NRF เผยไตรมาส 3 โชว์ฟอร์มดี ทำรายได้เพิ่มขึ้น 30%

NRF เผยผลดำเนินงานไตรมาส 3/2566 โชว์ฟอร์มดี ทำรายได้ 782.9 เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยการเพิ่มขึ้นของรายได้ มาจากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอาหารชาติพันธุ์ (Ethnic food)  ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจOmni-Channel Asian Grocery Storeในสหราชอาณาจักร ในขณะเดียวกัน NRF แย้มข่าวดีพร้อมจับมือกับว่าที่ Hectocorn รายที่ 3 ของโลก ที่มีมูลค่าบริษัทกว่า 3.3 ล้านล้านบาท เพื่อต่อยอดธุรกิจแบมบู มาร์ท เตรียมรุกหนักขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เสริมกลยุทธ์ Direct to consumer อย่างแข็งแกร่ง มุ่งมั่นการกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภคอย่างครอบคลุมบนแพลตฟอร์มระดับโลก

นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ผลิตจัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร เผยถึงผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2566 ว่าจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายโตขึ้น 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรายได้จากการขาย 782.9 ล้านบาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่นธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจร้านค้าปลีกและค้าส่งสินค้าเอเชีย กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นหลัก อีกทั้งการเติบโตในไตรมาสนี้เป็นผลมาจากกำไรการดำเนินงานในไตรมาส3 ที่ลดลง 14.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งเป็นที่พอใจกับผลลัพธ์เนื่องจากสภาวะเงินเฟ้อที่สูงทั่วโลก แม้มีการสวนทางกับสภาสะเงินเฟ้อ ในขณะเดียวกันเรามีการจัดตั้ง Bamboo Mart Limited โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพื่อเป็นการขยายและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจค้าปลีก ทั้งเรายังเล็งเห็นว่า ความต้องการที่มากขึ้นของผู้บริโภคเป็นโอกาสสำคัญที่จะเราจะพัฒนาและมุ่งที่จะมอบสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและเข้าถึงยิ่งขึ้น อีกทั้งมุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการกระจายสินค้า โดยนี่จึงเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่เราจับมือกับพันธมิตร ที่ได้ถูกขนานนามว่า ว่าที่Hectocorn รายที่ 3 โดยแผนดำเนินงานในขณะนี้สอดรับกับกลยุทธ์ Direct to consumer เพื่อการเติบโตในระยะยาว ส่งผลให้รายได้จากการขายในช่วง 9 เดือนแรก ทำรายได้รวม 1,891.8ล้านบาท

การร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นสตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญด้านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่ได้รับการขนานนาม ว่าที่ Hectocorn รายที่ 3 นั้น นับว่าเป็นแพลตฟอร์มชื่อดังระดับโลก ที่มีมูลค่าบริษัทกว่า 3.3 ล้านล้านบาท หวังดันยอดขายให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเสริมว่า “การจับมือกับสตาร์ทอัพชื่อดัง จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสให้แก่บริษัท ทั้งนี้การร่วมมือกันครั้งนี้มีแผนจะพัฒนาร้านซูเปอร์ในรูปแบบVirtual Shop ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการดันยอดขายให้แก่ผลิตภัณฑ์ของบริษัท” สำหรับในไตรมาส4/2566 เราจะสามารถโชว์เพอร์ฟอแมนซ์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการรับรู้ผลการดำเนินงานซูเปอร์ที่อังกฤษ โดยมีแผนการเพิ่มสาขาของแบมบู มาร์ท และมีแผนเข้าซื้อซูเปอร์มากขึ้น ซึ่ง ณ ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา และจากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจดั้งเดิม สำหรับแผนกลยุทธ์การรุกหนักด้านการขยายธุรกิจ Omni Channel เรามีแผนที่จะขยายสาขาแบมบู มาร์ทและเข้าซื้อซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่ง ณ ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนเจรจา นอกจากนี้เรายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาร้านค้าออฟไลน์ SeeWoo ที่ตั้งอยู่ใน ไชน่าทาวน์ ณ กรุงลอนดอน เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับสินค้าเอเชียในตลาดระดับสากล ทั้งยังส่งเสริมสินค้าเกษตรท้องถิ่นได้อีกด้วย

เตรียมพร้อมไทยก้าวสู่ Net Zero Emission ในปี 2593

เอ็น อาร์ เอฟ จับมือ อีสท์วอเตอร์ ศึกษาการกักเก็บคาร์บอนจากสาหร่ายทะเลเป็นที่แรกในประเทศไทย เพื่อประเทศไทยก้าวสู่ Net Zero Emission ในปี พ.ศ. 2593 ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านการนำสาหร่ายกลับมาทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ให้เกษตรกรต้นน้ำ คาดมูลค่าตลาดโลกเติบโตมากกว่า 1.97 แสนล้านบาท ในปี พ.ศ. 2573 

เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่น่าจับตามอง เมื่อบริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็น อาร์ เอฟ ผู้นำด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้รับมาตรฐานสากล ร่วมกับ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์วอเตอร์ ผู้นำด้านการบริหารจัดการน้ำครบวงจร ได้ร่วมมือกันพัฒนารูปแบบการปลูกสาหร่าย เพื่อกักเก็บคาร์บอนเป็นที่แรกในประเทศไทย ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนตลอดห่วงโซ่อุปทาน มุ่งอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างยั่งยืนทั้งเชิงอนุรักษ์ และเชิงพาณิชย์ ยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนในละแวกใกล้เคียง 

เอ็น อาร์ เอฟ และ อีสท์วอเตอร์ เล็งเห็นความสำคัญในการอนุรักษ์ และพัฒนาสิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างยั่งยืน โดยทั้ง 2 ฝ่าย ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดทำฟาร์มสาหร่าย ซึ่งเป็นพืชที่มีศักยภาพในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอนที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน (Global warming) เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวและช่วยรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตในทะเลเป็นอย่างดี รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน ชาวประมง และผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยการนำสาหร่ายที่ได้ผลิตเป็น สินค้าอุปโภคบริโภค และแปรเป็นปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศ ตลอดจน เศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่อีกด้วย  

นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็น อาร์ เอฟ หรือ NRF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นดำเนินตามนโยบายที่เคยได้กล่าวไว้คือ การเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนไทยที่ขับเคลื่อนองค์กรเพื่อก้าวไปสู่ความยั่งยืน วางรูปแบบธุรกิจที่มุ่งสู่การลดคาร์บอนซึ่งถือเป็นพันธกิจหลักในการดำเนินงาน เนื่องจากการปล่อยคาร์บอนจากภาคธุรกิจอาหารมีสัดส่วน 1 ใน 3 ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก รวมทั้งการที่ให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคโปรตีนจากพืช (Plant-based Food) มากขึ้น เพื่อก้าวเป็นบริษัทอาหารระดับโลกสำหรับศตวรรษที่ 22 จากสิ่งที่ได้ดำเนินนโยบายมา ถือเป็นสิ่งสะท้อนศักยภาพของภาคธุรกิจไทยที่พร้อมสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืนระดับโลก และการเป็นตัวอย่างขององค์กรธุรกิจที่นำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน  

“การที่ได้เข้าร่วมกับอีสท์วอเตอร์ ถือเป็นการเดินหน้าการพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลรูปแบบใหม่ โดยจะร่วมมือศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการปลูกสาหร่ายทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคลป์ (Kelp) สาหร่ายสีน้ำตาลขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสามารถในการดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศผ่านระบบนิเวศทางทะเล หรือ Blue Carbon เป็นที่แรกในประเทศไทย ระบบนิเวศทางทะเลถือเป็นแหล่งกักเก็บและดูดซับคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลผลิตสาหร่ายที่ได้สามารถต่อยอดนำไปผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ให้เกษตรกรซึ่งถือเป็นต้นน้ำผู้ผลิตวัตถุดิบให้กับโรงงานของNRF ผลักดันให้เข้าสู่ระบบ Regenerative Farming ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่อุปทานของเรา เราจึงส่งเสริมเกษตรกรเพาะปลูกแบบอินทรีย์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในอาหารให้กับผลิตภัณฑ์ของNRF เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้บริโภค ถือเป็นการลงทุนสีเขียวอีกช่องทางหนึ่งของบริษัท ผมเชื่อว่าการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) ในภาคเกษตรกรรมและอาหารจะเป็น S-curve ใหม่ของเศรษฐกิจไทย อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์และดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตร และสร้างความยั่งยืนกับระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นตัวเร่งให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ Net Zero Emission หรือประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเท่ากับศูนย์ในปี พ.ศ. 2593 ซึ่งเร็วขึ้นกว่าที่รัฐบาลกำหนดไว้ในปี พ.ศ.2608” นายแดน กล่าว 

นายชรินทร์ โซนี่ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์วอเตอร์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “วันนี้ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง เอ็น อาร์ เอฟ กับ อีสท์วอเตอร์ เพื่อเดินหน้าการพัฒนาโครงการนำร่องของการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต ด้วยศักยภาพและความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอาหารสำเร็จรูป ผนวกกับความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการน้ำของ อีสท์วอเตอร์ จะช่วยผลักดันโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ให้แก่ ทั้ง 2 บริษัท พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ชุมชนในพื้นที่ และประเทศชาติในระยะเวลาอันใกล้”  

ทั้งนี้ ด้วยการดำเนินงานที่ผ่านมาของอีสท์วอเตอร์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการน้ำครบวงจร ทั้งการให้บริการน้ำดิบ โดยมีโครงข่ายท่อน้ำดิบที่ยาวกว่า 500 กิโลเมตร ครอบคลุม 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา การผลิตน้ำอุตสาหกรรม ด้วยระบบผลิตน้ำอุตสาหกรรมแบบศูนย์รวม (Centralized Plant) ที่ใช้เทคโนโลยี Sludge Return ที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ซึ่งสามารถผลิตน้ำอุตสาหกรรมได้สูงสุด 200,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน สำหรับผลิตและส่งจ่ายให้แก่นิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในจังหวัดระยอง นอกจากนี้ อีสวอเตอร์ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เกิดความยั่งยืนมาโดยตลอด จึงมุ่งเน้นการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติ 

ความร่วมมือกันระหว่าง 2 ฝ่ายในครั้งนี้ ถือเป็นการผนึกกำลังของ 2 ผู้นำ จากทางด้านการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน และ การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศแล้ว คาดว่าตลาดปุ๋ยอินทรย์ทั่วโลกจะเติบโตมากกว่า 13.56% มีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.97 แสนล้านบาท ในปี พ.ศ. 2573 สามารถสร้างอาชีพและรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ประกอบอาชีพประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งทะเลและชุมชนโดยรอบมากมาย โดยการดำเนินงานในครั้งนี้มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจสีเขียว ควบคู่กับการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม สอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทั้ง 2 บริษัท 

NRF ออกหุ้นกู้อายุ 2 ปี จองซื้อ ก.ค. นี้

บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF เสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2564 วงเงินรวมไม่เกิน 700 ล้านบาท เสนอขายไม่เกิน 7 แสนหน่วย อายุหุ้นกุ้ ปี ชูอัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.50% ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 เสนอขายช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2564 สะท้อนเป้าหมายการเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารแห่งอนาคต “Food For Future” ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมอาหารเพื่อสร้างความยั่งยืนให้ระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบ  

นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการ สายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งจาก บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF ซึ่งดำเนินธุรกิจผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ ให้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ของ NRF ครั้งที่ 1/2564 โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2566 หรือมีอายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 6.50% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก เดือนตลอดอายุหุ้นกู้  

ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการยื่น Filing กับสำนักงาน ก.ล.ต. โดยหุ้นกู้ดังกล่าวมีกำหนดเสนอขายในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 600,000 หน่วย และจำนวนที่สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 100,000 หน่วย รวมหุ้นกู้ที่เสนอขายทั้งสิ้นไม่เกิน 700,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเสนอขายไม่เกิน 600 ล้านบาท และสำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าหุ้นกู้ทั้งสิ้นไม่เกิน 700 ล้านบาท ที่ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์นำเงินไปใช้เพื่อการลงทุนโครงการในอนาคต ได้แก่ การลงทุนใน BOOSTED NRF Corp., Inc (“BOOSTED NRF”) เพื่อขยายธุรกิจออนไลน์ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยผู้ที่สนใจสามารถจองซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นกู้ตามที่ระบุในหนังสือชี้ชวน 

ผลการดำเนินงานของ NRF ที่เติบโตก้าวกระโดดสวนกระแสเศรษฐกิจ โดยในไตรมาส 1/2564 NRF มีรายได้จากการดำเนินงาน 472 ล้านบาท เติบโต  77.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการดำเนินงาน 265 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติของ NRF ทำได้ 69 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 49.6% และมี EBITDA อยู่ที่ 83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของรายได้อย่างมีนัยสำคัญจากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ธุรกิจอาหารไทยและอาหารท้องถิ่น รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์เส้นบุกจากกลุ่มลูกค้ารับจ้างผลิตรายเดิมในทวีปอเมริกาเหนือ รวมไปถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการรับรู้รายได้จากบริษัท BOOSTED NRF Corp. 

พร้อมกันนี้ NRF ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ โดยมีเป้าหมายระยะยาวก้าวเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารแห่งอนาคต “Food For Future” ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมอาหารเพื่อสร้างความยั่งยืนให้ระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบ ด้วยนโยบายการเป็น The Purpose – Led Company เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด หรือมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3,000 ล้านบาท ภายในปี 2566 จากปี 2563 มีรายได้จากการขาย 1,408 ล้านบาท โดยจะเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Organic growth และ Inorganic growth  

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา บริษัท เอ็นอาร์เอฟ คอนซูเมอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ร่วมลงทุนกับ Boosted Ecommerce, Inc ซึ่งอยู่ในสหรัฐฯ ได้จัดตั้ง บริษัท BOOSTED NRF Corp. เพื่อลงทุนในธุรกิจ Branded e-commerce บน Amazon.com ซึ่งการลงทุนดังกล่าวเป็นการต่อยอดกลยุทธ์ e-commerce โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ต้องมียอดขายที่ดีในระบบ E-Commerce ของ Amazon.com  

ซึ่งการลงทุนในธุรกิจ E-Commerce ในช่วงที่ผ่านมา ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นตัวเร่งทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะการนำระบบ E-Commerce มาใช้ในการขายสินค้า ทำให้มูลค่าของบริษัท BOOSTED E-commerce Inc., USA เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า จากมูลค่าเดิมที่ NRF ได้ลงทุน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นการต่อยอดธุรกิจเดิมไปสู่ Branded e-commerce บน Amazon.com ที่มีผลิตภัณฑ์อยู่ในกลุ่ม Ethnic Food, Plant-Based Food, Functional Product เข้าไปวางจำหน่ายเพิ่มเติม  

หากมีท่านใดต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  โทร 02-088-9869, 02-088-9870, 02-088-9871, 02-088-9872