NER รุกธุรกิจสินค้าปลายน้ำ ตั้งเป้าปี 67 ยอดขาย 20%

บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER รุกธุรกิจปลายน้ำ ผลิตและจำหน่ายยางปูพื้นคอกสำหรับปศุสัตว์ คาดรับรู้รายได้ ปี 65 พร้อมดันสัดส่วนเป็น 20% ของรายได้รวมทั้งหมดจากผลิตภัณฑ์ปลายน้ำและธุรกิจอื่นๆในปี 67 ซึ่งบริษัทจะสามารถขยายตลาดและสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เปิดเผยว่า ในปลายปี 2565 บริษัทฯ เข้าสู่ธุรกิจผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าปลายน้ำ  โดยได้สร้างนวัตกรรม ร่วมมือกับสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ผลิตและจำหน่ายยางปูพื้นคอกสำหรับปศุสัตว์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักในฟาร์มปศุสัตว์ อาทิ ฟาร์มโคเนื้อ โคนม ฟาร์มเลี้ยงกระบือ แพะ และแกะ เป็นต้น รวมถึงคอกอนุบาลปศุสัตว์แรกเกิด และจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลายน้ำอื่นๆอีกต่อไป

สำหรับการติดตั้งเครื่องจักร บริษัทจะนำเข้ามาติดตั้งในช่วงปลายปี 2564 คาดใช้งบลงทุนราว 240 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้ในปี 2565 และในปี 2567 จะมียอดขายจากสินค้าปลายน้ำและธุรกิจอื่นๆที่มิใช่ยางพารา คิดเป็นประมาณ 20% ของรายได้รวมทั้งหมด  ในส่วนของการผลิต ทางบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นโรงงานผลิตวัตถุดิบต้นน้ำที่ได้มาตรฐานสากล ด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยกับผู้ปฏิบัติงานและชุมชนที่อยู่ร่วมกัน  พร้อมเตรียมก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดประเทศไทยด้านแผ่นปูนอนปศุสัตว์ และพร้อมส่งออกสินค้าไปยังฟาร์มโคนมและฟาร์มปศุสัตว์อื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งบริษัทจะสามารถขยายตลาดและสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนผลิตภัณฑ์แผ่นยางปูพื้นคอกสำหรับปศุสัตว์ ได้ออกแบบมาให้พื้นผิวสัมผัสมีความนุ่มและสามารถรองรับน้ำหนักได้อย่างเป็นธรรมชาติ  ช่วยลดการบาดเจ็บ และ ความตึงเครียดของสัตว์ ทำให้สัตว์กินอาหารได้ดีขึ้น ส่งผลดีต่อสุขภาพ เพิ่มความสมบูรณ์ของร่างกายสัตว์ สามารถช่วยลดการเกิดแผลบริเวณเข่า จากการ ลุก นั่ง นอน  อีกทั้งยังลดเชื้อโรคจากกลีบเท้า และช่วยให้ฟาร์มสามารถทำความสะอาดได้ง่าย

“ปัจจุบันทางบริษัท ได้มีการนำแผ่นยางปูพื้นคอกสำหรับปศุสัตว์ ให้กับทางฟาร์มโคนมรายใหญ่ในประเทศไทยได้ทดลองใช้สินค้า ซึ่งต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวว่า มีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก วัวจะใช้เวลานั่งบนแผ่นยางมากกว่า 12 ชั่วโมงตัววัน ซึ่งส่งผลให้มีการไหลเวียนของเลือดบริเวณเต้านมได้เพิ่มขึ้นประมาณวันละ  30% อีกทั้งส่งผลให้เจ้าของฟาร์มเพิ่มผลกำไรได้เป็นอย่างดี” นายชูวิทย์ กล่าว

NER บุกตลาดอินเดีย เพิ่มสัดส่วนยอดขาย

บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER บุกตลาดอินเดียเซ็นสัญญาระยะยาว (Long-term contract)พร้อมบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตยางรถยนต์และยางเครื่องบินแบรนด์ดังระดับโลกให้ความสนใจ ด้านโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ผ่านการพิจารณารอบเทคนิค มั่นใจผ่านพิจารณาด้านราคา 20 กันยายนนี้

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า บริษัทได้เซ็นสัญญาระยะยาว (Long-term contract) กับลูกค้าจากประเทศอินเดียเพิ่ม 1 ราย  โดยเริ่มส่งมอบในเดือนกันยายนนี้ ประกอบกับมีแผนเจรจาลูกค้าอินเดียเพิ่มอีก 2 ราย ภายในสิ้นปีนี้ รวมทั้งอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณภาพจากผู้ผลิตยางล้อรถยนต์และยางล้อเครื่องบิน    แบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Goodyear ซึ่งบริษัทคาดว่ามีโอกาสได้ลูกค้าใหม่อย่างแน่นอน

ด้านสัดส่วนยอดขายต่างประเทศ บริษัทยังคงมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ยางธรรมชาติ  คาดการณ์ว่าในปี 2565 สัดส่วนยอดขายของบริษัทจากประเทศอินเดีย จะเติบโตขึ้นอีก 3-5% เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นว่า ตลาดอินเดียเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีโอกาสขยายตัวสูง และมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ดี หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้บริษัทยังคงรักษาสัดส่วนฐานลูกค้าเดิมเช่น จีน 70%, ญี่ปุ่น 10% และ อื่นๆเช่น สิงค์โปร์ และ บังคลาเทศ เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มราคายางยังคงเสถียรภาพและเติบโต โดยบริษัทประเมินว่าจะมีทิศทางขาขึ้น สาเหตุมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยอดขายรถยนต์ที่เติบโตได้ในระดับสูงจากนโยบายรถยนต์ EV ของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัท ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น

ด้านโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) ทางบริษัท ได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติคุณสมบัติและข้อเสนอขอขายไฟฟ้าด้านเทคนิค จำนวน 1 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการผลิตโรงไฟฟ้าประเภทชีวภาพ จำนวน 3 เมกะวัตต์   ภายใต้ชื่อ บริษัท เอ็น.อี. พาวเวอร์ จำกัด จากประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)  เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา และหลังจากนี้จะมีการพิจารณาคำเสนอขอขายไฟฟ้าด้านราคา โดยมีกำหนดให้มีการเปิดซองพิจารณาด้านราคาในวันที่ 20 กันยายน 64 โดยจะประกาศรายชื่อภายในวันที่ 23 กันยายนนี้ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถผ่านการพิจารณารอบราคา เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมที่จะสามารถผลิตไฟฟ้าให้กับชุมชนได้ทันที  ทั้งนี้ หากบริษัทได้รับการพิจาณารับการคัดเลือก คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 200 ล้านบาท ภายในปี 2565 จากที่ก่อนหน้านี้ที่ใช้งานอยู่ภายในโรงงานเท่านั้น

NER ปันผลระหว่างกาล 0.07 บาท จากงวด 6 เดือนปี 64

บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เผยมติคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวด 6 เดือนปี 2564 ในอัตรา 0.07 บาท/หุ้น XD 23 ส.ค. โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด กำหนดจ่าย 6 ก.ย. 64 ด้านงบ 6 เดือนรายได้จากการขายรวม 11,252.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99.28% ขณะที่กำไรสุทธิ 805.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 182.79% จากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่งแห่งที่ 2 และปริมาณคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ด้านปี 2564  บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยคาดรายได้จะอยู่ที่ 2.45 หมื่นล้านบาทตามเป้าที่วางไว้

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า มติคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 อนุมัติการจ่ายเงินปันระหว่างกาลผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน  2564 โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.07 บาทต่อหุ้น วันที่จ่ายปันผล 6 กันยายน 2564 รวมเป็นเงิน 115.17 ล้านบาท คิดเป็น 15.05% ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองตามกฎหมายตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ สำหรับวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 23 สิงหาคม 2564 วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 24 สิงหาคม 2564

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 11,252.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,605.88 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายรวม 5,646.76 ล้านบาท หรือคิดเป็น 99.28% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 805. 34 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 520.55 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 284.79 หรือคิดเป็น 182.79%

ด้านปริมาณการขายยางพาราสำหรับงวด 6 เดือนอยู่ที่ 205,954 ตัน เพิ่มขึ้น 78,622 ตัน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ หรือคิดเป็น 61.75 % แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 7,568.88 ล้านบาท หรือคิดเป็น 67.26% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 4,457.92 ล้านบาท หรือ 143.30%  รายได้จากการขายต่างประเทศ 3,683.76 ล้านบาท หรือคิดเป็น 32.74% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 1,147.96 ล้านบาท หรือ 45.27%

โดยสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายเป็นผลมาจากปริมาณคำสั่งซื้อลูกค้าในประเทศและการส่งมอบจากกลุ่มลูกค้าโรงงานผลิตยางรถยนต์จีนที่ยังคงสูงอยู่ โดยจะเห็นจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์ยางแท่ง STR ที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่ง  แห่งที่ 2 ส่งผลให้มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 2/2564 สูงกว่าไตรมาส 2/2563 ซึ่งเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับภาพรวมธุรกิจของปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.45 หมื่นล้านบาท และปริมาณขายที่ 4.4 แสนตัน เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น ที่สามารถรองรับยอดขาย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าจากสิงคโปร์และอินเดีย ประกอบกับราคายางปรับขึ้นต่อเนื่อง และได้ลูกค้าใหม่เพิ่มหลายราย

นอกจากนี้ ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น ด้านเครื่องจักรผลิตแผ่นยางปูรองนอนสัตว์ บริษัทคาดว่าจะนำเข้ามาติดตั้งในช่วงปลายปี 2564 ซึ่งบริษัทคาดจะรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้ในปี 2565 ที่ 2.8% ของประมาณการณ์ ซึ่งบริษัทจะสามารถขยายตลาดและสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

NER และ APM มอบเตียงสนามกระดาษ 500 เตียง

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ (แถวบน ที่ 5 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นางภณิดา จึงธนสมบูรณ์ (แถวบน ที่ 4 จากซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานซัพพลายเชน บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ ร่วมกับดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม (แถวบน ที่ 5 จากขวา) ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ มอบเตียงสนามกระดาษ 500 เตียง แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อใช้รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามของจังหวัดบุรีรัมย์

NER ติดอันดับหุ้นยั่งยืน ESG100 ปีที่ 3

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) ในกลุ่มธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2564 จำนวนทั้งสิ้น 824 หลักทรัพย์

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ NER ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2564 ด้วยการคัดเลือกจาก 824 หลักทรัพย์จดทะเบียน (ไม่รวมหลักทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟู) ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) และเป็นบริษัทที่เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่อง 3 ติดต่อกัน (2562 – 2564) นับตั้งแต่ที่เป็นบริษัทจดทะเบียน

ทั้งนี้การที่บริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 บริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของบริษัทที่มุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และหลักบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) หรือ ESG และเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินธุรกิจเพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่เจ็ดในปีนี้

ขณะที่ การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

NER คว้ารางวัล Master  Entrepreneur Award กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ คว้ารางวัล Master Entrepreneur Award กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร จากเวที Asia Pacific Entrepreneurship Award 2021 (APEA) โดยคัดเลือกผู้บริหารที่มีแนวคิด วิสัยทัศน์ ในการบริหารองค์กร ผลประกอบการให้เติบโตและสนับสนุนให้เกิดการสร้างแรงจูงใจในการปฎิบัติหน้าที่ รวมทั้งตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมเพื่อสร้างการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน

ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิต NER เป็น “BBB-” จาก “BB+”

ทริสเรทติ้ง  เพิ่มอันดับเครดิตของ นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER  เป็นระดับ “BBB-” จากเดิมที่ระดับ “BB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยคาดว่ายอดขายของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2564  จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไปที่ระดับ 44% และอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปี 2564 จะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 12%  จากการที่อุตสาหกรรมยานยนต์ค่อย ๆ ฟื้นตัวและภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มดีขึ้น

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2564 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทเป็นระดับ “BBB-” จากเดิมที่ระดับ “BB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้การเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของบริษัทตลอดจนความคาดหวังว่าอุตสาหกรรมยางธรรมชาติจะฟื้นตัวและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอันเนื่องมาจากการที่บริษัทมีการประหยัดต่อขนาดที่เพิ่มขึ้นจากการขยายโรงงาน นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางในธุรกิจยางธรรมชาติของประเทศไทยและผลงานที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านการผลิตและการจำหน่ายยางธรรมชาติอีกด้วย

ด้านประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2564 จากการที่อุตสาหกรรมยานยนต์ค่อย ๆ ฟื้นตัวและภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตามอุปสงค์ในอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มที่จะเติบโตในอัตราเฉลี่ยต่อปีที่ลดลงในระหว่างปี 2565-2566 เนื่องจากสภาวะความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานที่คลายตัวลงทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทในปี 2564 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไปที่ระดับ 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนและจะปรับตัวลดลงที่ระดับ 6% ในปี 2565ก่อนที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลงที่ระดับ 2% ในปี 2566

นอกจากนี้ทริสเรทติ้งยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 12% ในปี 2564และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ10% ต่อปีในช่วงปี 2565-2566และคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ10% ในปี 2564 และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7%-8% ต่อปีในช่วงปี 2565-2566

สำหรับแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจยางธรรมชาติได้ต่อไปโดยที่บริษัทจะรักษาสถานะสภาพคล่องและสร้างความแข็งแกร่งของงบดุลให้เพียงพอที่จะรองรับผลกระทบจากความผันผวนของราคายางธรรมชาติได้

NER พบนักลงทุนในงาน Opportunity Day

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  พร้อมด้วย นายศักดิ์ชัย จงสถาพงษ์พันธ์ (ซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชี-การเงิน และ นางสาวเกศนรี จองโชติศิริกุล (ขวา) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ  ร่วมนำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน Opportunity Day ประจำไตรมาส 1/2564 บริษัทได้มีปรับเพิ่มเป้ารายได้ปี 2564 เป็น 2.45 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยไตรมาส 1/2564 บริษัทฯมีรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 4,963.09  ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 366.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 306.61 ล้านบาท หรือคิดเป็น 511.96%

นอกจากนี้ บริษัทฯ เพิ่มเป้าปริมาณขายขึ้นเป็น 4.4 แสนตัน จาก 4.1 แสนตัน โดยไตรมาส 1/2564 บริษัทมีปริมาณการขายอยู่ที่ 89,741 ตัน เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น ที่สามารถรองรับยอดขายโดยขณะนี้ยอดขายของบริษัทครอบคลุมไปจนถึงไตรมาส 4 และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน จาก 460,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น

NER ปรับเป้ารายได้ปี 64 เป็น 2.45 หมื่นล้าน

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ปรับเป้ารายได้ปี 2564 จาก 2.2 หมื่นล้านบาท เป็น 2.45 หมื่นล้านบาท จากความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น และการขายล่วงหน้า นอกจากนี้ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน จาก 460,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ  เปิดเผยในงาน Opportunity Day ประจำไตรมาส 1/2564 ว่าบริษัทได้มีปรับเพิ่มเป้ารายได้ปี 64 เป็น 2.45 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ 2.2 หมื่นล้านบาท และเพิ่มเป้าปริมาณขายขึ้นเป็น 4.4 แสนตัน จาก 4.1 แสนตัน เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น ที่สามารถรองรับยอดขายโดยขณะนี้ยอดขายของบริษัทครอบคลุมไปจนถึงไตรมาส 4 และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าจากสิงคโปร์และอินเดีย ประกอบกับราคายางปรับขึ้นต่อเนื่อง และได้ลูกค้าใหม่เพิ่มหลายราย

สำหรับทิศทางราคายางนั้นยังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยคาดราคายางแผ่นรมควันเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 75 บาท/ก.ก. จากปัจจุบันอยู่ที่ 66 บาท/ก.ก. เทียบปีก่อนที่ 55 บาท/ก.ก. ซึ่งการที่ราคายางที่ปรับขึ้นมาจากปัจจัยโควิด เนื่องจากซัพพลายน้ำยางข้นถูกนำไปใช้ผลิตถุงมือยางเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ซัพพลายหายไปพอสมควร และคาดว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิดกลับมาดีขึ้น จากความต้องการใช้ยางพาราก็จะมากขึ้นทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ การขนส่ง โลจิสติกส์ นอกจากนี้บริษัทคาดการณ์ว่าจะเห็นภาพรวมความต้องการใช้ยางพาราทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จากการที่ทั่วโลกสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซพิษไอเสียรถยนต์สู่อากาศนั้น ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด และรถยนต์พลังงานเซลส์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วโลกมียอดขายที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน จาก 460,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น สำหรับสัดส่วนรายได้ปี 2564 ทางบริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 60 : 40 ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น จีน 70% , ญี่ปุ่น 20% และอื่นๆอีก 10%  เช่นสิงคโปร์ อินเดีย บังคลาเทศ  เป็นต้น โดยมองว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมของลูกค้าในประเทศที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนย้ายมาตั้งโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น  และลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติอยู่

ทั้งนี้ บริษัทขอแจ้งวันใช้สิทธิ NER W1 ครั้งที่ 2 วันที่ 15 มิถุนายน 2564 สำหรับอัตราและราคาการใช้สิทธินั้นใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทได้ 1 หุ้น ในราคาใช้สิทธิ 1.80 บาทต่อหุ้น ด้านระยะเวลาแจ้งความจำนงการใช้สิทธิ และขอรับใบแจ้งความจำนงการใช้สิทธิ ในวันที่ 8 – 11 มิถุนายน 2564 และวันที่ 14 มิถุนายน 2564 ตั้งแต่เวลา 09 .00 – 15 .30 น.