PJW โชว์กำไรครึ่งแรกปี 64 โต 124%

บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) เปิดผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 64 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 124% แตะ 89 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมเท่ากับ 1,550 ล้านบาท  รับอานิสงส์ยอดขายกลุ่มบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นและชิ้นส่วนยานยนต์ฟื้นตัวได้ดี ฟาก”วิวรรธน์ เหมมณฑารพ “บิ๊กบอส ระบุ ปรับกลยุทธ์พร้อมรับมือสถานการณ์โควิด-19 มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุน รักษาความสามารถทำกำไร เดินหน้ารุกขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์พลาสติกการแพทย์ คาดสร้างรายได้เพิ่ม 300 ล้านบาทต่อปี หนุนอนาคตโตก้าวกระโดด

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนของปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 89 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 124% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่กำไรสุทธิเท่ากับ 39.73 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมเท่ากับ 1,550 ล้านบาท

สำหรับปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้บริษัทฯสามารถรักษาการทำกำไรไว้ได้ เนื่องจากยอดขายที่เริ่มฟื้นตัวของกลุ่มบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นทั้งส่วนของประเทศไทยและประเทศจีนและส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เริ่มมีคำสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์เข้ามาเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งภาพรวมของยอดขาย 6 เดือนของปี 2564 นั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 10.3% เมื่อเทียบกับยอดขายของ 6 เดือนของปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบของโควิด-19

ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนรถยนต์ในระยะเวลา 6 เดือนแรกค่อนข้างดี ทั้งยอดขายและการควบคุมต้นทุน จากการที่บริษัทฯได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากสถานการณ์โควิดโดยเลวร้ายที่สุดในช่วงไตรมาส 2/2563 ซึ่งบริษัทมีนโยบายลดต้นทุน และบริหารประสิทธิภาพกำลังการผลิตจนสามารถมีผลประกอบการเป็นบวก ขณะที่ในปีนี้ยอดขายเริ่มฟื้นตัว และบริษัทยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนต่อเนื่อง  เนื่องจากได้รับความร่วมมือจากลูกค้า คู่ค้า และโดยเฉพาะจากพนักงานที่มีการติดตามสถานการณ์ และสื่อสารข้อมูลเพื่อให้เกิดต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงบริษัทยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงคุณภาพของสินทรัพย์ โดยเฉพาะลูกหนี้การค้า และสินค้าคงคลัง จึงทำให้ผลประกอบการในปีนี้ออกมาค่อนข้างน่าพอใจ

นายวิวรรธน์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่โดยรวมในส่วนของยอดขายยังคงอยู่ในระดับที่ดี เมื่อเทียบกับการ Lock Down ที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว โดยเฉพาะตลาดส่งออกเริ่มกลับมาดีขึ้นในส่วนของกลุ่มตลาดน้ำมันและน้ำมันหล่อลื่นและอุตสาหกรรมรถยนต์

อย่างไรก็ตาม แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ แต่บริษัทฯมีความมั่นใจว่า สถานการณ์ยอดขายบรรจุภัณฑ์พลาสติกรวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์จะกลับมาเป็นปกติในไตรมาส 4/2564 จึงคาดการณ์ว่าผลประกอบการโดยรวมของบริษัทในปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของทั้งโลกรวมถึงประเทศไทยอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้มากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจเข้าสู่ผลิตภัณฑ์พลาสติกทางการแพทย์ (Medical Plastic Product) โดยได้มีการเซ็น MOU กับบริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมมือและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนโดยทั่วไป รวมถึงด้านการตลาด จัดจำหน่ายและการขาย โดยเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของทั้ง 2 บริษัท จะทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้ โดยบริษัทจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้ส่วนหนึ่งสำหรับ medical plastic product ตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้เป็นต้นไป และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 300 ล้านบาทในปีหน้า และมีอัตราการเติบโตของรายได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

PJW ผนึกกำลัง IP เขย่าตลาดกลุ่มอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์จากพลาสติก

บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) ส่งบริษัทลูก “พีเจ เมดิคอล” (PJM )ผนึกพันธมิตรทางธุรกิจ ลงนามความร่วมมือ บมจ.อินเตอร์ ฟาร์มา (IP) ลุยธุรกิจ Medical ผลิตภัณฑ์กลุ่มวัสดุทางการแพทย์จากพลาสติกใช้แล้วทิ้ง ระบุ ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการต่อยอดธุรกิจของ 2 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ภายใต้การเป็น Strategic Partner ที่ร่วมวิจัยและพัฒนา รวมถึงวางกลยุทธ์การตลาด มั่นใจจะช่วยผลักดันให้มูลค่าการตลาดทั้ง 2 บริษัทเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ 

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทขวดและฝาและชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์ เปิดเผยว่า จากแนวนโยบายการส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศในภูมิภาค (Medical Hub)ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ในปี 2565 นั้น แสดงให้เห็นว่าดีมานด์การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Medical สำหรับตลาดวัสดุเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ที่ทำจากพลาสติก ที่มีอัตราการเติบโตสูง อาทิ เข็มฉีดยา (syringe) หลอดเก็บเลือด (Blood tube) รวมถึงเครื่องมือแพทย์อื่นๆ ซึ่งเพียงแค่สินค้า 2 ชนิดดังกล่าวก็มีมูลค่าตลาดรวมเฉพาะในประเทศไทยกว่า 5,000 ล้านบาท และยังมีอัตราการเติบโตรวมถึงความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯเล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์กลุ่ม Medical เครื่องมือทางการแพทย์จากพลาสติกใช้แล้วทิ้ง

ล่าสุดบริษัท พีเจ เมดิคอล จำกัด (PJM ) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ PJW ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 100% ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)ในการวิจัยและพัฒนา และการทำการขายและการตลาด อุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทำจากพลาสติก ร่วมกับ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) หรือ IP เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงร่วมกันศึกษาตลาดและการขายวัสดุและอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ที่ทำจากพลาสติก และศึกษาโอกาสในด้านความร่วมมือทางธุรกิจต่อเนื่องในอนาคต

ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ เชื่อว่าเป็นการต่อยอดธุรกิจภายใต้การเป็น Strategic Partner ร่วมกัน โดยนำจุดแข็งความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัทช่วยผลักดันให้มูลค่าการตลาดทั้งในส่วนของ ผู้ผลิต และผู้จำหน่าย เติบโตไปพร้อมๆกัน โดย IP มีความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการแพทย์และเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับผู้ประกอบการหลายราย ส่งผลให้มีความเชี่ยวชาญด้านความต้องการและการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์และบุคคลโดยทั่วไป ซึ่งมองว่าการที่ IP เข้ามาร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ จะสามารถตอบโจทย์ตลาดได้อย่างแท้จริง

“PJM ให้ IP เป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทำจากพลาสติก โดย IP มีความเชี่ยวชาญด้านการขายและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในหลากหลายช่องทาง ที่จะเข้ามาช่วยการเจาะตลาดได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น”

ขณะที่ PJW มีความเชี่ยวชาญและมีเทคโนโลยีในการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกทางการแพทย์ (Medical Plastic Product) ที่ได้มาตรฐานตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด ด้วยกระบวนการผลิตคุณภาพสูง ดังนั้นการนำจุดแข็งและข้อได้เปรียบของทั้ง PJW และ IP มาต่อยอดศักยภาพทางธุรกิจร่วมกัน จะช่วยผลักดันให้ยอดขายธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มแตะระดับ 1,000 ล้านบาท ในปี 2567 ตามเป้าที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน

PJW สบช่องเทิร์นอะราวด์ ปรับเป้าปี64โต 8-10%

บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) ประกาศลั่นปีนี้ธุรกิจกลับมาเทิร์นอะราวด์ พร้อมปรับเป้ารายได้โต 8-10% หลังยอดออเดอร์กลับสู่ภาวะปกติ มั่นใจครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง พร้อมส่งซิกเตรียมโกยรายได้จากไลน์ธุรกิจใหม่ Medical เข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ด้านโบรกฯประสานเสียง เชียร์ซื้อ ให้ราคาเหมาะสม 6.25 – 6.60 บาท

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทขวดและฝาและชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์ เปิดเผยถึงแนวโน้มทิศทางในช่วงครึ่งปีหลังว่า บริษัทฯยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยมุ่งสู่การต่อยอดการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสู่เป้าหมาย New S-curve  อย่างต่อเนื่อง

พร้อมทั้งเชื่อว่าในปีนี้ PJW จะกลับเข้าสู่การเทิร์นอะราวด์ (Turnaround) โดยบริษัทฯมีการปรับเป้าหมายอัตราการเติบโตในปีนี้เป็น 8 -10 % ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ช่วงต้นปีที่ระดับ 5 -10% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2,819.83 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 20 % จากปี 2563 มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.92 % ทั้งนี้เป็นผลจากการวางกลยุทธ์การบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ภายใต้แนวคิดการบำรุงรักษาทวีผลที่ทุกคนมีส่วนร่วม (Total Productive Maintenance หรือ TPM)เพื่อลดความสูญเสียเปล่าที่เกิดขึ้น จากการที่ต้องหยุดผลิต และความเสียเปล่าที่เกิดจากการผลิตของเสีย (Defect)

ประกอบกับยอดคำสั่งซื้อ(ออเดอร์)เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยจะเห็นได้จากออเดอร์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เริ่มทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบัน โดยเฉพาะธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ที่มีออเดอร์การเติบโตอย่างโดดเด่นที่สุด ขณะที่ออเดอร์ชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์โมเดลใหม่ ก็ได้รับอานิสงส์เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เป็นผลจากการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก โดยประเทศไทยมีการส่งออกรถยนต์และชิ้นรถยนต์อยู่ 50-60 % ส่วนอีก 40-50 % เป็นการจำหน่ายในประเทศ ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทขวดและฝานั้น มีการเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งกลุ่มนมเปรี้ยว น้ำมันเครื่อง และ Consumer

ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติก จากประเทศจีน มีคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และมีทิศทางที่เพิ่มขึ้นอีก หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  ในประเทศจีนที่คลี่คลาย และมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ นอกจากธุรกิจเดิมแล้ว บริษัทฯยังแตกไลน์ในส่วนของผลิตภัณฑ์กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ (Disposable Medical Devices) อาทิ ไซริงค์พลาสติก , วาล์ว สายน้ำเกลือ ,เข็มฉีดยา โดยบริษัทฯเตรียมรับรู้รายได้เพิ่มจากกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเข้ามาภายในไตรมาส 4/2564 กว่า40 – 50 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างขั้นตอนของการจัดตั้งบริษัทย่อย และขอใบอนุญาตผลิตหรือนำเข้าเครื่องมือแพทย์ โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนเร็วๆนี้

“แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็คาดว่าในครึ่งปีหลังทุกอย่างจะกลับมาพลิกฟื้น หลังจากมีการกระจายการฉีดวัคซีนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ประกอบกับมองว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเริ่มทยอยออกมากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง อาทิ นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยง รวมถึงการกระตุ้นการใช้จ่าย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเป็นแรงผลักดันให้ภาพรวมธุรกิจในปีนี้กลับมาเทิร์นอะราวด์ โดยจะเริ่มเห็นชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะเดียวกันการเริ่มของธุรกิจผลิตภัณฑ์กลุ่ม Medical ที่จะมาสร้าง New S-curve ให้กับPJW ในอนาคต” นายวิวรรธน์ กล่าวทิ้งท้าย

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส  แนะนำ ซื้อ PJW โดยให้ราคาเป้าหมาย 6.60 บาท  โดยให้น้ำหนักต่อกรณีโรงงานในจีนที่จะขาดทุนลดลง และเริ่มสร้างกำไรได้ในปี2565 หลังลูกค้าในจีนฟื้นจากโควิด-19 และเตรียมเจรจากับลูกค้าขยายอายุสัญญาต่อไปอีก 3 ปี ส่วนการขายบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับนม และสินค้าอุปโภคบริโภค ได้อานิสงส์จากการเปิดเมืองและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดกำไร ปี 2564 – 2565 โต40% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 26% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ราคาหุ้นปัจจุบันมี PE 20 เท่าแต่ PEG ต่ำเพียง 0.5

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 6.25 บาท อ้างอิง PER ที่ 23.8 เท่า โดยในปี 2564 บริษัทคาดกำไรขั้นต้นเติบโตราว 1% และรายได้เติบโตราว 5-10% พร้อมมุมมองเป็นบวกต่อเนื่องไปยังปี 2565 โดยจับตาความชัดเจนของไลน์ธุรกิจใหม่ของบริษัทคาดว่าจะได้เห็นในช่วงครึ่งหลังของปี 2564ซึ่งจะเข้ามาหนุนผลประกอบการให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

PJW ลุยตลาดสินค้ากลุ่ม Medical ปั้นรายได้ 3 ปี แตะพันล้าน

บมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) เดินเกมรุกปรับโมเดล ต่อยอดธุรกิจ New S-curve สู่การเติบโตครั้งใหม่ สบช่องแตกไลน์ธุรกิจ Medical ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์จากพลาสติกใช้แล้วทิ้ง ส่งซิกเตรียมเปิดตลาด Q4/64 ก่อนลงสนามเต็มสูบ  ในปี 65 มั่นใจภายใน 3 ปี ปั้นรายได้เข้ากระเป๋าเพิ่ม 1,000 ล้านบาท พร้อมระบุ 24 มิ.ย.นี้ ขอเสียงโหวตผู้ถือหุ้นออกวอร์แรนต์ 3:1 จำนวนไม่เกิน 191.35 ล้านหน่วย หวังเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน รองรับการขยายกิจการการลงทุนใหม่ในอนาคต  

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทขวดและฝาและชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์ เปิดเผยว่า บริษัทฯเดินหน้าปรับกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจ โดยมุ่งสู่การต่อยอดในการสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้บริษัทฯมีอัตราการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต  ล่าสุดได้แตกไลน์ธุรกิจขยายการลงทุนทางด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์กลุ่ม Medical เครื่องมือทางการแพทย์จากพลาสติกใช้แล้วทิ้ง อาทิ ไซริงค์พลาสติก, วาล์ว สายน้ำเกลือ, เข็มฉีดยา รวมถึงเครื่องมือแพทย์อื่นๆ เพื่อสร้างการเติบโตรอบใหม่ (New S-curve) ให้กับบริษัทฯในอนาคต โดยบริษัทฯได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนมาต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่าตลาดในอุตสาหกรรมดังกล่าว มีมาร์จิ้นและแนวโน้มการเติบโตสูง โดยจะเห็นได้จากอัตราการเติบโตเฉลี่ย 10-15 % ต่อปี จากมูลค่าตลาดในประเทศไทยที่เป็นหลักหลายหมื่นล้านบาท

ส่วนงบการลงทุนในการซื้อเครื่องจักรใหม่ รวมถึงการปรับปรุงพื้นที่โซนการผลิต Medical นั้น บริษัทฯ จะนำเสนอกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาให้ความเห็นและอนุมัติในการประชุมคณะกรรมการต่อไป ทั้งนี้หากแผนการพิจารณามีความชัดเจน บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินการผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1/2565 ส่งผลให้ในขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเร่งวางแผนทำการตลาดในการเตรียมนำเข้าผลิตภัณฑ์กลุ่มดังกล่าวมาจำหน่ายให้ทันภายในไตรมาส4/2564 เพื่อทำการตลาด ในเบื้องต้น ก่อนที่จะผลิตและจำหน่ายในเชิงรุกช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า โดยบริษัทฯ จะเน้นเจาะกลุ่มโรงพยาบาล และ ร้านเวชภัณฑ์ ในประเทศเป็นหลัก ทำให้ช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯจะเริ่มมีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเข้ามา และจะมีรายได้จากการผลิตและจำหน่ายเข้ามาชัดเจน ตั้งแต่ไตรมาส 1/2565 เป็นต้นไป

จากประเด็นในข้างต้น ส่งผลให้บริษัทฯตั้งเป้าในปี 2565 จะรับรู้รายจากธุรกิจดังกล่าวเข้ามากว่า 300 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท ในปี 2567 เนื่องจากบริษัทฯจะรุกตลาดในต่างประเทศเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากตลาดในประเทศ โดยการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวจะสอดรับกับนโยบายที่ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของประเทศในภูมิภาค (Medical Hub) ในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ ทุ่นลอยน้ำ เพื่อรองรับการลงทุนโครงการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนน้ำ (Floating Solar) โดยจะเริ่มผลิตและจำหน่ายในปี 2565 เนื่องจากมองว่าผลิตภัณฑ์นี้ มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากเกิดวิกฤติการณ์โลกร้อนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ทุกประเทศทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญนโยบายส่งเสริมและพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดมากขึ้น บริษัทฯ จึงเล็งเห็นถึงความต้องการของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

บริษัทฯ เดินหน้าสู่เป้าหมาย New S-curve มุ่งแตกไลน์ธุรกิจใหม่ เพื่อต่อยอดมูลค่าเพิ่มในธุรกิจเดิม โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 กลุ่ม คือ เครื่องมือทางการแพทย์จากพลาสติกใช้แล้วทิ้ง และผลิตภัณฑ์ทุ่นลอยน้ำ เนื่องจากทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ ยังมีดีมานด์การเติบโตอย่างต่อเนื่องและได้รับอานิสงส์จากนโยบายการ   กรณีที่ประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็น Medical Hub รวมถึงนโยบายการส่งเสริมโครงการพลังงานสะอาด ดังนั้นโดยส่วนตัวมองว่า การต่อจิ๊กซอว์โมเดลทางธุรกิจในครั้งนี้จะหนุนให้บริษัทฯมีแนวโน้มการเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับภาพรวมธุรกิจในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5 -10% จากทิศทางการฟื้นตัวของทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ คือ กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นพลาสติก ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก และธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกในครึ่งปีหลังปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ มีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ทำให้สามารถลดภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายในปีนี้ได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 24 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ จัดประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อขอพิจารณาอนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่1 (PJW-W1) จำนวนไม่เกิน 191.35 ล้านหน่วย  เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยไม่คิดมูลค่า 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ อายุ 3  ปี มีราคาใช้สิทธิแปลงสภาพที่ 3 บาทต่อหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ PJW-W1 โดยเม็ดเงินที่ได้จากการแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญครั้งนี้ เป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน  เพื่อรองรับการขยายกิจการการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทฯในอนาคต ในการนำไปเป็นเงินทุนในการขยายและต่อยอดการลงทุนของบริษัทฯสำหรับการขยายและต่อยอดในธุรกิจ New S-curve