บริษัทในเครือ CV คว้างาน 4 โครงการ มูลค่ากว่า 528 ล้าน

บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์ หรือ CV ดึงบริษัทในเครือลงนาม MOU ออกแบบและติดตั้ง (EPC) ในโครงการผลิตเชื้อเพลิง Bio Fusion ร่วมกับ บจ.พรีเมี่ยม เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำนวน 4 โครงการ มูลค่างานรวมกว่า 528 ล้านบาท ร่วมพัฒนาโครงการออกแบบ ก่อสร้างและทดสอบเดินเครื่องระบบผลิตเชื้อเพลิง Bio Fusion พร้อมขยายความร่วมมือในด้านอื่นๆ เพิ่มเติม แย้มอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาดในอนาคต เสริมแกร่งหนุนผลการดำเนินงานให้เติบโตโดดเด่นมากขึ้น

นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และผู้ให้บริการด้านงานวิศวกรรมแบบครบวงจร ผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย  ตามวิสัยทัศน์ในการเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำ ที่ส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียน สู่สังคมโลก เพื่อความยั่งยืน เปิดเผยว่า บริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท ศแบง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท ศแบง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) การออกแบบและติดตั้ง (EPC) ในโครงการผลิตเชื้อเพลิง Bio Fusion ร่วมกับ บริษัท พรีเมี่ยม เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 4 โครงการ มูลค่างานรวมทั้งสิ้น 528 ล้านบาท ซึ่งเป็นความร่วมมือกันในการพัฒนาโครงการออกแบบ ก่อสร้าง และทดสอบเดินเครื่อง ระบบผลิตเชื้อเพลิง Bio fusion

โดยปัจจุบัน ได้ลงนามเป็นสัญญา EPC แล้วจำนวน 1 โครงการ คาดว่าจะสามารถติดตั้งและดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในต้นปี 2565 นับจากลงนามสัญญาซื้อขายเครื่องจักรและสัญญาออกแบบ ติดตั้ง ทดสอบเดินเครื่อง และรับมอบพื้นที่ของโครงการ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะมีความร่วมมือในด้านอื่นๆ ทยอยออกมาเพิ่มเติมอีกด้วย

“การลงนาม MOU ครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มโอกาสเข้ารับงานการออกแบบและติดตั้งในโครงการผลิตเชื้อเพลิง Bio Fusion จากการที่ CV ทำธุรกิจให้บริการด้าน EPC แบบครบวงจรนับตั้งแต่การออกแบบก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียน ตลอดจนถึงงานเดินเครื่องและบำรุงรักษา ผ่านทีมงานที่มีประสบการณ์ยาวนาน ทำให้สามารถแข่งขันด้านต้นทุนในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน CV จึงมีศักยภาพในการเข้าร่วมประมูลโครงการอีกมาก เพื่อคว้าโอกาสการรับงานซึ่งจะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว” นายเศรษฐศิริ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนการพัฒนาผลการดำเนินงานให้สามารถเติบโตอย่างโดดเด่น ผ่านการพัฒนาและลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าและโครงการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียนต่างๆ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อตัดสินใจเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็น โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล โครงการระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) โครงการโรงพลังงานแสงอาทิตย์ประเภทติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farm) และโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชื้อเพลิง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงลงทุนในกิจการด้านงานวิศวกรรม ที่กลุ่มบริษัทฯ เห็นประโยชน์ในการต่อยอดธุรกิจในอนาคต ทั้งรูปแบบเป็นผู้พัฒนาโครงการเอง หรือเข้าซื้อกิจการ หรือเป็นการเข้าลงทุนทั้งหมด หรือการร่วมลงทุนบางส่วน โดยเกณฑ์พิจารณารูปแบบการลงทุนนั้นจะมองถึงโอกาสทางธุรกิจ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ฐานะทางการเงินและสภาพคล่องของกลุ่มบริษัทฯ รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นประกอบการพิจารณาเข้าลงทุนในแต่ละโครงการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ เป็นสำคัญ

CV ชูแผนลงทุนขยายโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเทียบชั้นระดับอาเซียน

‘บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์’ หรือ CV โชว์ฟอร์มเข้าเทรดวันแรกแกร่ง ตอกย้ำพื้นฐานธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่ครบวงจร ต่อยอดประสบการณ์ขยายธุรกิจและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า เดินหน้าขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในไทยและต่างประเทศ รุกสร้างธุรกิจเทียบชั้นบริษัทพลังงานในระดับภูมิภาคอาเซียน หนุนกำลังการผลิตไฟฟ้าตามเป้าหมายแตะ 180 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566 รองรับการเปลี่ยนแปลงพลังงานของโลก

นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และผู้ให้บริการด้านงานวิศวกรรมแบบครบวงจร ผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย  ตามวิสัยทัศน์ เป็นบริษัทพลังงานชั้นนำ ที่ส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียน สู่สังคมโลก เพื่อความยั่งยืน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดทรัพยากร/พลังงานและสาธารณูปโภค โดยใช้ชื่อย่อ ‘CV’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัทฯ พร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำเทียบชั้นบริษัทพลังงานในระดับภูมิภาคอาเซียนที่พร้อมส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อการใช้ชีวิตของมนุษย์และสังคมโลกอย่างสมดุล และยั่งยืนในอนาคต จึงมั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ จะช่วยสนับสนุนให้ CV เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นขยายการลงทุนธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียนสอดรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งประเทศไทยและในประเทศ ที่กำลังเติบโตด้านอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดีขึ้น โดยเน้นลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับงานด้านวิศวกรรม Valued EPC แบบครบวงจร ในกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานจากเชื้อเพลิงชีวภาพ ได้แก่    ชีวมวล ขยะ และก๊าซชีวภาพ รวมถึงพลังงานสะอาด ได้แก่ แสงอาทิตย์ พลังงานลม และก๊าชธรรมชาติ โดยมีเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วและโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างพัฒนารวม 85 เมกะวัตต์ และเพิ่มเป็น 180 เมกะวัตต์ ในปี 2566 เพื่อต่อยอดประสบการณ์ขยายธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโรงไฟฟ้า เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต

บริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจในปี 2564-2566 สำหรับการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในเบื้องต้นมีแผนลงทุนขยายโครงการโรงคัดแยกและแปรรูปขยะ RDF จำนวน 1 โครงการ และโรงไฟฟ้าจำนวน 3 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 47.16 เมกะวัตต์ ดังนี้ (1)โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โรงคัดแยกและแปรรูปขยะ เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ดำเนินการภายใต้บริษัท CVR จังหวัดพิจิตร กำลังการผลิตประมาณ 150 ตันต่อวัน มูลค่าเงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นไม่เกิน 210 ล้านบาท คาดก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 4 ปีนี้

(2) โครงการที่อยู่ระหว่างเข้าซื้อกิจการจำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าแบบพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าชธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก กำลังการผลิตติดตั้ง 7.36 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 170 ล้านบาท คาดจะเข้าทำรายการซื้อหุ้นสามัญเดิมจากผู้ขายได้ภายในเดือนกันยายนนี้ และ (3) บริษัทฯ อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศญี่ปุ่นจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 39.8 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่น เงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นโครงการละประมาณ 430 ล้านบาท รวมทั้ง 2 โครงการประมาณ 860 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/2566

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CV กล่าวว่า นอกจากนี้ สำหรับเงินที่ได้จากจากระดมทุนบริษัทฯ จะนำไปใช้ในการชำระคืนหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงินและคืนเงินกู้ยืมกรรมการของกลุ่มบริษัทฯ จำนวน 330 ล้านบาท โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) หลัง IPO จะลดลงต่ำกว่า 0.6 เท่า จากปี 2563 อยู่ที่ 2.3 เท่า ซึ่งการระดมทุนจะทำให้ต้นทุนทางการเงินดีขึ้นถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า รวมถึงช่วยสนับสนุนความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน และที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ รองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต

ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคต ตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องจากแผนลงทุนโครงการใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ใน 1-3 ปีข้างหน้า

นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า CV ถือเป็นบริษัทที่มีจุดเด่นในการดำเนินธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน ที่ผ่านมา CV ได้มุ่งเน้นขยายการลงทุนและสร้างการเติบโตผ่านธุรกิจพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร ผ่าน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า (Power Producer) ธุรกิจด้านงานวิศวกรรม (Valued EPC) และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Supporting Business) ซึ่งจะอาศัยความเชี่ยวชาญในการดำเนินการออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้า สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันด้านการควบคุมต้นทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนตามเป้าหมาย

CV เตรียมเสนอขาย IPO 320 ล้านหุ้น

บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์ หรือ CV เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 320 ล้านหุ้น พร้อมนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คาดภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 เดินหน้ารุกขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในไทยและต่างประเทศ ก้าวสู่บริษัทพลังงานชั้นนำที่ส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียนสู่สังคมโลกเพื่อความยั่งยืน หลัง สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing)

นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV เปิดเผยว่า บริษัทฯ ถือเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเป็นผู้ให้บริการทางด้านวิศวกรรมครบวงจร ทั้งการออกแบบ ก่อสร้างโรงไฟฟ้า บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา ตลอดจนลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ โดยนำเอาประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนกว่า 15 ปี ด้วยทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ ความชำนาญงานด้านวิศวกรรมการออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (EPC Turnkey) เข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจด้านโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนพัฒนาและลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และ/หรือพลังงานสะอาด รวมถึงวางแผนเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่คุณค่าในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและกลยุทธ์ด้านการสร้างความมั่นคงทางธุรกิจและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของเมกะเทรนด์ที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้ CV ก้าวสู่บริษัทพลังงานชั้นนำที่ส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ และสังคมโลกอย่างสมดุลและยั่งยืนในอนาคต

ปัจจุบัน CV ประกอบธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า (Power Producer) มุ่งเน้นพัฒนาและกระจายการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วจำนวน 4 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 26.2 เมกะวัตต์ (ปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขายตามสัดส่วนการถือหุ้น 16.69 เมกะวัตต์) แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวน 3 โครงการดำเนินการภายใต้บริษัท CV, CPL และ RTB และโรงไฟฟ้าขยะ จำนวน 1 โครงการ ดำเนินการภายใต้  CPX ได้แก่ 

1.1 โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล โคลเวอร์ เพาเวอร์ (CV) อ.วังชิ้น จ.แพร่ กำลังการผลิตติดตั้ง 9.4 เมกะวัตต์

1.2 โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล โคลเวอร์ พิษณุโลก (CPL) อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก กำลังการผลิตติดตั้ง 4.9 เมกะวัตต์

1.3โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล รุ่งทิวา ไบโอแมส (RTB) อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์

1.4โครงการโรงไฟฟ้าขยะ โคลเวอร์ พิจิตร (CPX) อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร กำลังการผลิตติดตั้ง 2.0 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีโครงการโรงคัดแยกและแปรรูปขยะ เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตประมาณ 150 ตัน/วัน และโครงการโรงไฟฟ้าแบบพลังงานความร้อนร่วมใช้ก๊าชธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งอยู่ระหว่างเข้าซื้อกิจการ จำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 7.36 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 40.0 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง

(2) ธุรกิจด้านงานวิศวกรรม (Valued EPC) มุ่งเน้นให้บริการงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากเชื้อเพลิงชีวมวล ขยะและชีวภาพ และงานก่อสร้างอาคารและโครงสร้างพื้นฐานทั่วไป ตั้งแต่งานด้านการออกแบบ จัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และก่อสร้าง (Engineering Procurement and Construction: EPC) แบบครบวงจร ให้แก่ โรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทฯ และลูกค้าทั่วไป โดยดำเนินกิจการภายใต้ บริษัท ศแบง คอร์ปอเรชั่น จำกัด  และ บริษัท ศแบง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 100

และ (3) ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Supporting) ให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) ให้แก่ลูกค้าโรงไฟฟ้าทั่วไป พร้อมมุ่งเน้นให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้ากลุ่มพลังงานจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการปฎิบัติงานเดินเครื่องและบำรุงรักษาที่พร้อมให้บริการอย่างครบวงจร

“จุดเด่นของ CV คือ การดำเนินธุรกิจในด้านพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน โดยมุ่งเน้นลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับงานด้านวิศวกรรม EPC Turnkey แบบครบวงจรในกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานจากเชื้อเพลิงชีวภาพ อาทิ ชีวมวล ขยะ และก๊าซชีวภาพ และพลังงานสะอาด ถือเป็นหนึ่งในการขยายการลงทุนตามโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ สอดรับอุตสาหกรรมด้านพลังงานหมุนเวียนที่กำลังเติบโต ซึ่งช่วยสร้างความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงในธุรกิจโรงไฟฟ้า ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน รวมถึงช่วยสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายเศรษฐศิริ กล่าว

ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2564) บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการดำเนินงาน 358.06 ล้านบาท โดยมาจากการขายไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ 4 แห่ง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า          ชีวมวล 3 โครงการ ได้แก่ จังหวัดแพร่ พิษณุโลก และสงขลา โครงการโรงไฟฟ้าขยะที่ 1 โครงการ ที่จังหวัดพิจิตร และมีรายได้จากการขายเครื่องจักรและให้บริการวิศวกรรมก่อสร้างต่อเนื่องจากสัญญางาน รวมถึงมีรายได้จากการให้บริการ เดินเครื่องและงานซ่อมบำรุง ขณะที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 26.68 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.29 % ตามลำดับ

นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า  หลังจาก บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์’ หรือ CV ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 320,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) แล้ว

ปัจจุบัน CV มีทุนจดทะเบียน 640,000,000 บาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,280,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 480,000,000 บาท ในการระดมทุนครั้งนี้จะนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและเงินกู้ยืมกรรมการ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกลุ่มบริษัทฯ ตามแผนคาดว่า CV จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564

CV โชว์วิสัยทัศน์ ส่งมอบคุณค่า สู่สังคมโลก เพื่อความยั่งยืน

บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์ หรือ CV ผู้พัฒนาพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร  แถลงวิสัยทัศน์เดินหน้าสร้างความมั่นคงทางธุรกิจ และการเติบโต ด้วยการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน พร้อมนำความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมพลังงานที่มี ผสานกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเพื่อส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียนสู่สังคม และเดินหน้าเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สอดรับนโยบายสร้างความมั่นคงทางพลังงานตามแผน PDP 2018 เพื่อผลักดันให้ไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 77,211 MW และแผน AEDP2018 ซึ่งมีเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรวม 29,411 MW ภายในปี 2580  

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และผู้ให้บริการทางด้านวิศวกรรมการออกแบบครบวงจร เปิดเผยว่า จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป (Climate Change) ทำให้ภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรมในหลายประเทศตระหนักถึงปัญหาก๊าซเรือนกระจกของโลก จึงได้นำไปสู่ความร่วมมือด้านการพัฒนาพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ความต้องการด้านพลังงานสำหรับอนาคต

รวมถึงภาคธุรกิจต้องมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น สะท้อนจากภาพรวมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั่วโลก ณ สิ้นปี 2562  มีกำลังการผลิตติดตั้งทั่วโลกจำนวน 2,532 กิกะวัตต์ ซึ่งเป็นกำลังการผลิตติดตั้งใหม่จำนวน 177 กิกะวัตต์ เพิ่มร้อยละ 7.5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และภูมิภาคที่มีกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนสูงสุดติด 3 อันดับแรก ได้แก่  1.) ภูมิภาคเอเชียมีกำลังการผลิตติดตั้ง 1,119 กิกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42.2 ของกำลังการผลิตทั่วโลก โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 95.0 กิกะวัตต์ 2.) ยุโรปมีกำลังการติดตั้ง 573 กิกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.6 ของกำลังการผลิตทั่วโลก โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 36 กิกะวัตต์ และ 3.) อเมริกาเหนือมีกำลังการติดตั้ง 391 กิกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.4 ของกำลังการผลิตทั่วโลก โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 22 กิกะวัตต์

ส่วนภาคอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย มีแนวโน้มขยายตัวตามทิศทางการพัฒนาพลังงานทั่วโลก ที่มุ่งเน้นผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม โดยภาครัฐมีนโยบายสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในทุกภาคส่วน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 (PDP2018 Revision 1) ครอบคลุมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้มีความมั่นคงในระดับที่เหมาะสม มีการกระจายชนิดของเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ส่งเสริมพลังงานทดแทน และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งกำกับดูแลกลไกตลาดพลังงานให้แข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม เพื่อสนับสนุนขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ทำให้ไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าภายในปี 2580 จำนวน 77,211 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่จำนวน 56,431 เมกะวัตต์ ซึ่งมีเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากเอกชนจำนวน 18,696 เมกะวัตต์ รองรับการใช้ไฟฟ้าของประเทศในปี 2580

ประเทศไทยยังมีแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2561 – 2580 (AEDP2018) โดยเพิ่มเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรวมทั้งหมด 29,411 เมกะวัตต์ภายในปี 2580 ที่ช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเติบโต ซึ่งจากแผน PDP และแผน AEDP กำหนดกำลังการผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทเพิ่มขึ้น รวมถึงนโยบายด้านราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน ที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้ระบบ Feed-in Tariff (FiT) สะท้อนมูลค่าต้นทุนที่แท้จริงของโครงการโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงแต่ละประเภท มีระยะเวลารับซื้อตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (อายุสัญญา 20 ปี) ซึ่งตั้งแต่ปี 2567 ประมาณการค่าไฟฟ้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3.64 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้นจากแผนเดิมที่ 3.58 บาทต่อหน่วย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชน โดยคาดว่ารัฐกำหนดราคารับซื้อเบื้องต้นที่อัตรา 3-5 บาทต่อหน่วย

อย่างไรก็ตาม จากแผน PDP และแผน AEDP ทำให้การแข่งขันในธุรกิจมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ผลิตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เนื่องจากมีผู้ประกอบการหลายรายมีการขยายกำลังการผลิต ทั้งจากผู้ประกอบการรายเดิมและการเข้ามาลงทุนของผู้ประกอบการรายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพด้านการเงินและเทคโนโลยี กลุ่มผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างงานวิศวกรรมออกแบบ จัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และก่อสร้าง (EPC) เนื่องจากมีความชำนาญงานด้านติดตั้งระบบไฟฟ้า กลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของแหล่งวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า และจากกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์และเทคโนโลยี เป็นต้น ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการดังกล่าวขยายธุรกิจมาลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

ทั้งนี้ จากประสบการณ์พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า รวมถึงมีพื้นฐานความเชี่ยวชาญงานวิศวกรรมออกแบบ และก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (EPC) มากว่า 15 ปี และการที่กลุ่มบริษัทฯ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง การเดินเครื่องจักร และการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า ทำให้มีความเข้าใจในเทคนิคการออกแบบ การเลือกใช้เทคโนโลยี การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้างและการเดินเครื่องจักร ซึ่งถือเป็นจุดแข็งบริษัทฯ ในการดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพและเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันได้ในอนาคต

บริษัทฯ ถือเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเป็นผู้ให้บริการทางด้านวิศวกรรมการออกแบบครบวงจร ทั้งก่อสร้างโรงไฟฟ้า บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา บริการจัดหาเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้า ตลอดจนลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

(1) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า (Power Producer) โดยมุ่งเน้นพัฒนาและกระจายการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีจากพลังงานหมุนเวียนหลากหลายประเภท โดยมีโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วจำนวน 4 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 26.2 เมกะวัตต์ (ปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขายตามสัดส่วนการถือหุ้น 16.69 เมกะวัตต์) แบ่งเป็น โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวน 3 โครงการดำเนินการภายใต้ CV CPL และ RTB และโครงการโรงไฟฟ้าขยะ จำนวน 1 โครงการ ดำเนินการภายใต้  CPX ได้แก่ 1.1 โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล CV อ.วังชิ้น จ.แพร่ กำลังผลิตติดตั้ง 9.4 เมกะวัตต์ 1.2 โครงการโรงไฟฟ้า CPL อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก กำลังการผลิตติดตั้ง 4.9 เมกะวัตต์ 1.3โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล RTB อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ และ1.4โครงการโรงไฟฟ้าขยะ CPX อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร กำลังการผลิตติดตั้ง 2.0 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีโครงการโรงคัดแยกและแปรรูปขยะมูลฝอย เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตประมาณ 150 ตัน/วัน และโครงการโรงไฟฟ้าแบบพลังงานความร้อนร่วมใช้ก๊าชธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งอยู่ระหว่างเข้าซื้อกิจการ จำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 7.36 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในต่างประเทศ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 40.0 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง

(2) ธุรกิจด้านงานวิศวกรรม (Valued EPC) มุ่งเน้นให้บริการงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากเชื้อเพลิงชีวมวล ขยะและชีวภาพ และงานโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องด้านพลังงาน และงานโครงการที่เกี่ยวเนื่อง ตั้งแต่งานด้านการออกแบบ จัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และก่อสร้าง (Engineering Procurement and Construction: EPC) แบบครบวงจร ให้แก่ โรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทฯ และลูกค้าทั่วไป มากกว่า 14 โครงการ โดยดำเนินกิจการภายใต้ บริษัท ศแบง คอร์ปอเรชั่น จำกัด  และ บริษัท ศแบง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 100

(3) ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Supporting) ให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) ให้แก่ลูกค้าโรงไฟฟ้าทั่วไป พร้อมมุ่งเน้นให้บริการเดินเครื่องและบำรุงโรงไฟฟ้ากลุ่มพลังงานจากพลังงานหมุนเวียน โดยดำเนินกิจการภายใต้ SBE ทั้งนี้ บริษัทฯ มีทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการปฎิบัติงานเดินเครื่องและบำรุงรักษาที่พร้อมให้บริการอย่างครบวงจร

ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมายาวนาน บริษัทฯ พร้อมมุ่งมั่นสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำของภูมิภาคอาเซียน ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ดังต่อไปนี้

(1) สร้างความมั่นคงทางธุรกิจและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าให้มีกำลังการผลิตติดตั้ง จำนวนรวม 85 เมกะวัตต์ ภายในปี 2564 และ 180 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566 พร้อมพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางด้านวิศวกรรมโรงไฟฟ้า เพิ่มขีดความสามารถการให้บริการวิศวกรรมแบบ Smart EPC สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ขยายฐานการให้บริการ ทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงใช้กลยุทธ์เข้าร่วมลงทุนและซื้อกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

(2) ด้านประสิทธิภาพบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิง โดยส่งเสริมชุนชนปลูกพืชพลังงาน (Energy Crop) เพื่อบริหารจัดการต้นทุนและสร้างความมั่นคงให้โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล พร้อมพัฒนาโครงการสถานีรวบรวม (Transfer Station) ขยะอุตสาหกรรมประเภทไม่เป็นขยะอันตราย นำมาเป็นเชื้อเพลิง RDF โดยรับขยะตรงจากโรงงานอุตสาหกรรมในบริเวณพื้นที่เขตอุตสาหกรรมหนาแน่น ภายในปี 2565 และขยายการลงทุนธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) รองรับการเติบโตของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในต่างประเทศภายในปี 2566

(3) เพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร สร้างความรู้ความสามารถในการแข่งขัน และมีคุณธรรมจริยธรรม เพื่อนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดการพัฒนาที่ยั่งยืน

และ (4) ด้านการพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน นำเทคโนโลยีการจัดการผลิตในแต่ละขั้นตอนของ Value Chain ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ พร้อมติดตามและดูแลชุมชน สังคม โดยเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อผลประโยชน์สูงสุดในระยะยาวแก่ผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึงประชาสัมพันธ์ด้านมวลชนสัมพันธ์ผ่านช่องสื่อต่าง ๆ และสื่อสังคมออนไลน์

“เรามุ่งเสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน จากการนำองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญและนำเทคโนโลยีช่วยพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานสะอาดอย่างครบวงจร และช่วยเสริมความมั่นคงด้านพลังงานหมุนเวียนให้แก่ภูมิภาคอาเซียน เพื่อสร้างสมดุลการใช้ชีวิตร่วมกันบนโลกในทุก ๆ ด้านอย่างยั่งยืน” นายเศรษฐศิริ กล่าว