เปิดจองซื้อวันนี้ MENA ไอพีโอหุ้นละ 1.20 บาท

มีนาทรานสปอร์ต หรือ MENA หุ้นไอพีโอน้องใหม่ธุรกิจขนส่ง ได้ลงนามแต่งตั้ง บล. เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ตามแผนการเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 184 ล้านหุ้น พร้อมด้วยผู้ร่วมจำหน่ายจาก 4 บริษัทชั้นนำ ประกาศเคาะราคาไอพีโอ 1.20 บาท/หุ้น กำหนดเทรดใน SET 7 กรกฎาคมนี้ มั่นใจราคาไอพีโออยู่ในระดับที่น่าสนใจ รวมทั้ง โอกาสของธุรกิจโลจิสติกส์จากการขยายงานรับแผนการลงทุนในประเทศ

นางยอดฤดี สันตติกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ หัวหน้าสายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะแกนนำผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด  (มหาชน) หรือ MENA เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 184 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 25.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.20 บาท คิดเป็น P/E ที่ประมาณ 20.69 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง  หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ก่อนการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้  เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของบริษัทซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือใกล้เคียงกันกับธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของ P/E เท่ากับ 30.8 – 31.5 เท่า

โดย MENA กำหนดจะเปิดให้จองซื้อหุ้นดังกล่าวระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน – 1 กรกฎาคมนี้ และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “MENA” เข้าเทรดในกลุ่มบริการ/ขนส่งและโลจิสติกส์ พร้อมกันนี้ ยังมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จํากัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)

“การกำหนดราคาไอพีโอที่หุ้นละ 1.20 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ เนื่องจาก MENA เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจรถขนส่ง ปัจจุบัน มีกองยานรถมิกเซอร์จำนวน 466 คัน และมีรถเทรลเลอร์ (หัวลาก) 75 คัน นอกจากนี้ ยังมีรถกึ่งพ่วง หรือหางลากประเภทต่างๆ 105 คัน รวมทั้ง มีพนักงานจัดส่งภายใต้การบริหารกว่า 500 คน ทำให้สามารถรองรับงานโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจาก กลุ่มลูกค้าเป็นบริษัทปูนซีเมนต์ชั้นนำ และผู้ผลิตท้องถิ่นรายใหญ่ ที่มีแผนการขยายงานที่ค่อนข้างชัดเจน รวมทั้ง บริษัทฯ ยังมีแผนการขยายลูกค้าใหม่ และต่อยอดธุรกิจขนส่งสินค้าประเภทอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง สร้างความน่าสนใจการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากโลจิสติกส์เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุน อีกทั้ง  MENA จะเป็นผู้ให้บริการขนส่งด้วยรถมิกเซอร์ที่เข้าจดทะเบียนเป็นรายแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ” นางยอดฤดี กล่าว

นางสุวรรณา ขจรวุฒิเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด  (มหาชน) หรือ MENA เปิดเผยว่า นับเป็นอีกก้าวความสำเร็จ และความภาคภูมิใจในการนำบริษัทฯ เข้ามาขยายการเติบโตในตลาดหลักทรัพย์ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าและพันธมิตร โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ รวมมูลค่า 220.80 ล้านบาท จะนำไปใช้สำหรับลงทุนในโครงการในอนาคต 160.80 ล้านบาท ภายในปี 2565 โดยโครงการในอนาคตของบริษัทฯ มีนโยบายกำหนดอัตราผลตอบแทนภายในขั้นต่ำ (IRR) เพื่อประโยชน์แก่บริษัทฯ และผู้ถือหุ้น  นอกจากนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้จ่ายคืนหนี้สิน 20.00 ล้านบาท ภายในปี 2564 และ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ 40.00 ล้านบาท ภายในปี 2564 สนับสนุนให้บริษัทฯ แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ภายหลังการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และการลงทุน โดยโครงการในอนาคต มีแผนจะขยายกองยานรถมิกเซอร์ให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า และโอกาสจากธุรกิจขนส่งซึ่งมีทิศทางการเติบโตรองรับงานโครงการขนาดใหญ่ ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ โครงการ EEC โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน โดยในปีนี้ บริษัทฯ วางแผนขยายรถมิกเซอร์เพิ่มอีก 30 คัน ปัจจุบันขยายไปแล้ว 10 คัน  อย่างไรก็ดี บริษัทฯ กำลังเดินหน้าพูดคุยกับลูกค้ารายใหม่ๆ เพื่อขยายการให้บริการไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ บริการขนส่งสินค้าเฉพาะทาง และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพูดคุย คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในช่วงปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า สนับสนุนโอกาสการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต ขณะที่ผลประกอบการในปี 2564 มั่นใจจะเติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 614.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 34.8 ล้านบาท อีกทั้ง MENA มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40%

“แผนการเข้า SET ครั้งนี้ โดยมี บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นแกนนำการเสนอขายหุ้นไอพีโอของ MENA พร้อมด้วย 4 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ คาดว่า จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากเราเป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโต รับอานิสงส์การลงทุนในประเทศ และการเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จะทำให้ MENA มีความพร้อมและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จากโครงการในมือที่เราเตรียมต่อยอด และอยู่ระหว่างสานต่อให้สำเร็จ คาดจะแจ้งความคืบหน้าให้นักลงทุนได้ในช่วงปลายปีนี้” นางสุวรรณา กล่าวทิ้งท้าย

SMD จองซื้อ 9-11 มิ.ย. นี้ IPO หุ้นละ 7.20 บาท

บมจ.เซนต์เมด (SMD) ผู้ดำเนินธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับ เคาะราคาขายหุ้น IPO ที่ 7.20 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 9-11 มิ.ย. 64 พร้อมเตรียมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ 17 มิถุนายนนี้ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “SMD” เตรียมเดินหน้าขยายศูนย์ตรวจการนอนหลับ-ให้เช่าเครื่องมือทางการแทพย์ หนุนผลงานปี 64 รายได้เติบโต 15%  

วันที่ 8 มิถุนายน 2564 บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์อีก 4 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ SMD ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน)

กิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด

นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า บมจ.เซนต์เมด ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 7.20 บาทต่อหุ้น โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 9-11 มิถุนายนนี้ และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 17 มิถุนายน 2564 โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “SMD”

สำหรับการจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลแก่นักลงทุนรายย่อยในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มนักลงทุน ที่มาเข้าร่วมรับฟังแผนดำเนินงานและเป้าหมายในอนาคต โดย SMD ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต ซึ่งเตรียมพร้อมก้าวสู่ความเลิศด้านการจัดจำหน่ายและบริการเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยมีศักยภาพเติบโตสูงจากข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันต่างๆ โดยเฉพาะการเผชิญต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้หลายโรงพยาบาลเปลี่ยนจากซื้ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์เป็นการเช่าเพื่อสำรองกระแสเงินสด ส่งผลให้ตลาดเครื่องมือแพทย์ให้เช่าของ SMD เติบโต ประกอบกับจากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจมายาวนาน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำระดับ ทำให้มีฐานลูกค้าที่ครอบคลุมและมีการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

“การกำหนดราคาหุ้น IPO ของ SMD ที่ราคา 7.20 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากแผนการลงทุนที่ชัดเจน จะช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ ให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น ประกอบกับมีความมั่นคงของผลการดำเนินงาน การรันตีได้จากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจมายาวนาน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก ส่งผลให้ SMD มีโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาวในอนาคตข้างหน้า” นายกิตติพันธ์ กล่าว

เอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า SMD การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ของ SMD ถือเป็นก้าวสำคัญในการจะเพิ่มศักยภาพ และฐานะการเงินเพื่อรองรับแผนขยายการลงทุนต่างๆ จากประสบการณ์การทำงานที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปีซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลกกว่า 30 ราย โดยผลิตภัณฑ์ของ SMD อยู่ในกลุ่มตลาดที่เน้นการแข่งขันด้านคุณภาพมากกว่าการแข่งขันด้านราคา อีกทั้ง การเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ ที่เป็นฐานรายได้หลักที่อยู่ในกลุ่มสินค้าในห้องฉุกเฉินและหอผู้ป่วย ICU และเครื่องช่วยหายใจ รวมถึงสำหรับผู้ป่วยหยุดหายใจขณะนอนหลับ ทำให้เป็นข้อได้เปรียบ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานสามารถเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอและโดดเด่นกว่าในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ทั้งนี้ SMD มีทุนจดทะเบียนจำนวน 107 ล้านบาท แบ่งเป็น 214 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 80 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 54  ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ  25.23 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก เปิดเผยว่า การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ได้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันรองรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต จากแผนรุกขยายธุรกิจเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เช่า และโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ โดยได้ร่วมมือกับรพ.ศิริราช และศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก พร้อมทั้งมีแผนขยายไปสู่โรงพยาบาลชั้นนำอีกหลายแห่ง เพื่อดำเนินโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ

ขณะเดียวกัน การระดมทุนทำให้มีฐานทุนเพิ่มขึ้นและสนับสนุนความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) หลัง IPO ลดลงมาต่ำกว่า 0.5 เท่า จากปี 2563 อยู่ที่ 1.87 เท่า ทำให้ SMD สามารถจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอตามนโยบายที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปี (2564-2566) ตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี หลังเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายเตียงสำหรับตรวจการนอนหลับโดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนเตียงตรวจเฉลี่ยปีละ 8 เตียงตรวจ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2566 จะมี 28 เตียงตรวจ จากปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 4 เตียงตรวจ นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มเครื่องมือแพทย์ใหม่ๆ เข้ามาจำหน่ายเพื่อรองรับความต้องการลูกค้าทั้งโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน และการลงทุนให้เช่าเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ  ซึ่งจะส่งผลให้ SMD มีแนวโน้มที่จะเติบโตในระยะยาว สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมผู้สูงอายุ และนโยบายผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)

สำหรับผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ  มีรายได้มีจากการขายและบริการรวม 155.4 ล้านบาท เติบโต 38.3%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 112.3 ล้านบาท หลังความต้องการใช้อุปกรณ์การแพทย์ของภาครัฐที่เพิ่มขี้นต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาหลายองค์กรในภาคเอกชน ติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อสินค้าของ SMD เพื่อนำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลมากขึ้น ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ด้านกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2564 ทำได้ 8.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 464.54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 2.2 ล้านบาท หลังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบได้อย่างโดดเด่น