รร.โนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์ เปิด “โฮสพิเทล”

โรงพยาบาลนวเวช ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 โดยร่วมกับ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์ เปิด โฮสพิเทล (Hospitel) เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มอาการไม่รุนแรงหรือกลุ่มสีเขียว ภายใต้มาตรฐานการให้บริการของโรงพยาบาลนวเวช ที่มีความพร้อมทั้งทางด้านศักยภาพในการรักษา และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการรักษา

ผู้ป่วยที่จะเข้ารับบริการจะต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปี สำหรับผู้ป่วยที่มีผลตรวจที่ได้รับการรับรองการติดเชื้อโควิดจากโรงพยาบาลอื่นสามารถเข้ารับบริการได้ โดยต้องได้รับการประเมินอาการจากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลนวเวชก่อน เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่3 กันยายน 2564 เป็นต้นไป

โรงพยาบาลนวเวช มุ่งให้บริการทางการแพทย์ที่ดีและเข้าถึงง่าย ดูแลสุขภาพของทุกคนอย่างเข้าอกเข้าใจ ด้วยบริการทางการแพทย์ที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย และทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ พร้อมก้าวเป็นโรงพยาบาลศูนย์กลางทางการแพทย์ของชุมชน สอบถามรายละเอียดการเข้ารับบริการได้ที่ โทร. 02 483 9999 หรือ www.navavej.com

เมื่อลูกมีปัญหาการเรียน… คุณพ่อคุณแม่ต้องแก้อย่างไร

ปัญหาเรื่องการเรียนของลูกดูเหมือนจะเป็นปัญหาหนักใจของคุณพ่อคุณแม่ เมื่อลูกอ่านเขียนช้า เรียนไม่ทันเพื่อน หลายคนคิดไม่ตกว่าจะแก้ไขอย่างไรดี พญ.ดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว กุมารแพทย์ที่ปรึกษาศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช และเจ้าของเพจ หมอปุ๊ก Doctor For Kids จึงมีคำแนะนำดี ๆ มาฝาก โดยยกเคสของคุณแม่ท่านหนึ่งที่ลูกชายมีปัญหาการเรียน นำมาบอกเล่าแบ่งปันให้เห็นเป็นตัวอย่าง

หมอปุ๊กเล่ามีคุณแม่ท่านหนึ่งถามว่าลูกชายเรียนอยู่ชั้น ป.2 กาลังจะขึ้นชั้น ป.3 เป็นเด็กฉลาดเฉลียว ร่าเริงแจ่มใส เรียนรู้อะไรเร็ว ช่างพูดช่างคุย ช่างซักช่างถาม ช่วยเหลือตัวเองดี ดูแล้วก็เหมือนกับเด็กวัยประถมทั่วๆ ไป แต่มีปัญหาของลูกอยู่อย่างหนึ่งที่คุณแม่ไม่เข้าใจ ก็คือจะขึ้นชั้น ป.3 แล้ว ทำไมลูกถึงยังอ่านเขียนหนังสือไม่ได้เลย พยัญชนะไทย 44 ตัวก็ยังจำได้ไม่แม่น ไม่นับตัวสะกด ผันวรรณยุกต์ต่าง ๆ จำสับสนปนเปกันไปหมด

คุณแม่เคี่ยวเข็ญ จับมาสอนให้ท่องจำแค่ไหน ไม่นานก็ลืม ต้องมาสอนจำพยัญชนะกันใหม่ตลอด พอเอามารวมตัวสะกดให้เป็นคำ ใส่วรรณยุกต์ ลูกสับสนมาก อ่านเขียนผิดซะมากกว่าถูก จะว่าลูกไม่ฉลาด สติปัญญาไม่ดี ก็ดูจะไม่ใช่ เพราะเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันจะจำได้ดี ดูจะฉลาดเอาตัวรอดเก่ง ตอนนี้มีปัญหาคือ เวลาสอนการบ้านลูกทีไร คุณแม่โมโหทุกที ดุว่าไปบ่อยๆ “แค่นี้ทำไมถึงทำไม่ได้” “มันยากเย็นอะไรหนักหนา” ลูกกลัวคุณแม่ ไม่อยากอ่านเขียน คอยจะเลี่ยง ทำใหัความสัมพันธ์แม่ลูกไม่ดี

ที่โรงเรียน คุณครูแจ้งให้คุณแม่ทราบว่า ลูกเรียนวิชาอ่านเขียนได้ช้า เรียนวิชาการไม่ทันเพื่อนในห้อง แต่พวกวิชาวาดรูป พละศึกษา วิชาที่ต้องลงมือทำสิ่งต่างๆ เด็กทำได้ดีเท่าหรือจะดีกว่าเพื่อนร่วมชั้น คุณครูจึงช่วยด้านการเรียนโดยในเวลาว่างครูจะให้มาฝึกเขียนอ่านแยกต่างหากให้เป็นพิเศษ แต่เด็กก็ยังอ่านเขียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร พอจบชั้น ป.2 คุณครูประจำชั้นก็แนะนำให้คุณแม่พาลูกไปหาคุณหมอเพื่อดูว่าลูกมีปัญหาการเรียนรู้ หรือไอคิวบกพร่องอะไรหรือเปล่า พอรู้สาเหตุแล้ว ครูจะได้ช่วยเหลือให้ถูกจุด

เมื่อฟังคุณแม่เล่ามาแบบนี้ ในเบื้องต้น หมอปุ๊กจึงคิดว่าปัญหาหลักของลูกชายก็คือเรื่องปัญหาการเรียน คือเรียนรู้ทางวิชาการ ด้านการอ่าน การเขียนได้ช้ากว่าเพื่อนวัยเดียวกันทั้งๆ ที่ครูและแม่ก็ใส่ใจสอนให้ และถือว่าโชคดีที่ขณะนี้ เด็กไม่มีปัญหาพฤติกรรมหรือปัญหาจิตใจด้านอื่นๆ

หมอปุ๊กได้กล่าวถึงปัญหาการเรียนของเด็กว่ามีสาเหตุหลัก 3 ด้าน คือ

1.จากตัวเด็กเอง เช่น โรคซน สมาธิสั้น โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning disability) หรือแอลดี สติปัญญาบกพร่อง ปัญหาทางจิตใจอารมณ์ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า

2.จากครอบครัว เช่น การเลี้ยงดูไม่เอื้อต่อการเรียนของเด็ก รวมไปถึงขาดปัจจัยในการสนับสนุนการเรียน บรรยากาศครอบครัวเคร่งเครียด มีปัญหาความสัมพันธ์ในบ้าน

3.จากโรงเรียน สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้ตามวัย เช่น ระบบการเรียนการสอนของโรงเรียน คุณสมบัติ ความสามารถ และทักษะในการสอนของคุณครู ความสัมพันธ์กับคุณครูและเพื่อนที่โรงเรียน

สำหรับสาเหตุของปัญหาการเรียนที่หมอปุ๊กนึกถึงมากที่สุดสำหรับเคสนี้ ก็คือ “โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ ” หรือ “แอลดี” ซึ่งคำกว่าแอลดีนี้เป็นคำเรียกรวมของความบกพร่องของทักษะ 3 ด้านในการเรียน นั่นคือ 1. ทักษะการอ่าน 2. ทักษะการเขียนและการสะกดคำ 3. ทักษะการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์

หมอปุ๊กได้แนะนำให้คุณแม่พาลูกไปปรึกษาจิตแพทย์เด็กหรือกุมารแพทย์ เพื่อทำการประเมิน และวินิจฉัยสาเหตุของปัญหาการเรียนของลูก ซึ่งแพทย์จะมีขั้นตอนการดูแลและช่วยเหลือเด็ก โดยซักประวัติเพิ่มเติมจากคุณพ่อคุณแม่ คนในครอบครัวที่เกี่ยวขัองกับเด็กและตัวเด็ก ตรวจร่างกาย ตรวจประเมินสภาพจิตใจของเด็ก และขอข้อมูลปัญหาการเรียนของเด็กจากคุณครู

ตามมาตรฐานการวินิจฉัยโรคแอลดีจะต้องตรวจประเมินระดับสติปัญญาร่วมกับตรวจแบบทดสอบประเมินความถูกต้องในการอ่านและสะกดคำ (Wide- Range -Achievement test) ฉบับภาษาไทย ซึ่งทำโดยนักจิตวิทยาคลินิก นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการช่วยเหลือเด็กโรคแอลดี ก็คือ เด็กแอลดีอาจจะมีภาวะอื่นๆเกิดร่วมด้วย เช่น โรคซน สมาธิสั้น โรควิตกกังวล การขาดแรงจูงใจในการเรียน หรือการมองเห็นคุณค่าในตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง ฯลฯ ซึ่งภาวะที่พบร่วมเหล่านี้ควรได้รับการช่วยเหลือ ช่วยแก้ปัญหาให้เด็กไปพร้อมๆ กับการช่วยเหลือทางด้านการเรียน ผลการรักษาจึงจะครอบคลุมและได้ผลดีที่สุด

หมอปุ๊กกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเด็กแล้ว การเรียนเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆ ต่อการวางรากฐานชีวิตในอนาคตของเด็กคนหนึ่งเลยทีเดียว ไม่จำเป็นที่เด็กจะต้องแข่งขันกันเรียนอย่างเอาเป็นเอาตายให้ได้ที่หนึ่งในระดับโรงเรียนหรือระดับประเทศ เด็กทุกคนไม่จำเป็นต้องเก่งวิชาการขนาดนั้น แต่หากเด็กคนใดจะเรียนได้ดีระดับนั้นโดยมีความสุขในการเรียน นั่นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี น่าชื่นใจของพ่อแม่ แต่เด็กทุกคนต้องสามารถเรียนรู้ มีทักษะพื้นฐานในการอ่านเขียน การค้นคว้า การคิดวิเคราะห์เหตุผล เพื่อจะได้ต่อยอดหาความรู้ในสายงานต่างๆ ตามความถนัดความชอบต่อไป เมื่อพบว่าเด็กมีปัญหาการเรียนตั้งแต่วัยเด็กเล็ก วัยประถม พ่อแม่และครูก็ไม่ควรเพิกเฉยหรือปล่อยปละละเลย คิดว่าเด็กยังเล็ก ไม่เป็นไร เพราะยิ่งปล่อยไว้นาน โตขึ้น ปัญหาการเรียนของเด็กจะยิ่งแก้ไขยากขึ้นๆ ดังนั้น หากพ่อแม่และครูพบปัญหาการเรียนของเด็กเล็กและไม่สามารถแก้ไขเองได้ ก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เขี่ยวชาญ ซึ่งจะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาและการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดและครบวงจร ทั้งที่ตัวเด็ก ครอบครัว และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น

โรงพยาบาลนวเวช มุ่งมั่นให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและเข้าถึงง่าย พร้อมดูแลสุขภาพของผู้หญิง แม่ และเด็ก อย่างเข้าอกเข้าใจ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคและสุขภาพเด็ก สามารถขอรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช โทร.02 483 9999 หรือ www.navavej.com

รพ.นวเวช สนับสนุนทีมบุคลากรทางการแพทย์ ตรวจ ติดตามอาการผู้ป่วยโควิด-19

นางพอฤทัย ณรงค์เดช กรรมการ บริษัท นวเวช อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นายทินกร ปลอดภัย นายกสโมสรกีฬามีนบุรี และ นายทวีศักดิ์ คิ้วทอง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี เยี่ยมชมพื้นที่ของวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรีที่ได้ปรับมาเป็นศูนย์พักคอย (Community Isolation) รองรับผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว โดยมีโรงพยาบาลนวเวชเป็นผู้บริหารจัดการผู้ป่วย สนับสนุนทีมบุคลากรทางการแพทย์ ตรวจ ติดตามอาการ และให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยผ่านทางหน้าจอแบบออนไลน์ (Tele-Medicine)

สำหรับศูนย์พักคอยวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี ตั้งอยู่ที่เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร จัดตั้งขึ้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว (ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย) ที่อยู่ระหว่างรอส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 30 กรกฏาคม 2564 เป็นต้นไป

โรงพยาบาลนวเวช มุ่งมั่นให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและเข้าถึงง่าย พร้อมก้าวเป็นโรงพยาบาลศูนย์กลางทางการแพทย์ของชุมชน โทร.02 483 9999 หรือ  www.navavej.com

ต้อนรับเดือนของคุณแม่ จัดแพ็กเกจ Happy Mom ตรวจสุขภาพ

โรงพยาบาลนวเวช โรงพยาบาลย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา ที่มุ่งให้บริการทางการแพทย์ที่ดีและเข้าถึงง่าย พร้อมดูแลด้วยความห่วงใย เชิญชวนคุณแม่และสุภาพสตรีมาตรวจสุขภาพต้อนรับเดือนสิงหาคม กับ แพ็กเกจ Happy Mom ในราคาพิเศษ 4,900 บาท จากราคาปกติ 12,530 บาท อาทิ ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจน้ำตาลในเลือด ตรวจไขมันในเลือด ตรวจโรคเกาต์ ตรวจการทำงานของไตและตับ ตรวจปัสสาวะ ตรวจคัดกรองโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจความยืดหยุ่นของหลอดเลือด เอกซเรย์ปอด ตรวจความหนาแน่นของกระดูกสันหลังและสะโพก ตรวจตา อัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบนและล่าง ตรวจฟัน และอื่นๆ รวม 30 รายการ ตั้งแต่วันนี้ 1 – 3สิงหาคม 2564 โดยสามารถเข้ารับบริการได้ถึง 31 ตุลาคม 2564 สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลนวเวช โทร.02 483 9999  www.navavej.com

หน้าฝนมาแล้ว… ภูมิแพ้หลบหน่อย

ช่วงหน้าฝนแบบนี้ ช่วงนี้ใครที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจอาจจะต้องรับมือหนักหน่อย เพราะโรคเหล่านี้จะมาเยือนเราบ่อยในหน้าฝน สาเหตุก็เพราะช่วงฝนตก อากาศจะมีความชื้นสูง และถ้าเจออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน และบางทีก็ต้องเข้าไปอยู่ในห้องที่เปิดแอร์เย็น ๆ ก็อาจทำให้มีอาการแพ้ง่ายขึ้น

พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยาโรงพยาบาลนวเวช จะมาให้ความรู้ว่าในช่วงหน้าฝนนี้ เราควรดูแลตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะกับเด็กเล็กซึ่งเป็นแต่ละทีอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว

ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่าโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง

1.โรคแพ้อากาศ หรือ จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis)

เกิดจากเยื่อบุโพรงจมูกมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนสัตว์ ละอองหญ้า เชื้อรา สารก่อระคายเคือง เช่น ฝุ่น PM2.5 ควันไฟ ธูป บุหรี่ และมลภาวะต่าง ๆ โดยเฉพาะท่อไอเสีย ซึ่งเด็ก ๆ มักจะมีอาการคัดจมูก คันจมูก จามบ่อย มีน้ำมูกใส ๆ ไอแบบคันคอ มีน้ำมูกไหลลงคอ กระแอมบ่อยๆ บางรายอาจมีอาการคันตาร่วมด้วย แต่จะไม่มีไข้ โดยอาการมักเป็น ๆ หาย ๆ ตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือตอนค่ำก่อนเข้านอน หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดโรคไซนัสอักเสบตามมาได้

2.โรคหอบหืด (Asthma)

เกิดจากหลอดลมตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากกว่าปกติ เช่นเดียวกันกับการแพ้อากาศ ทำให้เกิดอาการหลอดลมหดเกร็งและบวมเนื่องจากการอักเสบ หรือเมื่อโดนฝนติดหวัด ก็อาจกระตุ้นให้หอบหืดกำเริบได้เช่นกัน ซึ่งเด็ก ๆ มักมีอาการไอเหนื่อย ไอเวลาวิ่งเล่นออกกำลังกาย โดยเฉพาะไอตอนกลางคืน แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวกหายใจลำบาก หายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ อาการหอบเหนื่อยอาจเป็น ๆ หาย ๆ และเรื้อรังได้

3.โรคหลอดลมฝอยอักเสบ หรือ หลอดลมไว (Bronchiolitis) มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า3ปี

เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากการอักเสบบริเวณหลอดลมฝอย ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะ RSV (Respiratory syncytial virus) และไวรัสอื่น ๆ เช่น Influenza Parainfluenza Adenovirus Enterovirus และ Humanmetapneumovirus นอกจากนี้ ยังเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycoplasma ได้ด้วย ซึ่งเด็ก ๆ มักจะมีอาการไข้สูง น้ำมูก ไอ คล้ายไข้หวัดนำมาก่อน 2-3 วัน จากนั้นจะมีอาการไอเหนื่อย หายใจเหนื่อยหอบ เสมหะมากขึ้น และหายใจมีเสียงผิดปกติ มีเสียงวี๊ดได้ ซึ่งเด็ก ๆ จำเป็นต้องรักษาด้วยการพ่นยาขยายหลอดลม ล้างจมูก ดูดน้ำมูกเสมหะ จนถึงบางรายอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล

สำหรับในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ที่มีประวัติเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว อาจกระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้ จนถึงโรคหอบหืดได้

การหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้คือวิธีที่ดีที่สุด

เด็กไทยแพ้ไรฝุ่น แมลงสาบ และขนสัตว์ มากที่สุดตามลำดับ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงฝุ่นทั้งนอกบ้านและในบ้าน หลีกเลี่ยงการใช้พรม การมีตุ๊กตาหรือผ้าขนสัตว์ในบริเวณที่เลี้ยงเด็ก และรักษาความสะอาดของบริเวณบ้าน เด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ แนะนำให้ล้างจมูกเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่มีอาการ

การดูแลสุขภาพในหน้าฝน

  • ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
  • ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ พยายามหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความชื้นอย่างเฉียบพลัน เมื่ออากาศเย็นลงควรใส่เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ไม่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นจนเกินไป
  • หากโดนละอองหรือตากฝน ควรรีบอาบน้ำสระผมด้วยน้ำอุ่น เช็ดตัวเช็ดผมให้แห้งโดยไว
  • กินอาหารมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรงขึ้น
  • หากเพิ่งเดินผ่านอากาศร้อนจัด ๆ ควรต้องยืนพักในที่ร่มก่อนจะเปลี่ยนเข้าไปในบริเวณห้องแอร์ที่มีอากาศเย็น เพื่อให้ร่างกายและจมูกปรับสภาพ จะช่วยลดอาการกำเริบของภูมิแพ้ได้

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ในเด็ก สามารถขอรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช โทร. 02 483 9999 หรือ www.navavej.com

5 สาเหตุที่ลูกดื้อ ต่อต้าน ไม่เชื่อฟัง

โดยทั่วไปธรรมชาติของเด็กต้องการความรัก และการยอมรับจากคุณพ่อคุณแม่ อยากได้คำชมว่าเป็นเด็กดี น่ารัก รู้จักเชื่อฟังผู้ใหญ่ แต่หากลูกเรามักจะดื้อ ต่อต้าน ไม่เชื่อฟัง นั่นคือผิดวิสัยเด็ก และมีสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น

พญ.ดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว กุมารแพทย์ที่ปรึกษาศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช

พญ.ดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว กุมารแพทย์ที่ปรึกษาศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช และเจ้าของเพจ หมอปุ๊ก Doctor For Kids ได้เล่าถึงเหตุผลที่ทำให้ลูกดื้อและไม่เชื่อฟัง พร้อมทั้งมีวิธีแก้มาฝากคุณพ่อคุณแม่ด้วย คุณหมอบอกว่าจากประสบการณ์ที่ได้ดูแลเด็กดื้อ ต่อต้านที่พ่อแม่พามาปรึกษา พบว่า 5 สาเหตุสำคัญที่ทำให้ลูกดื้อ และไม่เชื่อฟังพ่อแม่ มีดังนี้

ข้อแรก เด็กไม่ได้รับความสนใจเมื่อทำตัวดี

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าโดยทั่วไปเด็กต้องการความรัก ความใส่ใจ คำพูดดีๆ จากจากพ่อแม่ แต่หากเด็กทำตัวดี เชื่อฟัง ว่านอนสอนง่ายมาเรื่อยๆ แล้วพ่อแม่กลับทำเฉย ไม่สนใจ เหมือนมองไม่เห็นการทำดีนั้น พอมาวันหนึ่ง ด้วยเหตุอะไรก็ตาม เด็กบังเอิญได้ทำตัวไม่ดี ดื้อ ไม่เชื่อฟัง อาละวาดโวยวายขึ้นมาสักครั้งสองครั้ง พ่อแม่รีบเข้ามาสนใจ ให้ความสำคัญเห็นเป็นเรื่องใหญ่ และบางทียังได้ของที่อยากได้ (ที่เวลาพูดขอดีๆ กลับไม่ได้) เพื่อเป็นการตัดรำคาญหรือติดสินบนให้หยุดดื้อ หยุดโวยวาย อาละวาด เอาแต่ใจ หากเป็นแบบนี้ เด็กจะเรียนรู้ที่จะทำตัวไม่ดีเวลาอยากได้ความสนใจหรือเวลาอยากได้อะไรจากผู้ใหญ่

วิธีแก้ พ่อแม่ให้ “ความสนใจทางบวก” เวลาลูกทำตัวดี

  • ให้เป็นคำชม ยิ้มให้ลูก พยักหน้าแสดงความสนใจ แสดงท่ารับรู้ ลูบศีรษะ กอด ฯลฯ ทำเช่นนี้บ่อยๆ ทุกครั้งที่ลูกทำตัวดี
  • การให้ความสนใจทางบวกกับลูกอย่างสม่ำเสมอ เป็นเสมือนการเติมพลังใจ สร้างแรงจูงใจในการทำตัวดีให้กับลูก เป็นการแสดงออกให้ลูกรู้ว่าคุณรับรู้คุณค่าในตัวเขา ตอบสนองความต้องการของลูกที่อยากได้การยอมรับ ความรัก ความสนใจจากพ่อแม่และผู้ใหญ่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความต้องการพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนต้องการ

ข้อสอง ลูกไม่ได้รับการสอนว่าพฤติกรรมที่ดีคืออะไร

บางบ้านไม่สอนอะไรว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ไม่มีการกำหนดขอบเขตพฤติกรรมที่ควรและไม่ควรทำในครอบครัว

วิธีแก้ สั่งสอนลูก ชี้แนะให้รู้จักขอบเขตที่ชัดเจนของพฤติกรรมที่ทำได้และทำไม่ได้

ตัวอย่างในการสอนลูก เวลาเห็นลูกทำตัวไม่เหมาะสมในเรื่องใดก็ตาม ควรพูดเตือนทันที อย่าปล่อยผ่านไป โดยให้พูดบอก “สั้นๆ ง่ายๆ” ใช้น้ำเสียง สีหน้ากลาง ๆ ไม่ใช้อารมณ์ แต่ท่าทางเอาจริง ลองฝึกพูดกับหน้ากระจกดูก่อนก็ได้ว่าหน้าตาท่าทางเราดูคุกคามลูกเกินไปมั๊ย หรือน้ำเสียงเราอ่อน ขาดความเด็ดขาด ตัองบาลานซ์

  • ให้พูดกับลูกสาววัย 4 ขวบ ที่กำลังแย่งของเล่นจากพี่ชายวัย6 ขวบ ว่า “หนูไม่แย่งของจากมือพี่ หนูขอพี่แล้วรอให้พี่ส่งของให้ค่ะ”
  • เมื่อลูกเอาเท้ายกขึ้นมาบนโต๊ะตอนกินอาหาร ให้พูดกับลูกว่า “โต๊ะไว้วางอาหาร ลูกเอาเท้าวางบนพื้นค่ะ”

ข้อสาม ลูกเห็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมจากพ่อแม่ และเกิดการเลียนแบบ

วิธีแก้ เตือนตัวเองว่าลูกจำและเรียนรู้จากเรา เราต้องเป็นต้นแบบของพฤติกรรมที่เหมาะสมให้กับลูก

ข้อสี่ ลูกโกรธ เศร้า หรือกังวล

เวลาเด็กมีความรู้สึกลบๆ พวกเขามักจะระบายอารมณ์ออกมาเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ดื้อ ต่อต้าน ก้าวร้าว ทำร้ายคนอื่น ทำลายข้าวของ

วิธีแก้ ก่อนที่จะพูดตำหนิหรือไม่พอใจลูก ให้ลองพิจารณาว่าช่วงนี้ลูกมีอารมณ์และการแสดงออกด้านอื่นที่เปลี่ยนไปจากเดิมด้วยหรือไม่ เช่น เงียบลง ดูหงอยๆ แยกตัว ไม่ร่าเริง กินน้อย นอนยาก ร้องไห้ง่ายกว่าเดิม หงุดหงิดง่าย ขี้โมโหกว่าเดิม ถ้าพ่อแม่สังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ให้ลองคุยกับลูกว่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ ลองถามดูว่าที่โรงเรียนเป็นยังไง ทั้งเรื่องครู เรื่องเพื่อน เรื่องการเรียน ถามไถ่ชีวิตลูก จะได้รู้สาเหตุที่ทำให้ลูกมีอารมณ์และการแสดงออกที่ผิดไปจากเดิม อาจจะช่วยชี้แนะลูกถ้าช่วยได้

ข้อห้า พื้นอารมณ์ของลูก

เด็กบางคนเป็นเด็กที่มีพื้นอารมณ์อ่อนไหว หงุดหงิดง่าย ปรับตัวยาก มีความคิดและอารมณ์ค่อนไปทางลบ เด็กกลุ่มนี้มักจะแสดงท่าทีต่อต้าน ไม่ร่วมมือกับคนอื่นอยู่บ่อยๆ มีความคับข้องใจง่าย จะแสดงพฤติกรรมถดถอย ทำตัวไม่สมวัย

วิธีแก้ พ่อแม่ควรทำความเข้าใจในเรื่องพื้นอารมณ์ของเด็ก และตอบสนองลูกให้เหมาะกับพื้นอารมณ์ของเค้า จะช่วยลดความคับข้องใจของลูกลงไปได้ ช่วยให้ลูกปรับตัวกับสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น

เมื่อคุณพ่อคุณแม่ทราบถึง 5 สาเหตุสำคัญที่ทำให้ลูกมีพฤติกรรมดื้อ ต่อต้าน ไม่เชื่อฟังแล้ว ลองนำไปใช้สังเกตลูกดูว่าเป็นแบบนี้หรือไม่ หากพบว่าใช่ ควรรีบปรับพฤติกรรมตัวเอง เน้นที่ พ่อแม่ปรับพฤติกรรมของตัวเองที่กระทำต่อลูก จะพบว่าลูกร่วมมือกับพ่อแม่มากขึ้น ต่อต้านลดลง ให้ค่อยๆ ปรับตัวเองและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่หากลูกยังมีพฤติกรรมดื้อ ต่อต้านเช่นเดิม แนะนำว่าควรปรึกษากุมารแพทย์หรือจิตแพทย์เด็กเพื่อประเมินสภาวะอารมณ์ จิตใจ ความคิด และการปรับตัวของลูก เพื่อได้รับการดูแลช่วยเหลือให้ตรงสาเหตุต่อไป

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคและสุขภาพเด็ก สามารถขอรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช โทร.02 483 9999 หรือ www.navavej.com

มอบฟ้าทะลายโจร บรรเทาอาการโควิด-19

ทีมงานจาก โรงพยาบาลนวเวช โรงพยาบาลย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา ที่มุ่งให้บริการทางการแพทย์ที่ดีและเข้าถึงง่าย มอบสมุนไพรฟ้าทะลายโจรให้กับสำนักงานเขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยจากการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ในพื้นที่เขตบึงกุ่ม ซึ่งยาสารสกัดฟ้าทะลายโจร และยาผงฟ้าทะลายโจร ได้รับการขึ้นทะเบียนในบัญชียาหลักฯ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2564 ยาดังกล่าวสามารถใช้รักษาผู้ป่วยโควิดที่มีอาการน้อยได้ โดยมี นายนันทพงศ์ แก้วศรี (กลาง) ผู้อำนวยการเขตบึงกุ่ม เป็นตัวแทนรับมอบ

แบคทีเรียร้ายในกระเพาะอาหาร…ภัยร้ายของกระเพาะอาหาร

ใครมีอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้องบ่อยๆ อย่านิ่งนอนใจ เพราะคุณอาจกำลังติดเชื้อเอช.ไพโลโร อยู่ก็เป็นได้ ซึ่งเชื้อนี้สามารถสร้างปัญหาให้เราได้ตั้งแต่อาการเล็กๆ น้อยๆ แบบปวดท้อง ท้องอืด ไปจนถึงโรคร้ายอย่างมะเร็งกระเพาะอาหาร

บทความตอนนี้จึงได้นำคำแนะนำของ นพ.ปารินทร์ ศิริวัฒน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมระบบโรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลนวเวช มาบอกเล่าให้ได้ทราบถึงอันตรายของเชื้อชนิดนี้ รวมทั้งการวินิจฉัยและรักษาหากติดเชื้อขึ้นมา

เอช.ไพโลไร (H pylori) เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ ถูกพบบนพื้นผิวของกระเพาะอาหารครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1984 โดย Barry J. Marshall and Robin Warren นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ปัจจุบันพบว่ามากกว่า 50% ของประชากรโลกมีการติดเชื้อเอช.ไพโลไร ซึ่งติดต่อผ่านทางน้ำลายและการกินอาหารร่วมกันโดยไม่ใช้ช้อนกลาง

การติดเชื้อเอช.ไพโลไร จะก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื้อกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก นำไปสู่การเกิดอาการไม่สบายท้อง มีอาการปวดท้อง อืดแน่นท้อง และก่อให้เกิดโรคในกระเพาะอาหารมากมาย เช่น โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น และเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

การวินิจฉัยการและการรักษาทำได้หลายวิธี ได้แก่ 1.การส่องกล้องในกระเพาะอาหาร (EGD) เพื่อตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ 2.การตรวจลมหายใจ (UBT) 3.การตรวจการติดเชื้อในอุจจาระ (Stool H pylori Antigen) แต่วิธีที่เป็นมาตรฐานในการตรวจวินิจฉัยคือ การส่องกล้องเพื่อเข้าไปตัดชิ้นเนื้อในกระเพาะอาหารมาตรวจ โดยวิธีการส่องกล้องในกระเพาะอาหารนั้นทำได้ไม่ยุ่งยาก เมื่อทำเสร็จแล้วพักสังเกตอาการเพียงครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงก็สามารถกลับบ้านได้ การส่องกล้องทางกระเพาะอาหารในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องนั้นนอกจากจะตรวจเรื่องของการติดเชื้อเอช.ไพโลไรแล้ว ยังสามารถตรวจว่ามีแผลในกระเพาะอาหารหรือมีมะเร็งกระเพาะอาหารหรือไม่

ปัจจุบันนี้ทางสมาคมโรคทางเดินอาหารแห่งประเทศไทยแนะนำให้ผู้ป่วยอายุเกิน 50 ปี ที่มีอาการปวดท้องเกิดขึ้นใหม่ ควรได้รับการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนทุกราย หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยการติดเชื้อเอช.ไพโลไรจะได้รับการรักษาโดยการให้ยายับยั้งการหลั่งกรดร่วมกับยาปฏิชีวนะ เมื่อได้รับการรักษาควรกลับมาตรวจยืนยันการติดเชื้อว่าได้หายขาดแล้ว

สําหรับผู้ที่สงสัยว่าอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบทางเดินอาหาร หรือคนในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ควรตรวจหาความเสี่ยง หรือปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันการเกิดโรคร้ายต่อไป

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร สามารถขอรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่โรงพยาบาลนวเวช โทร.02 483 9999 หรือ www.navavej.com

มาสำรวจตัวเองกันหน่อย คุณเป็นโรคนิ้วล็อกอยู่หรือเปล่า 

หลาย ๆ คนคงจะเคยมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้ว เหยียดนิ้วงอนิ้วไม่สะดวก หรือรู้สึกว่าการงอนิ้ว เหยียดนิ้ว มีความรู้สึก “กึ๊กๆ คล้ายสปริง และที่ร้ายสุดคือมีอาการเจ็บมากจนไม่สามารถงอนิ้วได้ ลักษณะอาการดังที่กล่าวมา เราเรียกภาวะนี้ว่าผู้ป่วยเป็น โรคนิ้วล็อก (Trigger Finger)

ร.ต.อ.นพ.วรพล เจริญพร แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ-ศัลยกรรมทางมือและจุลศัลยกรรม โรงพยาบาลนวเวช ไ

ร.ต.อ.นพ.วรพล เจริญพร แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ-ศัลยกรรมทางมือและจุลศัลยกรรม โรงพยาบาลนวเวช ได้กล่าวถึงสาเหตุ และวิธีรักษาโรคนิ้วล็อก สำหรับใครที่สงสัยว่าอาการที่ตัวเองเป็นอยู่ใช่นิ้วล็อกหรือเปล่า ลองสังเกตตัวเองจากข้อมูลเหล่านี้ดู และคุณหมอก็ยังมีวิธีป้องกันโรคนิ้วล็อกมาฝากด้วย

สาเหตุ โรคนิ้วล็อกเกิดมาจากความขยันในการทำงานบ้าน ทำสวน การเล่นกีฬา หรือเเม้กระทั่งการทำงานของพนักงานออฟฟิศ รวมถึงการเล่นโทรศัพท์มือถือที่ต้องใช้การงอนิ้ว เหยียดนิ้ว เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง

ความรุนเเรงของโรคนิ้วล็อก โรคนิ้วล็อกนั้นเกิดจากปลอกหุ้มเอ็นที่ใช้ในการขยับนิ้วมีอาการอักเสบ โดยอาการของนิ้วล็อกมี 4 ระยะ ดังนี้  

  • ระยะที่ 1 : เริ่มเเรกผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดบริเวณโคนนิ้วนั้น ๆ 
  • ระยะที่ 2 : รู้สึกว่าการงอนิ้ว เหยียดนิ้ว สะดุดโดยจะมีลักษณะคล้ายสปริงที่จะดีดอย่างรวดเร็วร่วมกับอาการปวดอย่างมากขณะขยับนิ้ว 
  • ระยะที่ 3 : ไม่สามารถเหยียดนิ้วเองได้ ต้องใช้นิ้วอื่นช่วยยืด
  •  ระยะที่ 4 : ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดรุนเเรงจนไม่สามารถทำการงอนิ้วนั้นได้อีกต่อไป

วิธีการป้องกัน 

  • เเช่มือในน้ำอุ่น 
  • งอนิ้ว เหยียดนิ้ว ให้สุดเบาๆ
  • ทำการบริหารนิ้วมือเเบบง่าย ๆ ทุกวัน
  • พักการใช้งานคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเมื่อนิ้วมือมีอาการเหนื่อยล้า
  • หลีกเลี่ยงการถือของหนักเเละการกำมือเเน่น ๆ เช่น บิดผ้า การตีเทนนิส การตีกอล์ฟ เป็นต้น 

การตรวจรักษา 

เมื่อมีอาการหรือพบผู้ที่มีอาการดังกล่าวควรมาพบเเพทย์ เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจวินิจฉัย การรักษาให้เหมาะสม และไม่ให้การดำเนินของโรครุนเเรงจนเกินไป ทำให้บั่นทอนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เมื่อเเพทย์ได้ทำการวินิจฉัยเเล้วจะเเบ่งการรักษาตามความรุนเเรงของอาการ ดังนี้

  • การทานยาเเก้อักเสบ
  • การประคบร้อน กายภาพบำบัด หรือการดามนิ้ว
  • การฉีดยาสเตียรอยด์ที่ปลอกหุ้นเอ็น
  • หากผู้ป่วยยังไม่ตอบสนองต่อการรักษา การรักษาลำดับต่อไปคือการผ่าตัด ซึ่งมีทางเลือก ดังนี้
  • การเจาะรูใช้เข็มเปิดปลอกหุ้นเอ็น คือการผ่าตัดแบบแผลเล็กที่ใช้อุปกรณ์ขนาดเล็ก โดยมีแผลเท่ากับขนาดของรูเข็ม และผู้ป่วยฟื้นตัวไว 
  • การผ่าตัดเปิดปลอกหุ้นเอ็น เป็นวิธีการมาตรฐานที่เปิดแผลขนาด 3-6 มม. เพื่อเข้าไปทำการตัดพังผืดที่กดหุ้มเส้นเอ็น ผู้ป่วยจะสามารถกลับไปทำงานได้ปกติทันทีหลังผ่าตัด 

โดยการรักษาเเต่ละวิธีการจะมีความเหมาะสมต่อผู้ป่วยที่เเตกต่างกันไป แพทย์เฉพาะทางจะให้คำปรึกษาเเก่ผู้ป่วยโดยเเจ้งรายละเอียด ข้อดี-ข้อเสียของการรักษาเเละร่วมตัดสินใจไปพร้อมกับผู้ป่วย

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคนิ้วล็อก สามารถขอรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ศูนย์กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ (Musculoskeletal Center) โรงพยาบาลนวเวช โทร. 02 483 9999 หรือ www.navavej.com

เบาหวานกับโควิด ชีวิตไปทางไหน

ในช่วงนี้ที่โควิด-19 ยังคงระบาดและมีผู้เสียชีวิตสะสมเพิ่มขึ้นทุกวัน มีข้อมูลที่ทำให้คนเป็นเบาหวานรู้สึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย นั่นก็คือ ผู้ป่วยโควิดที่เสียชีวิตหลายคนถูกระบุว่ามีประวัติเป็นเบาหวานมาก่อน

จากความกังวลใจเรื่องนี้ โรงพยาบาลนวเวช จึงได้จัดสัมมนากลุ่มย่อยเรื่อง เบาหวานกับโควิด ชีวิตไปทางไหน โดยเชิญ นพ.ธวัชชัย ภาสุรกุล อายุรแพทย์ ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลนวเวช มาให้คำแนะนำว่าผู้ป่วยเบาหวานควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อลดโอกาสการเสียชีวิตเมื่อติดโควิด โดยมีผู้ป่วยเบาหวาน ผู้มีความเสี่ยง ผู้ดูแลคนไข้เบาหวาน และผู้ที่สนใจ เข้าร่วมสัมมนาที่จัดขึ้นแบบ Social Distancing ซึ่งข้อมูลที่คุณหมอแนะนำและการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสัมมนาครั้งนี้นับว่าน่าสนใจ ใครไม่ได้ไปร่วมงาน ลองอ่านและนำไปปฏิบัติตามก็ได้ประโยชน์ไม่น้อย

นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า แม้ผู้ป่วยเบาหวานจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อไม่ต่างจากคนไม่เป็นเบาหวาน แต่หากติดเชื้อแล้วจะมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรงกว่า ต้องดูแลรักษามากกว่า อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เชื้ออาจลงปอดได้มากกว่า อาจต้องเข้าไอซียูมากกว่า และมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนไม่เป็นเบาหวาน 3-4 เท่า

เหตุผลที่ทำให้คนเป็นเบาหวานที่ติดเชื้อโควิดมีอาการรุนแรงก็เพราะคนที่เป็นเบาหวานมีภูมิต้านทานต่ำกว่าคนปกติ เนื่องจากน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นจะทำให้เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคอ่อนแอลง และเมื่อติดเชื้ออักเสบลุกลาม ร่างกายก็เกิดความเครียดที่จะต้องต่อสู้กับเชื้อโรค โดยหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ซึ่งฮอร์โมนนี้ก็เป็นตัวสำคัญในการสร้างน้ำตาลให้สูงขึ้นอีก

นพ.ธวัชชัย อธิบายเพิ่มว่า ในเยื่อบุร่างกายของคนเรามีตัวรับเชื้อโรคที่เรียกว่า AEC2 Receptor อยู่แทบทุกเซลล์ ทั้งหัวใจ หลอดเลือด ตับ ไต ปอด เมื่อเชื้อโรคเข้าไปในร่างกายจะไปจับกับ AEC2 Receptor แล้วแบ่งตัว กระจาย ลุกลาม คนที่เป็นเบาหวานเมื่อติดเชื้อโควิด ถ้ามีภาวะน้ำตาลสูง เชื้อโควิดก็จะแบ่งตัวได้เร็วขึ้น และมีโอกาสกระจายเข้าสู่ปอดได้เร็วขึ้นด้วย

นอกจากเรื่องภูมิต้านทานต่ำแล้ว อายุก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้ นพ.ธวัชชัย ให้ข้อมูลว่า จำนวนผู้ป่วยเบาหวานในเมืองไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปมีประมาณ 9% หรือประมาณ 5 ล้านคน แต่ช่วงอายุที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือ 60-70 ปี คิดเป็นเกือบ 20% คนที่เป็นเบาหวานส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวาน ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ การที่มาตรวจพบว่าเป็นเบาหวานตอนอายุ 60 ปีนั้น ความจริงอาจเป็นมาตั้งแต่อายุ 30 ปีก็ได้ ซึ่งการเป็นเบาหวานมานานจะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดแดงตีบ หัวใจ อัมพาต ตา ไต เพราะฉะนั้นผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานซึ่งมีพื้นฐานร่างกายไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะยิ่งมีโอกาสถูกซ้ำเติมจากโควิดได้ง่ายขึ้น

แม้จะเป็นเบาหวาน แต่ถ้าคุมน้ำตาลได้ดี ต่อให้ติดโควิดก็ยังเบาใจได้ เพราะโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจะน้อยลง การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจะดีกว่าคนที่ไม่คุมน้ำตาลไม่ดี

นพ.ธวัชชัย กล่าวถึงตัวชี้วัดที่บ่งบอกว่าเราคุมน้ำตาลได้ดีแค่ไหน มีอยู่ 3 ตัว คือ

1. FBS (Fasting Blood Sugar) หรือน้ำตาลก่อนอาหาร ค่าที่ได้ไม่ควรเกิน 130 mg/dL. แต่ถ้าเราตั้งเป้าหมายที่เข้มงวดคือไม่ควรเกิน 110 mg/dL.

2. HbA1C หรือน้ำตาลเฉลี่ย ค่าปกติอยู่ที่ 4-6% ค่านี้สะท้อนถึงการแกว่งของน้ำตาลในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เป้าหมายการรักษาต้องการให้ A1C ไม่เกิน 7% คำนวนเป็นค่าเฉลี่ยน้ำตาลไม่เกิน 154 mg/dL ถ้ารักษาอย่างเข้มงวดไม่เกิน 6.5% คำนวนค่าเฉลี่ยน้ำตาลไม่เกิน 140 mg/dL.

3. น้ำตาลหลังอาหาร โดยวัดหลังจากรับประทานอาหาร 1-2 ชั่วโมง ไม่ควรเกิน 180 mg/dL.ถ้าต้องการตั้งเป้าหมายที่เข้มงวดต้องคุมไม่ให้เกิน 140 mg/dL.

“น้ำตาลเป็นสารพิษที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหน้าที่ต่างๆ ระดับเซลล์ ผู้ป่วยเบาหวานถ้าไม่อยากเสียชีวิตจากโควิด ต้องคุมน้ำตาลให้ดี กินอย่างไรก็ได้ที่ไม่ทำให้น้ำตาลสูง ให้แกว่งตัวแคบๆ ในช่วง 70-180 mg/dL. เพื่อให้ค่าเฉลี่ยออกมาน้อยกว่า 7% เราไม่ต้องการให้น้ำตาลแกว่งมาก เช่น 50-300 mg/dL. แม้ว่าค่าเฉลี่ย A1C จะออกมา 7% ก็ไม่ดี เพราะน้ำตาลต่ำอันตราย น้ำตาลสูงก็อันตราย คนที่เป็นเบาหวานจะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการควบคุมน้ำตาลอยู่3 วิธี คือ อาหาร ออกกำลังกาย และยา ต้องทำให้ 3 สิ่งนี้สมดุล เพื่อให้น้ำตาลแกว่งอยู่ในช่วง 70-180 mg/dL.” นพ.ธวัชชัย กล่าว

ได้ทราบวิธีที่จะช่วยลดอาการรุนแรงของผู้ป่วยเบาหวานที่ติดเชื้อโควิดไปแล้ว แต่การป้องกันไม่ให้ตัวเองติดเชื้อคือวิธีที่ดีที่สุด ซึ่ง นพ.ธวัชชัย ได้ทิ้งท้ายว่าถ้าไม่ติดโควิดก็ไม่ต้องมากังวลกับความรุนแรงและการเสียชีวิต คำแนะนำในการป้องกันโควิดก็เช่นเดียวกับคนทั่วไป คือ สวมแมสก์ ล้างมือ เว้นระยะห่าง และฉีดวัคซีนป้องกันให้เร็วที่สุด

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่โรงพยาบาลนวเวช โทร. 02 483 9999 หรือ www.navavej.com