โอสถสภา จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น

บมจ.โอสถสภา (OSP) โชว์ศักยภาพผลการดำเนินงานไตรมาส 2Q’64 ด้วยยอดขาย 6,913 ล้านบาท และกำไรสุทธิ  820 ล้านบาท เติบโตจากยอดขายต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV และเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มในประเทศ โดยผลงานครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 1,824 ล้านบาท ประกาศอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้นตอบแทนผู้ถือหุ้น พร้อมสานต่อภารกิจเป็นพลังฮึดสู้เคียงข้างคนไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 ผ่านการมอบความช่วยเหลือสนับสนุนด้านต่างๆ แก่บุคคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล กลุ่มอาสาสมัคร และชุมชนต่างๆ

นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP  ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อสินค้าของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รายได้จากการขายในไตรมาส 2 ที่ 6,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยกลุ่มประเทศ CLMV เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจหลัก ผลักดันอัตราการเติบโตในต่างประเทศโดยรวมที่ 76% นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตร ส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้แก่ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ ยังได้พัฒนารถเข็นแรงดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 พร้อมสนับสนุนผลิตภัณฑ์ให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามต่างๆ 161 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นพลังให้คนไทยฮึดสู้ฝ่าฟันวิกฤตโควิด-19

สำหรับตลาดในประเทศนั้น OSP ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังด้วยส่วนแบ่งการตลาด 55% จากแบรนด์อันดับ 1 อย่างเอ็ม-150 แบรนด์ลิโพที่มีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ สร้างปรากฎการณ์ครั้งแรกในรอบ 22 ปี เปิดตัว ‘ลิโพ-ไฟน์’ แจ้งเกิดเซกเมนท์ใหม่ให้กับ “เครื่องดื่มบำรุงกำลังสำหรับผู้หญิง” และเครื่องดื่มโสมอินซัมที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากส่วนผสมสมุนไพรซึ่งตอบสนองเทรนด์ของตลาดในขณะนี้ได้อย่างตรงจุด ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์นั้น ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่ง 37% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน หลังจากออกสินค้าใหม่เพื่อตอบรับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งผลิตภัณฑ์กล่องใหญ่ขนาด 1 ลิตรสำหรับการบริโภคในครอบครัวได้เป็นประจำ และ ‘ซีวิท พลัส’ เครื่องดื่มวิตามินซีผสมคอลลาเจน นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้จากการกระจายสินค้าให้แก่เครื่องดื่มวิตามินของกลุ่มยันฮี ซึ่งเป็นอีกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตสูง

นอกจากนี้ การกลับมาเดินเครื่องจักรของโรงแก้วหลังจากปิดปรับปรุงในไตรมาสก่อน สัดส่วนช่องทางการขายที่ดีขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนภายใต้โครงการ Fit Fast Firm อย่างต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ทำกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 1,824 ล้านบาท เติบโต 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

จากผลการดำเนินงานที่เติบโตตามเป้าหมาย ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 1,352 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 กันยายน 2564

นางวรรณิภา กล่าวว่า จากสถานการณ์ความท้าทายจากโควิด-19 โอสถสภามุ่งเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ช่วยดูแลสุขภาพ การสร้างพลังทางด้านการตลาดผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร และเริ่มวางรากฐานการนำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งและนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าใช้ Big Data มาช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพและทรานส์ฟอร์มองค์กรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตในอนาคต

นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ร่วมเป็นพลังสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชน ชุมชน และเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บริษัท เฮ้าส์ โอสถสภา ฟู้ดส์ จำกัด บริษัท โอสถสภา ไทโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด และ บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด จัดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาทิ เครื่องดื่มวิตามินซีแบรนด์ซีวิทยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ลิโพ และเครื่องดื่มผสมสมุนไพร  อาทิ โสมอินซัม สูตรผสมถั่งเช่า และเอ็ม-150 สูตรผสมกระชายดำรวมกว่า 2 ล้านขวด มอบให้แก่ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน ณ จุดบริการนอกโรงพยาบาล ในเครือข่ายสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ทั้ง 25 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร รวมถึงโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนามต่างๆ 161 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ออกแบบและพัฒนาแคปซูลแรงดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ช่วยจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อและลดโอกาสในการสัมผัสเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์เมื่อปี 2563 ล่าสุดทีมวิศวกรของโอสถสภาได้ออกแบบและพัฒนารถเข็นความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัยและคล่องตัวมากขึ้น โดยได้ส่งมอบแคปซูลความดันลบจำนวน 3 คัน และรถเข็นความดันลบจำนวน 18 คัน มูลค่ารวมกว่า 4.8 ล้านบาทให้แก่โรงพยาบาล 16 แห่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดสระบุรี

โอสถสภา แต่งตั้ง พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ และ จรัมพร โชติกเสถียร เป็นกรรมการอิสระ

บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ ประกาศแต่งตั้งกรรมการอิสระใหม่ 2 ท่าน ได้แก่ พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ และนายจรัมพร โชติกเสถียร ทั้งสองท่านมีประสบการณ์ในการทำงานในองค์กรชั้นนำหลายแห่งในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการกำหนดกลยุทธ์ การขยายธุรกิจ และการบริหารงานของโอสถสภาให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในประเทศไทยและในภูมิภาค CLMV โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2564

นายสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติการเพิ่มจำนวนกรรมการจาก 15 ท่าน เป็น 17 ท่าน โดยแต่งตั้งให้ พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ และนายจรัมพร โชติกเสถียร เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระของบริษัทฯ เนื่องจากบุคคลทั้ง 2 ท่าน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มากด้วยประสบการณ์ และเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน

กรรมการอิสระทั้งสองท่านที่ได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ต่างเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้ร่วมสร้างการเติบโตให้กับองค์กรชั้นนำและขับเคลื่อนนโยบายในระดับประเทศพลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและประธานกรรมการ (กรรมการอิสระ) บมจ. ทีโอที ในปี 2557-2562 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา เช่นเดียวกับ นายจรัมพร โชติกเสถียร ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในแวดวงตลาดเงินและตลาดทุนของไทย  เคยดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยวางรากฐานสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจและตลาดทุนไทย และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งที่สำคัญในบริษัทเอกชนชั้นนำหลายแห่ง

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 2 ท่านให้เกียรติเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริษัทฯประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของทั้งสองท่านจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและกลยุทธ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของบริษัทให้บรรลุเป้าหมายและเอื้อต่อการขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค นำมาซึ่งการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายสุรินทร์ กล่าว

โอสถสภา อัดแคมเปญใหญ่แห่งปี ส่ง เอ็ม-150 สร้างพลังฮึดสู้ให้กีฬาไทย

กีฬาเป็นอีกหนึ่งเวทีที่คนไทยได้แสดงความสามารถให้ประจักษ์แก่ชาติต่างๆ ทั่วโลก บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย ปลุกตลาดรับกระแสมหกรรมกีฬาโอลิมปิก โตเกียว 2020 ดันเอ็ม-150 ร่วมสร้างพลังฮึดสู้ ส่งพลังใจให้ทัพนักกีฬาไทยลุยศึกโอลิมปิก และตอกย้ำจุดยืน 35 ปีที่อยู่เคียงคู่นักกีฬาไทย ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดพิเศษ “เอ็ม-150 เพื่อพลังฮึดสู้ของกีฬาไทย” พร้อมคว้าสิทธิ์ผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดอย่างเป็นทางการให้แฟนๆ ได้ชมและเชียร์อย่างเต็มอิ่มสมการรอคอย

นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เผยว่า โอสถสภาให้การสนับสนุนกีฬาในประเทศไทยมาโดยตลอด รวมถึงสนับสนุนสมาคมกีฬาในประเทศไทยทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาทางอากาศและการบินแห่งประเทศไทย นับเป็นเวลากว่า 35 ปีที่โอสถสภาร่วมสนับสนุนทีมนักกีฬาไทยในการแข่งขันโอลิมปิกอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นนโยบายหนึ่งที่ผู้บริหารให้ความสำคัญ เนื่องจากเล็งเห็นถึงประโยชน์ของกีฬาและมองว่ากีฬาเป็นอีกหนึ่งเวทีที่คนไทยได้แสดงความสามารถให้ประจักษ์แก่ชาติต่างๆ ทั่วโลก

นายธนา ไชยประสิทธิ์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ ก็ได้รับเกียรติให้เป็นหัวหน้าคณะนักกีฬาไทยในการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี นอกจากนี้ โอสถสภายังได้เล็งเห็นถึงความมุ่งมั่นและเสียสละของนักกีฬาที่ต้องทุ่มเทในการซ้อมอย่างหนัก จนสามารถคว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันระดับนานาชาติมาให้คนไทยทั้งประเทศได้ภาคภูมิใจจึงได้จัดสรรเงินรางวัลมอบให้เป็นขวัญกำลังใจแก่นักกีฬาที่ได้รับเหรียญจากโอลิมปิก และมอบตำแหน่งพนักงานกิตติมศักดิ์ให้กับนักกีฬามวยที่ได้รับเหรียญจากโอลิมปิกอีกด้วย

มหกรรมกีฬาโอลิมปิกเป็นเหตุการณ์สำคัญที่คนทั่วโลกรวมถึงคนไทยตั้งตารอ แม้ในปีนี้ การแข่งขันโอลิมปิกจะต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่โอสถสภายังเดินหน้าให้การสนับสนุนผ่านแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ของแบรนด์เอ็ม-150 เพื่อให้คนไทยไม่พลาดโอกาสร่วมส่งแรงใจแรงเชียร์ และพลังฮึดสู้ให้ทัพนักกีฬาไทยคว้าชัยในการแข่งขันระดับโลกนี้ โดยเอ็ม-150 ร่วมประชาสัมพันธ์ให้คนไทยเตรียมตัวเชียร์ทัพนักกีฬาไทยกับแคมเปญ “Road to Tokyo 2020”  ให้การสนับสนุนและเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของแคมเปญ เช่น กิจกรรม “FLAG OF NATION วิ่งส่งธงชาติไทย ไปโตเกียวโอลิมปิก” ร่วมกับนักวิ่งกว่า 4,568 คน ผ่าน 35 จังหวัด ใช้เวลา 61 วัน รวมระยะทางทั้งสิ้น 4,606 กิโลเมตร

นางวรรณิภา ภักดีบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า แคมเปญโอลิมปิก โตเกียว 2020 ของเอ็ม-150 นับเป็นการตอกย้ำการเป็นผู้สนับสนุนวงการกีฬาไทย และความมุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงข้าง เป็นกำลังใจ และสร้างความสุขให้กับคนไทย ไม่ว่าผลของการแข่งขันจะเป็นอย่างไร โอสถสภายังคงเชื่อมั่นและสนับสนุนทุกความพยายามของนักกีฬาไทย และเอ็ม-150 ก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้าง เป็นพลังฮึดสู้ของกีฬาไทยต่อไป โดยล่าสุดได้จัดแคมเปญ “เอ็ม-150 เพื่อพลังฮึดสู้ของกีฬาไทย” เพื่อเล่าประวัติศาสตร์ของกีฬาไทยที่มีโอสถสภาและเอ็ม-150 อยู่เคียงข้างมาตลอด ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดพิเศษของเอ็ม-150 โดยมี 3 นักกีฬาทีมชาติ ได้แก่ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย นักกีฬาแบดมินตันหญิง, ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี นักกีฬามวยสากลสมัครเล่น และ ใบสน มณีก้อน นักกีฬามวยสากลสมัครเล่นหญิง ร่วมแสดงกับ ตูน บอดี้สแลม โดยถ่ายทอดเรื่องราวของ สมรักษ์ คําสิงห์, สมจิตร จงจอหอ และ ปวีณา ทองสุก สามนักกีฬาไทยในตำนานที่ เอ็ม-150 ได้อยู่เคียงข้างตั้งแต่วันที่ผิดหวัง จนถึงวันที่คว้าชัย ภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้จะเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงสื่อ Out of home ต่าง ๆ เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส และป้ายดิจิตัลอีกกว่า 114 จุด ทั่วประเทศไทย เพื่อช่วยย้ำเตือนให้คนไทยได้ระลึกถึงอารมณ์ความรู้สึกแห่งความดีใจในอดีตและพร้อมที่จะร่วมเชียร์ทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิก โตเกียว 2020 ที่กำลังจะมาถึงนี้

นอกจากนี้ เอ็ม-150 ยังคว้าสิทธิ์ผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดโอลิมปิกโตเกียว 2020 ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยได้รับชมและร่วมเชียร์นักกีฬาไทยไปพร้อมกัน พร้อมเอาใจคอกีฬาด้วยการออกแบบ เสื้อพรีเมียม เอ็ม-150 ลิมิเต็ด โตเกียว โอลิมปิก อิดิชั่น มีให้เลือกถึง 4 แบบ 4 สไตล์ พร้อมกิจกรรมให้แฟน ๆ ได้ร่วมสนุกลุ้นรับเสื้อ หรือแลกซื้อ สะสม ผ่านทาง “แต้มเอ็ม” อีกด้วย

ทั้งนี้ นายฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี นักกีฬามวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย เปิดใจว่า ผมภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในฐานะนักกีฬาไทยในการไปแข่งขันโอลิมปิกเป็นสมัยที่ 3  ด้านการเตรียมตัวฝึกซ้อมเต็มที่ 6 วันต่อสัปดาห์ ร่างกายพร้อมที่จะสู้ศึกโอลิมปิกนี้ ขอขอบคุณเอ็ม-150 ในการสนับสนุนครั้งนี้ และขอบคุณทุกแรงกำลังใจจากคนไทยด้วยครับ เพราะการแข่งขันโอลิมปิกเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

“โอสถสภา” เปิดโรดแมปความยั่งยืน

โอสถสภา ประกาศโรดแมปความยั่งยืน เดินหน้าลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้บริโภค ตลอดจนสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) โดยตั้งเป้าในการจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่ยั่งยืน ลดการนำเข้าและเพิ่มการใช้วัตถุดิบสมุนไพรภายในประเทศ พร้อมเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์สินค้าในเครือทั้งหมดเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิล

นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. โอสถสภา เปิดเผยว่า โอสถสภามีแนวทางการพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจเพื่อสร้างพลังชีวิตที่ยั่งยืน ด้วยการเชื่อมโยงเสาหลัก 3 ด้านเข้าด้วยกัน ได้แก่ 1) เสาหลักด้านธุรกิจ ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนให้กับธุรกิจของโอสถสภาและคู่ค้าที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่า 2) เสาหลักด้านสังคม ซึ่งมุ่งสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้บริโภคผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ส่งเสริมพนักงานในองค์กรให้เติบโตไปพร้อมๆ กับการขยายตัวของธุรกิจ และสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนด้วยโครงการที่มุ่งพัฒนาและยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้กับคนในสังคม 3) เสาหลักด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งมุ่งมั่นลดผลกระทบจากกระบวนการผลิตที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม โดยเสาหลักทั้งสามนี้มีบุคลากรในองค์กร (People) เป็นแกนสำคัญในการขับเคลื่อนแผนให้บรรลุตามเป้าประสงค์ที่วางไว้

จากแนวคิดของเสาหลักทั้งสาม โอสถสภาได้กำหนดโรดแมปความยั่งยืนไว้ 5 ด้านหลัก โดยมีการตั้งเป้าหมายในแต่ละด้านตามแผน 5 ปี (2563 – 2568) ไว้อย่างชัดเจน ได้แก่

1. การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน (Sustainable Supply chain) โอสถสภามุ่งมั่นจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน และช่วยยกระดับความรู้และช่วยพัฒนาศักยภาพให้กับคู่ค้ารายย่อย โดยเฉพาะเกษตรกรที่ปลูกสมุนไพรซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตให้แก่บริษัท สมุนไพรที่สามารถปลูกและเติบโตในประเทศได้นั้น โอสถสภาจะลดการนำเข้า โดยใช้วัตถุดิบสมุนไพรจากแหล่งผลิตในประเทศ สำหรับสมุนไพรที่ไม่สามารถปลูกในประเทศได้ ก็จะส่งเสริมการศึกษาทดลองปลูกในประเทศอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการประเมินด้านความยั่งยืน และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ดีในการดำเนินธุรกิจให้แก่คู่ค้าอีกด้วย

2. การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภค (Consumer Health & Well-being) โอสถสภามุ่งมั่นที่จะส่งมอบสินค้าที่ดีต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภค โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 5 ปี 100% ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจะมีส่วนประกอบของน้ำตาลน้อยลง และ 50% ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและลูกอมจะเป็นสูตรปราศจากน้ำตาล ที่ผ่านมา ได้เริ่มปรับลดปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์บางรายการแล้ว อาทิ ผลิตภัณฑ์แบรนด์โบตัน นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์สุขภาพที่ดีให้กับคนไทย

3. การใช้บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน (Sustainable Packaging) เนื่องจากมีการบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนจึงเป็นหัวใจสำคัญของการลดปริมาณขยะ โอสถสภามีเป้าหมายอย่างชัดเจนว่า ภายในปี 2573 ผลิตภัณฑ์ของสินค้าในเครือทั้งหมดจะใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและเพิ่มอัตราการรีไซเคิลพลาสติกในประเทศไทย

4. การบริหารจัดการน้ำในกระบวนการผลิต (Water Management) น้ำเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเครื่องดื่ม และเป็นทรัพยากรสำคัญที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนท้องถิ่น โอสถสภาจึงให้ความสำคัญกับการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โอสถสภาตั้งเป้าลดการใช้น้ำในการผลิตลงให้ได้ 40% แม้จะเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง แต่ด้วยความมุ่งมั่น และการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โอสถสภาจึงพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายดังกล่าว

5. การบริหารจัดการพลังงานและสภาพภูมิอากาศ (Energy & Climate Change Management) โอสถสภามุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอดห่วงโซ่คุณค่าของบริษัท โดยวางเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่าภายในปี 2568 จะลดการใช้พลังงานสิ้นเปลืองให้ได้ 10% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 15% โดยเลือกใช้พลังงานทางเลือกต่างๆ อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวล รวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมการลดการใช้พลังงานและการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด

นอกจากนี้ ในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่ม ซึ่งมีปริมาณการบริโภคเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน โอสถสภาพร้อมเป็นอีกหนึ่งพลังในการช่วยลดปริมาณขยะ จับมือ กรุงเทพมหานคร กรมควบคุมมลพิษ กรมการค้าภายใน กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 และคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานของตำรวจ จัดทำโครงการ “Bottle to Bottle” หรือ “ส่งขวดแก้วสู่ขวดแก้ว” ส่งเสริมการนำขวดแก้วที่ใช้แล้วมารีไซเคิลเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตขวดใหม่ โดยจะเริ่มทดลองนำร่องในชุมชนย่านหัวหมาก ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งของโอสถสภาในปลายปี 2564

“ผลิตภัณฑ์ของโอสถสภาเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยมาอย่างยาวนานกว่า 130 ปี ความผูกพันกับสังคมไทยทำให้โอสถสภามีความรับผิดชอบและมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กร ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง สังคม และสิ่งแวดล้อม เราเชื่อว่าด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนและการผลักดันแผนการสร้างความยั่งยืนด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ จะทำให้โอสถสภาสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเติบโตอย่างมั่งคงและยั่งยืนร่วมกับสังคมไทย” นางวรรณิภา กล่าวสรุป

โอสถสภาปรับโครงสร้างทีมบริหารใหม่

นายสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอชื่อเพิ่มกรรมการอิสระจำนวน 2 ท่าน ประกอบด้วย นายจรัมพร โชติกเสถียร และ พลเอกสุรพงษ์  สุวรรณอัตถ์ ซึ่งเป็นผู้มีคุณวุฒิและประสบการณ์ เป็นที่รู้จักและยอมรับ เข้าร่วมเป็นกรรมการบริษัท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและร่วมกำหนดวิสัยทัศน์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของบริษัทในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการบริษัท เพิ่มจาก 15 ท่านเป็น 17 ท่าน โดยบริษัทจะจัดประชุม E-EGM นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติ ในวันที่ 5 สิงหาคม 2564

นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังมีมติให้จัดโครงสร้างการบริหารใหม่ เนื่องจาก นายธนา ไชยประสิทธิ์ รักษาการ CEO จะขึ้นไปดำรงตำแหน่ง รองประธานคณะกรรมการบริหารอาวุโส จึงได้แต่งตั้ง นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น Chief Executive Officer (CEO) หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เนื่องจากเป็นผู้บริหารมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์และร่วมขับเคลื่อนทีมบริหารโอสถสภาด้วยความแข็งแกร่งตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี พร้อมยกเลิกตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารงาน

พรธิดา บุญสา Chief Operating Officer และ Group Chief Financial Officer

และได้แต่งตั้ง นางพรธิดา บุญสา ขึ้นดำรงตำแหน่ง Chief Operating Officer และ Group Chief Financial Officer เพื่อช่วยขับเคลื่อนสายการปฏิบัติการ และดูแลสายงานด้านการเงินและบัญชีของกลุ่มบริษัทโอสถสภา เนื่องจากเป็นผู้มีประสบการณ์และคลุกคลีกับทีมปฎิบัติการผลิตและซัพพลายเชนของบริษัทอย่างแข็งแกร่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา โดยโครงสร้างการบริหารจัดการใหม่ของบริษัท จะมีผลตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป

สำหรับการเพิ่มกรรมการอิสระและการจัดโครงสร้างใหม่ครั้งนี้ จะทำให้โอสถสภามีความแข็งแกร่ง ด้วยโครงสร้างทั้งในส่วนของคณะกรรมการบริษัท และคณะผู้บริหาร ที่มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ ซึ่งจะนำเอาประสบการณ์ความเป็นมืออาชีพมาขับเคลื่อนโอสถสภาให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน