ใน Deltalab, S.L. ประเทศสเปน เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการและการเติบโตของวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ของ SCGP ในระดับโลก ซึ่ง SCGP จะเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งด้วยการประสานความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาวควบคู่กับารดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG)” นายวิชาญ กล่าวเพิ่มเติม 

SCGP มอบกระดาษ หนุนหน่วยบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 

วิมล จันทร์เทียร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด ใน SCGP ร่วมมอบกระดาษถ่ายเอกสาร แบรนด์ไอเดียและแบรนด์สุพรีม จำนวนรวมกว่า 9,000 รีม ให้หน่วยบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อนำไปใช้เก็บข้อมูลของผู้เข้ารับบริการ และอำนวยความสะดวกในขั้นตอนต่าง ๆ ภายในหน่วยบริการ โดยได้ทำการส่งมอบแล้วให้แก่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โรงพยาบาลสนาม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ หน่วยบริการฉีดวัคซีน สถานีกลางบางซื่อ โรงพยาบาลบางปะกอก อินเตอร์เนชั่นแนล กรุงเทพ

ทั้งนี้ SCGP ยังคงเดินหน้าให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ และส่งกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และคนไทยทุกคน ให้ร่วมกันก้าวผ่านความท้าทายในวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ไปด้วยกัน

SCGP เปิดเกมรุกตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ 

SCGP เดินหน้ากลยุทธ์การให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร ด้วยการขยายธุรกิจครั้งสำคัญเข้าสู่ตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical Supplies and Labwareรับเทรนด์โลกที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและการดูแลสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยลงนามสัญญาเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 85 ใน Deltalab, S.Lประเทศสเปน ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ในยุโรป เพิ่มพอร์ตสินค้ามูลค่าสูง เสริมศักยภาพการให้บริการและ การเติบโตของ SCGP ในระดับโลก

วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ปัจจุบันหนึ่งในเทรนด์ของโลกสำหรับผู้บริโภคคือความสนใจดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้น และแนวโน้มการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลให้ความต้องการในการตรวจและวินิจฉัยโรคสูงขึ้นทั่วโลก เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและการแพทย์ จนกลายเป็นหนึ่งในเซ็กเมนต์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 26,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8.แสนล้านบาท) ในยุโรป และประมาณ 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.ล้านล้านบาท) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 79 ต่อปี*

ตามแผนกลยุทธ์ของ SCGP ที่มุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร ด้วยการขยายไปยังธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และการมุ่งขยายในธุรกิจปลายน้ำ (Downstream) ให้เติบโตยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ สุขภาพและการแพทย์ SCGP จึงรุกเข้าสู่ตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยการนำความรู้และความเชี่ยวชาญมาต่อยอด ด้วยการลงนามสัญญาเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 85 ใน Deltalab, S.L. (หรือ Deltalab) ประเทศสเปน ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยธุรกรรมจะเสร็จสิ้นประมาณไตรมาสที่ ของปี 2564

Deltalab, S.L. ตั้งอยู่ที่ประเทศสเปน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูงในยุโรป โดยมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 15,000 รายการ (SKUs) และมีกำลังการผลิต 250 ล้านชิ้นต่อปี ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ประกอบด้วย  ถ้วยเก็บตัวอย่างของเหลวจากร่างกาย หลอดสุญญากาศสำหรับถ่ายเทตัวอย่าง (Liquid containers and tubes for vacuum system) หลอดเก็บตัวอย่างเลือด (Traceable blood collection tube set for Haematology) หลอดขนาดเล็กสำหรับงานวิเคราะห์พันธุกรรม (Microtubes and flexible plates for real time PCR) หลอดปิเป็ตขนาดต่าง ๆ สำหรับถ่ายเท ตวง ของเหลว (Various types of pipettes for liquid handling) ตู้แช่แข็งเก็บวัคซีนและตัวอย่างทางพันธุกรรม (Cold (Cryogenicstorage system for vaccine and Molecular Biology) ชุดตรวจสวอบ (Swab test set) ภาชนะและบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มที่เน้นความปลอดภัยและสุขอนามัย (Hygine & Safety industrial packaging) เป็นต้น โดยมีการส่งออกสินค้าไปยัง 125 ประเทศทั่วโลก ในปี 2563 Deltalab, S.L. มีรายได้ 72.ล้านยูโร (ประมาณ 2,800 ล้านบาท) และมีทรัพย์สินรวม ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 54.3 ล้านยูโร (ประมาณ 2,100 ล้านบาท) 

การเข้าลงทุนในตลาดด้านวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์นี้ นับเป็นก้าวที่สำคัญของ SCGP ในการนำศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ และองค์ความรู้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ ตลอดจนการผลิตกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้อง มาต่อยอดสู่ธุรกิจด้านสุขภาพและการแพทย์ (Healthcare and Medical Business) ทั้งความรู้ในการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ การใช้เทคโนโลยีการผลิตที่คล้ายกัน การวิจัยและพัฒนาในระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการแพทย์ ฯลฯ ที่สามารถส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันใหม่ ๆ เพื่อรองรับการใช้งานของผู้บริโภคที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

SCGP ดำเนินการตามกลยุทธ์ในการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีการวิจัยและพัฒนาร่วมกัน เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพิ่มฐานลูกค้าและผลิตภัณฑ์ของ SCGP และเพิ่มมูลค่าจากฐานลูกค้าร่วม รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการสู่ระดับโลก อันเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับแผนการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพและการแพทย์ในทวีปเอเชีย ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างมูลค่าเพิ่มของ SCGP ต่อไปในระยะยาว” นายวิชาญ กล่าวเพิ่ม

PTG จับมือ SCGP ตั้งจุดรับขยะไปรีไซเคิล

PTG ร่วมกับ SCGP ตั้งจุดรับกล่อง-ลังกระดาษและพลาสติก ภายในสถานีบริการน้ำมัน PT พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อรีไซเคิลนำกลับใช้ประโยชน์ใหม่ ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยลดวิกฤตขยะล้นเมืองอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันกล่อง ลังกระดาษ รวมทั้งขวดพลาสติกที่มีปริมาณมากขึ้น อันเนื่องมาจากพฤติกรรมการใช้แล้วทิ้งของผู้บริโภค ตลอดจนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ที่ภาครัฐได้ออกมาตรการล็อกดาวน์หลายพื้นที่  ทำให้เกิดการใช้วิถีชีวิตแบบใหม่ให้ห่างไกลจากการสุ่มเสี่ยงต่อการรับเชื้อโควิด-19  ส่งผลให้เกิดปริมาณขยะกระดาษและพลาสติกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเพื่อเป็นการลดปริมาณขยะและสานต่อเจตนารมณ์การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ร่วมกับ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG จึงร่วมกันรณรงค์คัดแยกขยะก่อนทิ้ง ภายใต้ โครงการ SCGP x PTG ตู้รับกระดาษและขวดน้ำพลาสติกรีไซเคิล นำขยะกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากร  เริ่มตั้งแต่การวางแผนและออกแบบ การผลิต การบริโภค การจัดการของเสีย ตลอดจนการนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการรีไซเคิลและการกำจัดขยะอย่างถูกวิธีและเป็นระบบ ด้วยการติดตั้งจุดบริการรับฝากขยะ (SCGP reXycle Drop Point) ภายในสถานีบริการน้ำมัน PT ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวม 5 สาขา เพื่อรับกล่องและลังกระดาษ รวมทั้งขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว โดยจะเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป

นายสุวัชชัย พิทักษ์วงศาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอลิมปัส ออยล์ จำกัด บริษัทในกลุ่มของบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจ LPG ภายใต้แบรนด์ PT , ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม , ร้านสะดวกซื้อ , ศูนย์ซ่อมบำรุง และพลังงานทดแทน  บริษัทฯ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างจุดรับขยะอย่างเป็นระบบ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทิ้งขยะของประชาชน ลดปริมาณขยะล้นเมือง เพิ่มอัตราการรีไซเคิลของกระดาษรวมทั้งขวดน้ำพลาสติก และสร้างสังคม  รีไซเคิลอย่างเป็นรูปธรรมภายในประเทศให้ขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น

สำหรับประชาชนทั่วไป ที่ต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดปริมาณขยะและร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สามารถนำขยะจากบรรจุภัณฑ์ต่างๆเพื่อกลับสู่ระบบรีไซเคิล มาฝากทิ้งที่จุดบริการรับฝากขยะ (SCGP reXycle Drop Point) ภายในสถานีบริการน้ำมัน PT พื้นที่นำร่อง 5 สาขา ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบด้วย  สาขา ถ.กาญจนาภิเษก กม.18 , สาขาหนองแขม (ถนนเพชรเกษม 81) , สาขา ถ.จันทน์1 (ซ.40) , สาขาคลองหลวง 4 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และสาขาประตูน้ำพระอินทร์ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งในอนาคตจะขยายการตั้งจุดบริการรับฝากขยะ ภายในสถานีบริการน้ำมัน PT อื่นๆ เพิ่มเติมต่อไป

“บริษัท โอลิมปัส ออยล์ จำกัด ขอเชิญประชาชนและลูกค้าทุกท่าน ร่วมให้ความสำคัญกับการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธีและปลอดภัยตั้งแต่ต้นทาง ก่อนเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสิ่งที่กำลังจะกลายเป็นขยะ  โดยบริษัทฯ พร้อมเดินหน้าลดปัญหาขยะจากการบริโภคอย่างเป็นระบบและยั่งยืน เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกอันเกิดจากขั้นตอนการกำจัดขยะที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน และนับเป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มผลักดันการจัดการขยะและขับเคลื่อนการรีไซเคิลให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างจริงจัง  เพื่อสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่และความอยู่ดี มีสุขของประชาชน” นายสุวัชชัย กล่าว

ขณะที่ นายกุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า SCGP มีความยินดีและขอขอบคุณ PTG ที่ได้ร่วมมือกันเป็นพันธมิตรส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสะดวก ด้วยการคัดแยกขยะและส่งให้ที่ SCGP reXycle Drop Point ในสถานีบริการน้ำมัน PT ใกล้บ้าน เพื่อนำกลับสู่กระบวนการรีไซเคิลเป็นวัตถุดิบในการผลิตใหม่และยังสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย เช่น เศษกระดาษสามารถรีไซเคิลและออกแบบเป็นเฟอร์นิเจอร์กระดาษที่มีน้ำหนักเบาและแข็งแรง ขวดพลาสติก PET ก็สามารถรีไซเคิลเป็นใยสังเคราะห์สำหรับผลิตเสื้อผ้าได้ เป็นต้น ซึ่งการส่งเสริมพฤติกรรมจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางนี้จะช่วยให้ทรัพยากรได้หมุนเวียนใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปริมาณขยะปนเปื้อนที่ไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ทำให้ต้องกำจัดด้วยการเผาหรือฝังกลบ มีส่วนเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของปัญหาโลกร้อน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยสังคมและผู้บริโภคให้ร่วมดูแลโลกได้อย่างยั่งยืน โดยเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัว