ALT ชี้ไตรมาส 2 ธุรกิจสื่อสารข้ามแดนรุ่งดันกำไรขั้นต้นฟื้น

เอแอลที เผยผลงานไตรมาส 2/64 กำไรขั้นต้น 76 ล้านบาท รับอานิสงค์ธุรกิจโครงข่ายสื่อสารระหว่างประเทศเติบโตสูง โชว์มีงานรอรับรู้รายได้ 1,466 ล้านบาท ดี/อีเหลือแค่ 0.55 เท่า วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจปี 64 เป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและพลังงานทดแทน แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน และร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี

นายสมบุญ เศรษฐ์สันติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 306.83 ล้านบาทลดลง 24.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 404.11 ล้านบาท แต่หากพิจารณารายได้จากการให้บริการโครงข่ายจะเห็นว่ามีอัตราการเติบโตสูง 53.2% จากไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ 52.88 ล้านบาท เป็น 81.01 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปีนี้

“แม้รายได้รวมจะลดลง แต่กำไรขั้นต้นของบริษัทเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นมีอัตราการเติบโตถึง 569.8% คือจากขาดทุน 16.18 ล้านบาทใน ไตรมาส 2/63 เป็นกำไร 76.01 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 โดยผลกำไร ส่วนใหญ่เป็นรายการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงข่ายสื่อสารระหว่างประเทศ” นายสมบุญ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินการในไตรมาส 2/64 แม้ว่าจะมีกำไรสุทธิ 0.57 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 42.87 ล้านบาทในไตรมาส 2/63 แต่หากไม่นับรวมรายการพิเศษในรายได้อื่นที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2/63 จะพบว่าผลการดำเนินงานปกติก่อนภาษีดีขึ้น 39.75 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 110.6% จากขาดทุนก่อนภาษี 35.92 ล้านบาทในไตรมาส 2/63 เป็นกำไรก่อนภาษี 3.83 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 ขณะที่สิ้นไตรมาส 2/64 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) จำนวน 1,466 ล้านบาท

ฐานะการเงินของบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ เห็นได้จากการลดลงของหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และเจ้าหนี้การค้าจำนวน 293.76 ล้านบาท และ 45.50 ล้านบาทตามลำดับ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจาก 0.75 ณ สิ้นปี 2563 เหลือ 0.55 ณ สิ้นไตรมาส 2/64 โดยมีเงินสดในมือ 169.51 ล้านบาท

นายสมบุญ กล่าวอีกว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2564 จะเน้นการขับเคลื่อนธุรกิจให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและพลังงานทดแทน แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มคุณภาพบริการ โดยมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ร่วมทั้งเป็นพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญที่มีความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี

สำหรับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม โครงข่ายไฟเบอร์ใยแก้วนำแสง บริษัทได้วางโครงข่ายหลัก ลงทุนครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศแล้ว รวมถึงมีการสร้างสถานีฐานเพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายของผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง เมียนมาร์  ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย

ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ผู้คนได้ใช้อินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเมียนมาร์ สะท้อนได้จากผลประกอบการของบริษัทย่อย คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ จำกัด มียอดรายได้สูงขึ้น โดยได้ตั้งเป้าที่จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Asian Digital Hub มีโครงการลงทุนก่อสร้างสถานีฐานชายฝั่งเพื่อให้บริการเชื่อมต่อโครงข่ายเคเบิ้ลใต้ทะเลจากต่างประเทศ เข้ากับโครงข่ายเคเบิ้ลภาคพื้นดินภายในประเทศของบริษัท ซึ่งสามารถพัฒนาการเชื่อมต่อโครงข่ายภาคพื้นน้ำจากทะเลด้านตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน

ในส่วนธุรกิจพลังงานอัจฉริยะ สืบเนื่องจากงานให้บริการวางระบบและติดตั้งโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรีให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นโครงการนำร่องด้านโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะของไทยและมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐจะขยายขนาดของโครงการให้ครอบคลุมหัวเมืองสำคัญทั่วทั้งประเทศ จึงเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง

ส่วนธุรกิจเมืองอัจฉริยะ บริษัทได้มีการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดินเพื่อให้เมืองมีความสวยงามและปลอดภัยโดยบริษัทจะมีการติดตั้งเสาไฟอัจฉริยะ (Smart Pole) ที่สามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อสังเกตการณ์เกี่ยวกับความเป็นอยู่และสุขอนามัยของประชาชน ทั้งในเรื่องมลพิษ และฝุ่นละออง การจราจร รวมถึงเป็นจุดชาร์จไฟสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนาธุรกิจด้านแพลตฟอร์ม บริษัทยังได้พัฒนาซอฟท์แวร์เพื่ออ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ ใช้สำหรับการเก็บค่าบริการ ในปัจจุบัน ได้มีการนำไปปรับใช้กับการเก็บค่าบริการที่จอดรถ เป็นต้น

ALT นำแพลตฟอร์ม AI ประมวลผลปลูกกัญชา

เอแอลที ร่วมมือ สยามแคนนาเทค – บริษัท โรงงานเภสัชฯ เจเอสพี ต่อยอด “โครงการเกษตรอินทรีย์เขาค้อ อินโนเวชั่นพาร์ค” ในการปลูกกัญชา เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เผยใช้แพลตฟอร์ม AI เกาะติดทุกขั้นตอนการปลูกกัญชานำข้อมูลหรือ Big data มาวิเคราะห์ประมวลผล เพื่อให้เกิดความปลอดภัยรวมทั้ง รักษาสมดุลผู้ซื้อและผู้ปลูก และสร้างประสิทธิภาพสูงสุดทั้งคุณภาพและราคา

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือ “โครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค” ในส่วนของบริษัทสยามแคนนาเทค จำกัด กับ บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรมเจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท สยามแคนนาเทค จำกัด กับ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT โดยมีพลเอกพลางกูร กล้าหาญ รองประธานกรรมการมูลนิธิร่มกล้า เขาค้อ มาร่วมเป็นสักขีพยาน

นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT กล่าวว่า โครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค เป็นโครงการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ พืชพรรณ สมุนไพร พืชยา กัญชา และผักต่างๆ ตามโครงการทหารพันธุ์ดี ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาเป็นต้นแบบที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในพื้นที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และจังหวัดใกล้เคียงรวมทั้งสร้างรายได้ให้วิสาหกิจชุมชนอีกทางหนึ่ง

เรายินดีและภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือโครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค ซึ่ง ALT ทำธุรกิจเทเลคอม อินโนเวชั่น เป็นหลัก ได้นำเอาองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมา ดัดแปลงทำเป็นแพลตฟอร์มในการตรวจติดตามการปลูกกัญชา เพราะตัวกัญชา ถือเป็นสารเสพติดประเภท 5 จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจติดตามตั้งแต่เมล็ด การเพาะปลูก และการเติบโตเป็นอย่างไร โดยใช้ AI ในการติดตามประมวลผลและวิเคราะห์เพื่อไปทำ Big Data ให้สามารถคาดการณ์ว่า การผลิตจะออกมาวันไหน เดือนไหน เท่าไหร่ เพื่อไปสู่การใช้เทคโนโลยีด้านเกษตรแม่นยำ ( Agriculture Technology) และ ระบบสามารถ แมชชิ่งระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้ผลผลิตไม่ล้นตลาด หรือไม่ทำให้ราคาสูงจนเกินไป แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยและช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ส่งผลผลิตได้ตามเวลาที่ต้องการ ให้ราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรและเป็นแหล่งเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศไทย

ด้าน ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเห็นการทำงานครบ value chain โดยทางโครงการเกษตรอินทรีย์หรือมูลนิธิ เป็นเสมือนแกนกลางในการเชื่อมโยงภาคเอกชน 3 ส่วน คือ ผู้ปลูก ซึ่งผู้ปลูกก็ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัย ส่วนปลายน้ำคือผู้ผลิต ก็คือบริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรมเจเอสพี จะการดำเนินการผลิต ทั้งที่เป็นยาแผนปัจจุบัน สมุนไพร อาหารเสริม และเครื่องสำอาง รวมทั้งเครื่องมือที่อยู่ระหว่างดำเนินการขออนุญาตสกัดกัญชา กัญชง และพืชเสพติด

ดังนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ ทางผู้ปลูกสามารถทำหน้าที่ซัพพลายกัญชา หรือพืชสมุนไพรอื่นให้กับบริษัทโรงงานเภสัชฯ เจเอสพี นำมาสกัดโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือใช้แพทย์แผนไทยมาต่อยอดในการสกัดสมุนไพรเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น ยาแผนโบราณ อาหารเสริม เครื่องสำอาง ที่มาจากน้ำมันกัญชา ทำเป็นครีมเซรั่ม ถือเป็นความร่วมมือที่ครบทั้งห่วงโซ่อุปทาน คือต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

พลเอก พลางกูร กล้าหาญ รองประธานกรรมการมูลนิธิร่มเกล้าเขาค้อ กล่าวว่าโครงการนี้เกิดขึ้นมาหลายสิบปี โดยพลเอกพิจิตร กุลวนิช ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ต้องการสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในพื้นที่เขาค้อ และจังหวัดใกล้เคียง จึงเกิดแนวคิดในการนำวัตถุดิบมาแปรรูป และทำเป็นศูนย์กลางเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ดังนั้นความร่วมมือระหว่างบริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี และบริษัทเอแอลที จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้เป็นที่ทราบดีว่าเกิดโรคระบาดโควิด-19 ทำให้เกิดการเสียชีวิตซึ่งทางศูนย์จะเร่งดำเนินการเรื่องฟ้าทะลายโจรเพื่อช่วยเหลือประชาชนรวมทั้งจะปลูกพืชที่เป็นประโยชน์คือกัญชา กัญชง หรืออื่นๆ

โดย ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทจะทำให้การก้าวเดินไปได้ตามที่กำหนด และทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ แต่อาจไม่ได้เห็นผลภาย 6-12 เดือนแต่มั่นใจว่าจะเห็นผลในอีก 3 ปีข้างหน้า และในอนาคตอาจขายไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย

มอบทุนวิจัยพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ – เทคโนโลยีอัจฉริยะนำสู่ Smart City

เอแอลที ร่วมมือ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดทำโครงการร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะ หรือ Smart Technology ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบของสภาพแวดล้อมและอาคารอัจฉริยะพร้อมมอบทุนงานวิจัย นวัตกรรม Smart City เพื่อนำไปต่อยอดประยุกต์ใช้ได้จริงในระดับชุมชน สู่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะในอนาคต

นายปริญญ์ ชากฤษณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Technology) เพื่อศึกษาวิจัยและพัฒนาพื้นที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และผังเมือง ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบของสภาพแวดล้อมและอาคารอัจฉริยะ

โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อร่วมกันจัดหาและสนับสนุนทรัพยากร สำหรับใช้ในการดำเนินงานด้านวิชาการและงานวิจัย แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีเสริมสร้างความรู้ ข้อมูลทางวิชาการ จัดฝึกอบรมและสัมมนา รวมทั้งร่วมกันพัฒนาและดำเนินงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ โดยครอบคลุม ในด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ หรือ Smart Environment ขนส่งอัจฉริยะ หรือ Smart Mobility และพลังงานอัจฉริยะ หรือ Smart Energy

สำหรับความร่วมมือ ในครั้งนี้จะสร้างสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมกับการศึกษาวิจัย การเรียนรู้ให้กับนักศึกษา นักวิชาการ ควบคู่และผสมผสานกับการปฏิบัติจริงและสามารถนำการออกแบบและเทคโนโลยี พัฒนาต่อยอดไปในด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีและพาณิชยกรรม เพื่อการพัฒนารูปแบบเมืองอัจฉริยะต่อไปในอนาคต

“ขณะนี้บริษัท ได้ร่วมกับคณะฯ คัดเลือกงานวิจัยที่คิดค้นนวัตกรรม ที่เกี่ยวกับงานวิจัย Smart City หลังจากนั้นบริษัทจะนำงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดควบคู่ไปกับงานด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของบริษัท เพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน” นายปริญญ์กล่าว

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาสาฬห์ สุวรรณฤทธิ์ คณะบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การร่วมมือกับ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) จัดทำโครงการร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Technology) โดย ALT ให้การสนับสนุนระบบ Modular Data Center ที่ ALT พัฒนาขึ้นมา พร้อมระบบติดตั้งอุปกรณ์ และข้อมูลองค์ความรู้ ด้านนวัตกรรม โทรคมนาคมและโครงข่ายการสื่อสารอัจฉริยะซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินแล้วเสร็จ และพร้อมใช้งาน

นอกจากนี้ยังร่วมกันสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะโดยให้ทุนสนับสนุนงานวิจัย 3 ทีม ภายใต้ 3 หัวข้อคือ Smart Environment ขนส่งอัจฉริยะ หรือ Smart Mobility และพลังงานอัจฉริยะ หรือ Smart Energy งานวิจัยที่เข้าเกณฑ์ในการพิจารณาต้องเป็นโครงการมีผลลัพธ์ ที่มีผลกระทบที่เกิดประโยชน์ในวงกว้าง มีความเป็นไปได้ทางด้านเทคนิค การใช้เทคโนโลยี และการปฏิบัติ รวมทั้งความเป็นไปได้ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และต่อยอดผลงานสู่การนำไปใช้ได้จริง

“เป้าหมายงานวิจัยอยากได้ต้นแบบของ Innovation ที่สร้าง Impact ได้ในอนาคต ในระดับอาคาร ชุมชน ย่าน หรือเมือง งานวิจัยทั้ง 3 หัวข้อ อาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ หรือ Innovation เชิงระบบและการบริการ มีความต้องการใช้งานในสถานการณ์จริง เป็นนวัตกรรมที่สามารถ Scalable ได้ สามารถนำงานวิจัยไปพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้ได้ในเชิงธุรกิจ ตอบสนองเป้าหมายในการ Smart City ของ ALT และภาครัฐในอนาคต” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาสาฬห์ กล่าว

 

 

 

ALT ชู 4 เทรนด์ธุรกิจด้านโทรคมนาคมช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ

ALT เปิด 4 เทรนด์ธุรกิจมาแรงกลุ่มโทรคมนาคมและพร้อมเป็นผู้นำเทรนด์ทั้ง 4 “พลังงานอัจฉริยะ – เมืองอัจฉริยะ – แพลตฟอร์มอัจฉริยะ – โครงข่ายครบวงจร” ชี้เป็นเมกะ เทรนด์ของโลกธุรกิจสมัยใหม่ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนการทำงานขององค์กรทั้งรัฐและภาคเอกชน เพื่อยกระดับการบริการด้วยระบบดิจิทัล ช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุด ลดต้นทุน พร้อมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน)หรือ ALT เปิดเผยว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ ALT Group จะเน้นการให้บริการที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนให้มีความคล่องตัว ยกระดับการให้บริการด้วยระบบดิจิทัล ช่วยลดต้นทุน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมองว่าเทรนด์ธุรกิจด้านโทรคมนาคมที่กำลังมาแรงในขณะนี้ ประกอบด้วย

  1. เทรนด์ด้านพลังงานอัจฉริยะ
  2. เมืองอัจฉริยะ
  3. แพลตฟอร์มอัจฉริยะ
  4. โครงข่ายครบวงจร

โดยในส่วน เทรนด์ที่ 1 เทรนด์ด้านพลังงานอัจฉริยะ เป็นการประยุกต์ใช้พลังงานสีเขียวและนำเทคโนโลยีมาบริหารจัดการพลังงาน พลังงานทดแทนและบริหารการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดรวมไปถึงการอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชน โดยใช้เทคโนโลยีด้านพลังงานใหม่ เช่น Smart Grid ซึ่งเป็นโครงข่ายไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาบริหารจัดการ ควบคุมการผลิต ส่ง และจ่ายพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งให้บริการกับผู้เชื่อมต่อกับโครงข่ายผ่านมิเตอร์อัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Smart Meter หรือมิเตอร์อัจฉริยะมิเตอร์ เครื่องวัดพลังงานไฟฟ้าชนิดใหม่ที่ถูกพัฒนามาเพื่อแทนที่มิเตอร์แบบเดิมที่มีอยู่ (แบบจานหมุน) เพื่ออำนวยความสะดวก โดยไม่จำเป็นต้องส่งพนักงานมาอ่านค่าหน่วยไฟฟ้าและผู้ใช้ไฟฟ้าก็สามารถอ่านหรือคำนวณค่าใช้จ่ายของการใช้พลังงานได้เอง และประโยชน์ที่เด่นชัดคือ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมิเตอร์อัจฉริยะจะสามารถแจ้งเหตุ ไปยังส่วนกลางทันที ดังนั้นจึงตรวจสอบหาจุดที่เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้ระบบทำงานผิดพลาดได้ไวกว่าเดิม ลดการเกิดความเสียหายและสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชน

พลังงานเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าแหล่งผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ โดยกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จาก Solar Cell นั้น จะเป็นไฟฟ้ากระแสตรง ผ่านตัวแปลงซึ่งเราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันที อนาคตสามารถเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่เพื่อใช้งานภายหลัง เป็นแหล่งพลังงานสะอาดและไม่สร้างมลภาวะแก่สิ่งแวดล้อมและไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Co2) เหมือนกับแหล่งพลังงานอื่นๆ

สถานีชาร์จไฟฟ้า ทำหน้าที่เป็นตัวชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้กับแบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า โดยสามารถแบ่งการชาร์จออกเป็น 2 ประเภท คือ Normal Charge และ Quick Charge

สำหรับ เทรนด์ที่ 2 เมืองอัจฉริยะ เป็นการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติ เพื่อแก้ปัญหาในด้านต่างๆ ของเมือง รวมทั้งมีความแม่นยำสูง เช่น การเดินทางและการขนส่งอัจฉริยะ การใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย และสิ่งแวดล้อมที่จะสร้างความปลอดภัย ให้แก่ประชาชนในชีวิตประจำวัน

ส่วน เทรนด์ที่ 3 แพลตฟอร์มอัจฉริยะ การสร้างแพลตฟอร์มในด้านต่างๆ ที่สามารถรองรับและอำนวยความสะดวกแก่ผู้รับบริการ ให้มีความยืดหยุ่นและหลากหลายเข้ากับสถานการณ์ สามารถปรับเปลี่ยนโซลูชั่นได้ตามความต้องการ ซึ่งจะผลักดันระบบต่างๆให้เป็นดิจิทัลสามารถใช้ในทุกๆ อุตสาหกรรม เช่น การคมนาคมขนส่ง การประกันภัย และอื่นๆเป็นต้น

เทรนด์ที่ 4 โครงข่ายแบบครบวงจร พัฒนาและขยายธุรกิจครอบคลุมด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าโดยนำโครงสร้างพื้นฐานที่ ALT มีในปัจจุบัน มาพัฒนาและต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดครอบคลุม ในทุกพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะบริเวณ EEC ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับ Operators ต่างๆ และยังเป็นการลดความซ้ำซ้อนในการลงทุน

“เทรนด์ธุรกิจทั้ง 4 กลุ่มที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ ALT Group มีส่วนช่วยให้องค์กรทั้งรัฐและภาคเอกชน สามารถยกระดับการให้บริการ และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดตามความต้องการของผู้รับบริการ เพราะในอนาคตเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในทุกๆ อุตสาหกรรม ทุกโครงการของ ALT จะมีบทบาทช่วยอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย” นางปรีญาภรณ์ กล่าว

ALT เปิดแผนรุกธุรกิจขาย – ติดตั้ง – ลงทุนโซลาร์รูฟท็อป

เอแอลทีเปิดแผนรุกธุรกิจจำหน่ายและติดตั้ง โซล่าร์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) ครบวงจร  เน้นให้บริการ ภาครัฐและผู้ประกอบการโรงงานขนาดกลาง ที่มียอดใช้ไฟฟ้าต่อเดือน 25,000 หน่วย หรือมีค่าไฟเฉลี่ย 1 แสนบาท/เดือนขึ้นไป โดยใช้เทคโนโลยี – นวัตกรรม มาช่วยบริหาร จัดการพลังงานอย่างชาญฉลาด ช่วยลดต้นทุนการใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 15%  รวมทั้งยัง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม​  ตามแนวคิด Smart Energy

นางสาวปรียาพรรณ ภูวกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ว่า  จะหันมารุกธุรกิจการให้บริการจัดจำหน่ายและติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา หรือ  Solar Rooftop  ให้กับภาครัฐและผู้ประกอบการโรงงานขนาดกลาง เพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ

ทั้งนี้ การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป หรือการใช้พลังงานที่มาจากแสงอาทิตย์ ทำให้ลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งภายนอก มีการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่ได้จากธรรมชาติมากขึ้น มีระบบโครงข่ายอัจฉริยะเพื่อการบริหารจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ  โดยใช้มิเตอร์อัจฉริยะ ระบบไมโครกริด ทั้งนี้แนวคิด Smart Energy ถือเป็นส่วนสำคัญของ เมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City  ที่ใช้ประโยชน์จากการนำนวัตกรรมที่ทันสมัยและ เทคโนโลยีที่ชาญฉลาด มาทำงานร่วมกับระบบสื่อสารโทรคมนาคมประสิทธิภาพสูงที่ ALT มีความเชี่ยวชาญ จึงทำให้การออกแบบ และบริหารจัดการ ระบบ Smart City มีความคุ้มค่า เกิดประโยชน์ และประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน

การให้บริการดังกล่าว เป็นการร่วมมือของ 3 บริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท อินโนว่า เทเลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (INN) ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายแผง Q CELLS  แผงโซล่าเซลล์ชั้นนำของโลก บริษัท กรุ๊ป เทค โซลูชั่นส์ จำกัด (GTS) ผู้ให้บริการติดตั้ง และดูแลรักษา ระบบโซล่าเซลล์ และ ALT ผู้ลงทุนในรูปแบบ Private PPA (Private Power Purchase Agreement)

ทั้งนี้ Private PPA (Private Power Purchase Agreement) คือ ข้อตกลงการซื้อขายพลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตได้จาก Solar Rooftop ที่ติดตั้งบนหลังคาโรงงาน หรืออาคารของผู้ประกอบการธุรกิจ   โดยผู้ประกอบการฯไม่ต้องลงทุนแต่อย่างใด

โดยรูปแบบ Private PPA (Private Power Purchase Agreement)  นี้  ALT จะเป็นผู้ลงทุนในอุปกรณ์  การติดตั้ง รวมถึงดูแลรักษาระบบให้ทั้งหมด  ซึ่งผู้ประกอบการจ่ายค่าไฟฟ้า (ที่ผลิตจากแผงโซลาร์) รายเดือนตามระยะสัญญา 15 ปี โดยอัตราค่าไฟฟ้าจะลดลงกว่า 15% และมั่นใจได้ว่าอำนาจในการผลิตไฟฟ้าที่ใช้งานเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นพลังงานสะอาด และดีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นการใช้พลังงานอัจฉริยะ โดยผู้ประกอบการฯ ไม่ต้องลงทุนแต่อย่างใด