บมจ.พริมา มารีน หรือ (PRM) โชว์ศักยภาพการดำเนินธุรกิจสุ
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบั
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำประสบการณ์และความเชี่
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็
“เราใช้เวลาเพียง 3 เดือนก็สามารถขยายฐานลูกค้าให้
บมจ.พริมา มารีน หรือ (PRM) โชว์ศักยภาพการดำเนินธุรกิจสุ
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบั
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำประสบการณ์และความเชี่
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็
“เราใช้เวลาเพียง 3 เดือนก็สามารถขยายฐานลูกค้าให้
บมจ. พริมา มารีน หรือ PRM โชว์ผลงานครึ่งปีแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 863.3 ล้านบาท เติบโต 9.7% แม้มีปัจจัยลบจากโควิด-19 หลังรับรู้รายได้จากการให้บริการเรือ VLCC แก่กลุ่มไทยออยล์ และมีกำไรพิเศษจากแผนการปรับพอร์ตกองเรือให้สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรม ส่วนแผนครึ่งปีหลัง มองธุรกิจเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศและกลุ่มธุรกิจ Offshore ช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายปีนี้ให้เติบโตตามแผน
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2564 (มกราคม-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,879.81 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 863.33 ล้านบาท เติบโต 9.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สะท้อนศักยภาพการดำเนินธุรกิจ PRM ที่แข็งแกร่งในฐานะที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ รวมทั้งจุดแข็งด้านโครงสร้างธุรกิจและพอร์ตกองเรือที่หลากหลายภายใต้หลักการบริหารงานด้วยความยืดหยุ่น โดยสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมทันต่อสถานการณ์และเอื้อให้เกิดประสิทธิภาพการดำเนินงานสูงสุด จึงทำให้รับมือกับปัจจัยลบและความไม่นอนต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,455.96 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 429.22 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้ว่า COVID-19 ยังคงมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง โดยมีปัจจัยมาจากการให้บริการเรือขนส่ง VLCC ขนาด 300,000 DWT แก่กลุ่มไทยออยล์ ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และการรับรู้รายได้จากธุรกิจต่อเนื่องจากการซื้อไทยออยล์ มารีน (ปัจจุบันคือ ทรูธ มาริไทม์) รวมถึงมีกำไรพิเศษจากการจำหน่ายเรือในช่วงที่ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับสูงขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทฯ นำมาใช้บริหารพอร์ตกองเรือให้เหมาะสมกับภาวะของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
“การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกมีความท้าทายเชิงการบริหารจัดการ ซึ่งเรายังทำผลงานเพื่อผลักดันการเติบโตได้ดี โดยเราปรับพอร์ตกองเรือให้สมดุลกับสถานการณ์ตลาดเพื่อบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น PRM ก็พร้อมปรับกลยุทธ์เป็นเชิงรุกได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันที” นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่า กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศจะเข้ามาช่วยสนับสนุนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง จากแผนมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ลูกค้าไทยออยล์ รวมถึงกลุ่มธุรกิจเรือ Offshore ที่ปรับตัวดีขึ้นตามธุรกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยที่มีกิจกรรมทางทะเลเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้ความต้องการใช้เรือ Crew Boat เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจดังกล่าวและช่วยผลักดันการดำเนินงานให้เติบโตตามแผน
‘บมจ. พริมา มารีน’ หรือ (“PRM”) โชว์แผนบริหารพอร์ตกองเรือสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รับแผนการเปิดประเทศและทิศทางอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตน้ำมันขาขึ้น มองจังหวะกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศ กลุ่มธุรกิจ Offshore Support และกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศ จะเป็นตัวขับเคลื่อนผลงานต่อจากนี้
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ PRM ที่มีโครงสร้างธุรกิจและประเภทกองเรือที่มีความหลากหลาย ตลอดจนการบริหารงานที่มีความยืดหยุ่น บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับทิศทางอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากปัจจัยของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีทิศทางปรับตัวสูงขึ้น หลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19
ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่ากลุ่มธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศ และกลุ่มธุรกิจ Offshore Support หรือกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียมกลางทะเล จะเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจให้ PRM ต่อจากนี้ หลังจากรับเรือขนส่งในประเทศเพิ่ม 5 ลำ และเรือ Crew Boat เพิ่ม 13 ลำ เข้ามาประจำพอร์ตกองเรือของ PRM ภายหลังการเข้าซื้อกิจการกลุ่มทรูธ มาริไทม์ จากไทยออยล์ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจต่อเนื่องคือ เรือ VLCC ขนาดบรรทุกมากกว่า 300,000 DWT จำนวน 3 ลำ ที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศ จากการเป็นพันธมิตรในการให้บริการขนส่งปิโตรเลียมระยะยาวกับไทยออยล์ โดยเรือ VLCC ลำแรก ได้เริ่มให้บริการแล้วตั้งแต่กลางไตรมาส 2/2564 และจะทยอยให้บริการเพิ่มเติมอีก 2 ลำในปีถัดไป
ขณะที่กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศที่มีเรือเข้ามาประจำการเพิ่ม ลำ เมื่อรวมกับกองเรือเดิม 30 ลำ ทำให้รวมในกลุ่มนี้มีจำนวนถึง 35 ลำ จะเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย โดยเตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อความต้องการใช้น้ำมันอากาศยาน โดยบริษัทฯ ได้เตรียมวางแผนการดำเนินงานแก่กลุ่มธุรกิจดังกล่าว เพื่อสนับสนุนการเติบโตและสร้างอัตราการทำกำไรที่ดีให้แก่ PRM
ส่วนกลุ่มธุรกิจเรือ FSU นั้น ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีรายได้มั่นคงจากอัตราการใช้บริการเรือเต็ม 100% แม้ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ขายเรือออกไป 1 ลำ ซึ่งถือเป็นทิศทางการดำเนินงานที่ปกติ เพื่อบริหารจัดการกองเรือให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการของลูกค้า และยังเป็นจังหวะที่เหมาะสมเนื่องจากราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ สามารถบันทึกกำไรพิเศษจากกิจกรรมการดำเนินงานในครั้งนี้อีกด้วย
“ปีนี้เราจะได้เห็นการปรับพอร์ตกองเรือที่มาจากการรับเรือของ TM และจัดหาเรือใหม่ให้สอดรับกับทิศทางอุตสาหกรรม โดยกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศ กลุ่มธุรกิจเรือ Offshore และกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศ จะเข้ามามีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้บริษัทฯ ต่อไป” นายวิริทธิ์พล กล่าว

