Pride Clinic ดูแลเชิงสุขภาพ เจาะกลุ่ม LGBTQ+

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ผนึกกำลังทีมแพทย์ด้านฮอร์โมนและศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เปิดตัว Pride Clinic เพื่อส่งมอบการดูแลเชิงสุขภาพในระยะยาว (Lifetime value) แก่กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้มีทางเลือกในการดูแลสุขภาพตามความต้องการเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนทางกายภาพ ไปจนถึงการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ ด้วยการบริบาลมาตรฐานบำรุงราษฎร์และความปลอดภัยสูงสุด

ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี บำรุงราษฎร์เคารพในความแตกต่างทั้งด้านเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม และเพศสภาพ อันเนื่องมาจากที่เรามีประสบการณ์ที่ยาวนานในการดูแลผู้ป่วยที่มีความหลากหลายจากทั่วโลก การเปิดตัว Pride Clinic จึงนับเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของบำรุงราษฎร์ในการเปิดโอกาสให้เกิดการเข้าถึงการรักษาที่ครบวงจร ปลอดภัย และได้มาตรฐาน และให้ความสำคัญในความเป็นส่วนตัวของผู้มารับบริการ อาทิ ข้อมูลประวัติการรักษา สถานที่ที่เป็นสัดส่วน และการไม่เปิดเผยตัวผู้มารับบริการ ให้แก่กลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศในทุกช่วงอายุ ภายใต้พื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเป็นบุคคลที่ดีที่สุดในแบบฉบับของตนเอง หรือ Be the best version of you และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ขอร่วมแสดงจุดยืนสนับสนุนเทศกาล “Pride Month” ในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อตอกย้ำถึงความเคารพต่อความหลากหลายทุกรูปแบบของมวลมนุษยชาติ

รศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากกระแสปัจจุบันที่มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีความมั่นใจ กล้าแสดงออกและมีมุมมองในการยอมรับนับถือผู้อื่นโดยไม่ใช้เรื่องของเพศสภาพ หรือรสนิยมส่วนตัวมาตัดสิน อีกทั้งจากประสบการณ์ของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของเราที่ได้พบปะพูดคุยกับกลุ่มคนที่หลากหลาย ทำให้พบว่ามีความต้องการรับการบริบาลจากกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงจากผู้ปกครองและญาติมิตร เริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษาทางด้านจิตวิทยา การเตรียมความพร้อมเรื่องฮอร์โมน การทำหัตถการ และการใช้ศัลยกรรมช่วยปรับแต่งลักษณะทางกายภาพ รวมถึงการผ่าตัดเปลี่ยนเพศด้วยวิธีที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง และการดูแลอย่างต่อเนื่องภายหลังการผ่าตัด ภายใต้การดูแลของทีมศัลยแพทย์และแพทย์ผู้ชำนาญการที่เกี่ยวข้องในทุกด้าน การเปิด Pride Clinic ในวันนี้ นับเป็นการบริบาลทางการแพทย์ล่าสุดของบำรุงราษฎร์ ที่มุ่งยกระดับให้ครอบคลุมและมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น แต่เรายังคงไว้ซึ่งคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยสูงสุดของผู้รับบริการทุกคน  

นพ. สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อและผู้ชำนาญการด้านฮอร์โมน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องสำคัญ เช่น ยังมีความเข้าใจผิด และมีความเสี่ยงในการซื้อยาคุมกำเนิดมารับประทานเอง เพื่อทดแทนฮอร์โมนในเพศหญิง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ Pride Clinic จึงได้รับการออกแบบให้เกิดการบริบาลแก่กลุ่มหลากหลายทางเพศที่ปลอดภัย โดยดูแลตั้งแต่ การใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อปรับลักษณะทางกายภาพหรือเตรียมความพร้อมเพื่อปรับเพศสภาพ (Hormone Therapy)ศัลยกรรมเพื่อปรับลักษณะทางกายภาพ  (Masculinizing Feminizing Procedures)การผ่าตัดเปลี่ยนเพศ (Gender-Affirming Surgery)การฝึกพูดเพื่อเปลี่ยนเสียงเป็นเพศหญิง (Voice Feminizing Therapy) และการผ่าตัดกล่องเสียง (Voice Feminizing Surgery)การดูแลรักษาด้านผิวพรรณ ความงามและรูปร่าง (Aesthetic and Skin) การดูแลสุขภาพจิต (Mental health) รวมถึงการออกแบบโปรแกรมสุขภาพแบบจำเพาะสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ (Checkup Program for Unisex) ในทุกช่วงวัย เป็นต้น ซึ่งดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในทุกขั้นตอน

ที่สำคัญทีมศัลยแพทย์ที่ต้องใช้หัตถการในการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ ยังมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี และทำการผ่าตัดมาแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 ราย ซึ่งแพทย์เฉพาะทางนี้ได้จบด้านศัลยกรรมตกแต่งหรือศัลยกรรมพลาสติก (Certified Board Plastic Surgeons) ในขณะที่ประเทศไทย ยังมีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดจำนวนไม่มากนัก ซึ่งแพทย์ที่สามารถปฏิบัติงานควรเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีความเข้าใจและใส่ใจในสุขภาพของคนกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะ จึงจะสามารถให้คำปรึกษาด้านสุขภาพได้ ซึ่ง Pride Clinic ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ

นพ. รัฐภรณ์ อึ๊งภากรณ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านผิวหนังและความงามศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ บางกระเจ้า กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ยังมีบริบาลดูแลในช่วงการพักฟื้นภายหลังผ่าตัดอย่างต่อเนื่อง โดยมีทีมที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ภายใต้โครงการรักษ ตั้งอยู่ที่บางกระเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในเอเชีย ด้วยจุดเด่นคือการผสมผสานระหว่างการนำเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ (Advanced Medical Science) มาใช้ร่วมกับ ศาสตร์การแพทย์แบบองค์รวม (Holistic Wellness) ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และจัดโปรแกรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบุคคล ซึ่งดูแลโดยแพทย์ และผู้ชำนาญการด้านศาสตร์การแพทย์แขนงต่างๆ ไว้อย่างครอบคลุม ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ รวมไปถึงการปรับสมดุลของร่างกาย ดูแลผิวพรรณ ความงาม น้ำหนักตัว และการชะลอวัยให้ดูดีในแบบฉบับของแต่ละบุคคล

อย่างไรก็ดี ในฐานะต้นแบบและแรงบันดาลใจของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ เกรซ นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมากลุ่ม LGBTQ+ มีทางเลือกจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ จึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีวิสัยทัศน์ในการให้บริการครบวงจรเพื่อเป็นทางเลือกให้กับกลุ่ม LGBTQ+ ได้เป็นตัวของตัวเองในแบบที่ปลอดภัย และได้รับการดูแลจากแพทย์ที่มีประสบการณ์โดยตรง

เขื่อน ภัทรดนัย เสตสุวรรณ กล่าวว่า บริการของ Pride Clinic นอกจากมีความครอบคลุมความต้องการแล้ว ทางโรงพยาบาลฯ ยังให้ความสำคัญกับข้อมูลความเป็นส่วนตัว ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับกลุ่มนี้ ทั้งยังมีบริการให้คำปรึกษาทางด้านจิตเวชด้วย

รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น กล่าวว่า ยังมีคนในกลุ่ม LGBTQ+ อีกมากที่กลัว และไม่กล้าใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ ซึ่งทำให้เกิดปัญหากับคุณภาพชีวิตตามมา Pride Clinic จึงเป็นพื้นที่ที่ทำให้บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ มาแล้วรู้สึกสบายใจ และปลอดภัยเพราะเป็นพื้นที่ที่สะท้อนถึงความเท่าเทียมอย่างแท้จริง สำหรับคนที่ไม่ใช่กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ อย่างในกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองก็สามารถมาใช้บริการที่นี่เพื่อขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เรียนรู้ และทำความเข้าใจในการอยู่ร่วมกับบุตรหลานที่เป็น LGBTQ+ ได้อย่างมีความสุข

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 1378 หรือติดต่อคลินิก Pride (Pride Clinic) ตั้งอยู่ที่อาคาร A (อาคารคลินิก) ชั้น 16เคาน์เตอร์ A (16A) โดยเปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.00-20.00 น. หรือ email: [email protected]

รพ.บำรุงราษฎร์ เปิดให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ประชาชน

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งที่พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ เพื่อให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ผู้ป่วยของโรงพยาบาลฯ รวมถึงประชาชนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน ที่ได้ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมเรียบร้อยแล้ว

จากข้อมูลปัจจุบันของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้ารับฉีดวัคซีนโควิด-19 เต็มจำนวนตามที่ได้รับการจัดสรรจากภาครัฐแล้วโดยเริ่มฉีดในวันที่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 พร้อมกันกับโรงพยาบาลและจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศ เป็นเวลา 54 วันต่อเนื่องโดยไม่มีวันหยุด ซึ่งเป็นไปตามระยะเวลาที่รัฐกำหนดให้ประชาชนกลุ่มแรกเข้ารับบริการ รวมจำนวนกว่า 15,000 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ มีผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 100 ปี จำนวน 3 ราย ได้ลงทะเบียนขอเข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ถือเป็นแบบอย่างที่ดีและยังช่วยกระตุ้นให้กลุ่มผู้สูงอายุกล้าที่จะตัดสินใจเข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและลดการเจ็บป่วยขั้นรุนแรงหากป่วยเป็นโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของวัคซีน ความมั่นใจในศักยภาพของทีมแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และคุณภาพมาตรฐานของโรงพยาบาลฯ โดยผู้สูงอายุกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้เตรียมความพร้อมในทุก ๆ มิติ อาทิ ทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ การให้บริบาลทางการแพทย์ขั้นสูง คุณภาพมาตรการการดูแลผู้สูงวัยและผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับวัคซีนเป็นสำคัญ

เภสัชกรหญิงอาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎ

เภสัชกรหญิงอาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า นับตั้งแต่บำรุงราษฎร์ทราบถึงแนวทางการกระจายฉีดวัคซีนตามที่ภาครัฐจัดสรรให้แก่ประชาชนผ่านจุดฉีดวัคซีนของโรงพยาบาลต่างๆ นั้น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์พร้อมที่จะสนับสนุนเพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง จึงได้วางแผนถึงกระบวนการในการฉีดวัคซีนอย่างเป็นระบบเพื่อความพร้อมในการเปิดให้บริการแก่ประชาชนในระยะแรก สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป โดยบำรุงราษฎร์ได้คำนึงถึงคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล พร้อมจัดทีมแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์และสหสาขาวิชาชีพเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำและดูแลผู้มาใช้บริการอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอน ทั้งก่อนการฉีด ระหว่างการฉีด โดยเฉพาะหลังการฉีด 30 นาที จำเป็นต้องมีการสังเกตอาการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และในกรณีที่ผู้เข้ารับบริการฉีดวัคซีนมีเหตุจำเป็นที่ต้องออกนอกบริเวณ ควรต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบ และหลังจากครบ 30 นาทีก่อนกลับบ้านจะมีการวัดสัญญาณชีพเพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับการฉีดมีภาวะปกติ ในกรณีหากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ จะมีแพทย์และทีมฉุกเฉินประจำจุดฉีดวัคซีน ห้องปฐมพยาบาล พร้อมด้วยรถเข็นฉุกเฉิน (emergency cart) ที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ตลอดจนยาและเวชภัณฑ์ตามมาตรฐานสากลที่สามารถให้การดูแลช่วยเหลือได้ทันท่วงที นอกจากนี้ โรงพยาบาลฯ ยังอำนวยความสะดวก โดยจัดลำดับการรับบริการ แบบทางเดียว ให้ผู้มารับวัคซีนอย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่างและลดการสัมผัสที่ไม่จำเป็น รวมถึงห้องฉีดวัคซีนที่ให้บริการครั้งละหนึ่งคนไม่ปะปนกับใคร มีฉากกั้นเพื่อความเป็นส่วนตัวอีกด้วย

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้จัดจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ชั้น 10 อาคาร A (อาคารคลินิก) ตั้งแต่เวลา 8.00 – 16.00 น. โดยมีการกำหนดขั้นตอนการรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ดังนี้

  1. ผ่านจุดคัดกรองโควิด-19 ตามมาตรการด้านสาธารณสุข
  2. จุดลงทะเบียน โดยให้แสดงบัตรประชาชน พร้อมหลักฐานการนัดฉีดวัคซีนจากโรงพยาบาลฯ หรือหมอพร้อม
  3. ตรวจคัดกรอง วัดสัญญาณชีพและลงนามในใบยินยอมรับวัคซีน
  4. รอรับการฉีดวัคซีน
  5. ฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยพยาบาลวิชาชีพ
  6. พักสังเกตอาการ 30 นาที ขอความร่วมมือในการอยู่พักสังเกตอาการจนครบตามเวลาที่กำหนด โรงพยาบาลฯ มีการเตรียมพร้อมตามมาตรฐานในกรณีเกิดอาการไม่พึงประสงค์
  7. จุดตรวจสอบก่อนกลับ วัดสัญญาณชีพ
  8. ข้อแนะนำหลังฉีดวัคซีน การนัดฉีดวัคซีนเข็มที่ 2
  9. ลงข้อมูลบน ‘หมอพร้อม’ และสมัครแอปพลิเคชัน Bumrungrad เพื่อรับข้อมูลข่าวสารจากทางโรงพยาบาลฯ
  10. เสร็จสิ้นขั้นตอนการฉีดวัคซีน
นพ. อชิรวินทร์ จิรกมลชัยสิริ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลวัคซีนโควิด-19, หัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม, แพทย์ผู้ชำนาญการด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

นพ. อชิรวินทร์ จิรกมลชัยสิริ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลวัคซีนโควิด-19, หัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม, แพทย์ผู้ชำนาญการด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้คำแนะนำแก่ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง ว่าควรได้รับการฉีดวัคซีน หากไม่แพ้ส่วนประกอบของวัคซีน เนื่องจากผู้ที่มีโรคประจำตัวดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงถึงชีวิตหากติดเชื้อโควิด- 19 ได้ สำหรับอาการแพ้วัคซีนนั้นแยกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ 1. การแพ้วัคซีนรุนแรง (anaphylaxis) 2. ผลข้างเคียงของวัคซีน (side effects) หรือ 3. อาการเป็นลม (vasovagal syncope) ที่อาจเกิดจากความเครียด เจ็บปวด ทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติหยุดทำงานชั่วคราว จนเกิดอาการหน้ามืด ใจสั่น เป็นลม หมดสติได้ โดยมีวิธีสังเกตอาการ และวิธีปฏิบัติตัว ดังนี้

1. ภาวะแพ้วัคซีน เป็นปฏิกิริยาของร่างกายผ่านระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 มักเกิดขึ้นภายในเวลา 15-30 นาทีหลังรับวัคซีน ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อยที่สุดคือ ผื่นคันคล้ายลมพิษ อาจมีอาการบวม นอกจากนี้อาการที่พบร่วมกันได้แก่ หายใจเหนื่อย แน่นหน้าอก ชีพจรเต้นเร็ว คลื่นไส้อาเจียน ความดันโลหิตต่ำ หมดสติ โดยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นหลายระบบพร้อมกัน ซึ่งจำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาลด้วยการให้ยาฉีดที่เป็น Adrenaline หรือ Epinephrine แล้วอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในเวลา 24 ชั่วโมง

2. ผลข้างเคียงของวัคซีน มักจะเกิดขึ้นหลังฉีดไปหลายชั่วโมง จนถึง 3 วัน อาการที่เกิดขึ้น เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดบวมแดงบริเวณที่ฉีด อาการมักหายไปเองได้ โดยไม่ต้องให้การรักษา หรือรักษาตามอาการ แต่หากมีอาการปวดมาก อาจประคบด้วยความเย็นบริเวณที่ฉีดวัคซีน แล้วให้ยาแก้ปวดพาราเซตตามอล

3. อาการเป็นลม เป็นอาการหน้ามืดที่สามารถพบได้บ่อยในผู้ที่มีสุขภาพร่างกายหรือจิตใจอ่อนแอ เช่น คนป่วย อดนอน หิว หรืออยู่ในสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ได้รับการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน แสงแดด ความเครียด ความวิตกกังวล ยืนเป็นเวลานาน เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หน้าซีด เหงื่อแตก ความดันโลหิตลดต่ำลงและเป็นลมหมดสติได้ โดยภาวะดังกล่าวสามารถหายได้เอง หากได้พักผ่อน อยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี และไม่มีความจำเป็นต้องได้ยารักษา

ในกรณีที่ผู้มาฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้วมีผลข้างเคียงหรือแพ้เล็กน้อยแบบไม่รุนแรง สามารถรับวัคซีนเข็มที่สองได้ตามกำหนด ไม่มีข้อห้ามในการรับฉีดวัคซีนเข็มต่อไป แต่สำหรับกรณีที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้วมีอาการแพ้ชนิดรุนแรง (anaphylaxis) แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีนเข็มที่สอง เพื่อหาสาเหตุว่าอาการแพ้ชนิดรุนแรงเกิดจากอะไร และปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่สองเป็นอีกยี่ห้อที่มีส่วนผสมที่ต่างจากวัคซีนเข็มแรก ซึ่งสาเหตุที่แพ้วัคซีนชนิดรุนแรงมักเกิดจากส่วนประกอบที่มีอยู่ในวัคซีน ที่พบบ่อยคือ Polyehtylene glycon (PEG) ซึ่งวัคซีน/ยาที่มีส่วนประกอบของ PEG ได้แก่ วัคซีนชนิด mRNA vaccine (Pfizer หรือ Moderna) ยาฉีด methylprednisolone ยาคุมชนิดฉีด (Depo-Provera) ยาระบาย miralax หากมีประวัติแพ้รุนแรงต่อกลุ่มนี้ อาจให้วัคซีนกลุ่มอื่น เช่น Sinovac vaccine เพราะไม่มีส่วนผสมเหล่านี้อยู่ อีกส่วนประกอบอื่นในวัคซีนที่อาจแพ้ คือ polysorbate ซึ่งมีรูปร่างคล้าย PEG ทำให้อาจพบการแพ้ร่วมกันได้ (cross-reactivity) ซึ่งวัคซีนที่มีส่วนประกอบของ polysorbate ได้แก่ ตับอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ วัคซีนปอดบวม วัคซีนโควิด -19 ของ AstraZeneca, Sputnik-V, Johnson & Johnson

หากพบว่ามีอาการรุนแรงหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 ควรรีบพบแพทย์ทันที หรือรับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์ข้อมูลวัคซีนโควิด-19 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โทร. 1378 และสามารถติดตามบทความสุขภาพของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้ที่ https://www.bumrungrad.com/th/centers/covid19-vaccine-Information