แนะคุณแม่มือใหม่ดูแลสุขภาพจิตยุคโควิด-19

ตามปกติแล้วผู้หญิงช่วงตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทางร่างกายมากมาย หลายคนอาจเผชิญสภาวะอารมณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป และยิ่งช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 คุณแม่มือใหม่หลายคนต้องกักตัวอยู่บ้าน Work From Home หรือไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมข้างนอกที่ตนชอบได้เหมือนเดิมก็อาจทำให้มีความสุขน้อยลงกว่าแต่ก่อน วันนี้เรามีคำแนะนำดี ๆ ต่อการดูแลจิตใจมาฝากคุณแม่ทุกคน 

ดร.พิมพ์ขวัญ บุญจิตต์พิมล ผู้บริหาร Vital Glow Skin & Aesthetic และรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลนวมินทร์ 9 เครือโรงพยาบาลนวมินทร์และนวมินทร์สหคลินิก ผู้บริหารคนสวยเก่ง และกำลังสวมบทบาทคุณแม่มือใหม่ เผยว่า โดยส่วนตัวเป็นคนใส่ใจในสุขภาพอยู่แล้ว นอกจากหาความรู้ด้วยการเรียนอย่างจริงจัง เพื่อใช้กับงานแล้ว เวลามีปัญญาด้านสุขภาพเรื่องไหนก็ชอบที่จะค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม ประกอบกับครอบครัวทำธุรกิจโรงพยาบาล นอกจากหาความรู้ด้วยตัวเองยังไม่พอ พิมพ์ก็ได้มีการเช็กเพื่อความถูกต้องกับหมอเฉพาะทางอีกครั้ง สำหรับการตั้งครรภ์อารมณ์ของคุณแม่จะมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาวะทางอารมณ์ มีความผันผวนปรวนแปรได้ตลอด สาเหตุหลักเกิดจากการอะไรไปพบคำตอบด้วยกัน

ทีมสูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลนวมินทร์ 9 กล่าวว่า สำหรับการตั้งครรภ์อารมณ์ของคุณแม่จะมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาวะทางอารมณ์ในแต่ละไตรมาสอาจจะเรียกได้ว่า มีความผันผวนปรวนแปรได้ตลอด สาเหตุหลักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอด ได้แก่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โลน ฮอร์โมนฮิวแมนพลาเซนต้าแลกโตรเจน ฮอร์โมนโปรแลกติน และ ฮอร์โมนออกซิโตซิน เป็นต้น เรียกได้ว่าช่วงนี้ของคุณแม่เป็น Hormonal Storm เลยทีเดียว อีกทั้งเมื่อคลอดลูกก็จะมีปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบกับอารมณ์ได้ง่าย ทำให้รู้สึกอารมณ์ไม่คงที่ เช่น การนอนไม่เป็นเวลาที่ต้องดูแลลูก การพักผ่อนไม่เพียงพอ การที่เห็นร่างกายเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงไปของกิจวัตรประจำวัน 

ความกังวลในภาระหน้าที่ความรับผิดชอบในการเลี้ยงลูก หรือ ทั้งหมดเหล่านี้ จะทำให้สมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ทำงานมากกว่าเหตุผล รวมไปถึงสภาพแวดล้อม ยิ่งมีสถานการณ์การเผยแพร่ของโควิด-19 การใช้ชีวิตในรูปแบบเดิมได้เปลี่ยนไป ไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมข้างนอก หรือความกังวลเรื่องการนำเชื้อโรคมาสู่ลูกน้อยมากจนเกินไป ก็อาจเป็นการสะสมความเครียดในรูปแบบหนึ่ง รวมถึงฮอร์โมนดังกล่าวยังส่งผลต่อการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ทำให้อ้วนง่าย เป็นเบาหวานง่ายอีกด้วย ซึ่งก็ล้วนส่งผลถึงสุขภาพจิตของคุณแม่ 

เมื่อร่างกายมีความเครียดมักจะมีหลั่งฮอร์โมน 2 ชนิด ได้แก่ 

  1. ฮอร์โมนคอร์ติซอล
  2. อะดรีนาลีน ทำให้ร่างกายของคุณแม่แสดงอาการหลายอย่าง

ไม่ว่าจะเป็น ความดันสูง หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนรู้สึกเบื่ออาหาร เป็นต้น แต่เมื่ออาการเหล่านี้เกิดกับคุณแม่แล้วสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือสามารถส่งผลต่อเด็กในครรภ์ได้อีกด้วย เช่น การเติบโตช้า เพราะคุณแม่เครียดรับประทานอาหารได้น้อยทำให้สารอาหารไปถึงลูกไม่เพียงพอ พัฒนาการด้านอารมณ์เมื่อคลอดออกมาลูกจะมีอาการที่งอแง ขี้โมโห และผลกระทบอันตรายที่สุดคือการแท้งลูก 

นอกจากนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19  คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ต้องอยู่บ้านนาน ๆ เราจะพบว่า 

  • พฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตมีผลกับอารมณ์ของคุณแม่ แนะนำว่าคุณแม่ควรทำกิจกรรมที่ตนเองชื่นชอบเป็นหลัก สามารถทำได้ที่บ้าน เป็นการทำกิจกรรมโดยมีลูกน้อยของเราเป็นแรงบันดาลใจ เช่น การทำอาหารสำหรับเด็ก ศึกษาคุณค่าอาหารโภชนาการที่เหมาะกับลูก ถักชุดไหมพรมให้ลูก ทำของเล่นให้ลูก อ่านหนังสือหรือนิทานให้ลูกฟัง เล่นดนตรีกล่อมลูกน้อยของเรา ออกกำลังกายเบา ๆ พอให้ร่างกายได้รู้สึกเคลื่อนไหวมากกว่าปกติ เมื่อฮอร์โมนความรักหลั่งออกมา แม่ก็จะมีความสุข แล้วลูกก็จะรับรู้ถึงความสุขจากแม่ได้ 
  • ให้คุณแม่มองโลกในแง่บวกไว้มาก ๆ ใช้ความคิดเชิงเหตุผลมากกว่าอารมณ์ การมี Mindset เชิงบวกช่วยคุณแม่ได้มาก ให้มองว่าการมีลูกในช่วงนี้มีข้อดี เพราะเราจะได้อยู่บ้านดูแลลูกน้อยได้เต็มที่ มีเวลาเล่นกับลูก แถมสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ก็มีเวลาช่วยดูแลเจ้าตัวน้อยของเราที่บ้านด้วย 
  • เมื่อคุณแม่รู้สึกซึมเศร้าบ่อยมากขึ้น รู้สึกไม่อยากให้นมลูก ไม่อยากได้ยินเสียงร้องของลูก นอนไม่หลับ รู้สึกหมดพลัง แม้จะทำกิจกรรมที่ชอบแล้วยังไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบจิตแพทย์ได้เลย หากรู้สึกเครียด ให้เน้นพูดคุยกับคนรอบข้าง เพื่อน และคนในครอบครัว ก็เป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาความเครียดได้ 

ผู้หญิงที่กำลังเป็นแม่คนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าสภาพจิตใจเราแข็งแรง เราสตรองเพียงพอทุกอย่างก็จะออกมาดี เพราะฉะนั้นเราต้องคิดบวกเข้าไว้เพราะในทุกสถานการณ์มันต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และถ้าเรามองข้อดีให้มากกว่าข้อเสีย การมีลูกในช่วงนี้ก็จะเป็นไปได้ดี แม่เองก็มีความสุขและมีน้ำนมเลี้ยงลูกน้อยต่อไปด้วย ขอให้คุณแม่ลูกอ่อนหรือแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ทุกท่านสู้ต่อไป พยายามคิดบวกในสิ่งที่เราเป็นเข้าไว้ 

สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วงนี้แล้วกำลังรู้สึกเครียด อาจต้องหาเวลาทบทวนจุดดีหรือจุดแข็งของตัวเรา อาชีพที่เราทำอยู่ ความสามารถที่เรามี โฟกัสสิ่งดี ๆ มากกว่าสิ่งที่จะมาบั่นทอนกำลังใจ การทำกิจกรรมดี ๆ ที่บ้าน และปรับความคิดช่วยให้สภาพจิตคุณแม่แฮปปี้ขึ้นได้ เชื่อว่ารอบตัวเรานี้มีคนที่เข้าใจ พร้อมมอบพลังบวกให้คุณแม่ทุกท่านได้เสมอ คุณแม่ที่ต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือมีความสนใจเรื่องแม่และเด็ก

สามารถติดตามข้อมูลต่าง ๆ หรือฝากคำถามไว้ได้ที่ Facebook  FanpageDr.Pimkhwan แม่พิมพ์ แม่มือใหม่ YouTube Channeldr.PIMKHWAN และ Instagramdr.pimkhwan และ dr.pimkhwan.official   

เทคนิคเรียกน้ำนมแม่สำหรับลูกน้อย

ดร. พิมพ์ขวัญ บุญจิตต์พิมล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลนวมินทร์ 9 ผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์ผิวหนังและการชะลอวัย Vital Glow: Skin & Aesthetic ในฐานคุณแม่ด้วยเช่นกัน เผยว่า ปกติโดยทั่วไปเด็กทารกแรกเกิดจะกินนมวันละ 5 – 8 ครั้ง ครั้งละ 2 – 3 ออนซ์ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของลูกน้อย ใช้สูตรคำนวนง่ายๆ คือ เอาน้ำหนักของลูกเป็นหน่วย กิโลกรัม คูณด้วย 5 ก็จะได้ปริมาณน้ำนมที่ลูกน้อยต้องการต่อวัน เป็นหน่วย ออนซ์ เช่น ลูกน้อยน้ำหนัก 3 กก. คูณด้วย 5 เท่ากับ 15 ออนซ์ต่อวันค่ะ (สูตรนี้เป็นการประมาณการเท่านั้นนะคะ ลูกน้อยบางคนอาจจะกินมากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล พ่อแม่คอยสังเกตและปรับให้เหมาะกับลูกน้อยกันด้วย

แต่ไม่ว่าจะดูแลตัวเองดียังไง แม่ๆ หลายๆ คนก็ยังประสบกับปัญหาน้ำนมไม่เพียงพอ ซึ่งสาเหตุที่น้ำนมน้อยมาได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การให้ลูกดูดนมผิดวิธี การเว้นช่วงการให้นมลูกนานเกินไป ความเครียดของคุณแม่ หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึงการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ อีกทั้งคุณแม่บางท่านยังกินยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้นมแม่ผลิตน้อยและไม่เพียงพอ

เสริมเคล็ดลับเรียกน้ำนมแม่ ให้ลูกดูดกระตุ้นบ่อย ๆ เป็นเวลา หนึ่งในวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมโดยที่ไม่ต้องกินอาหารเสริมใดๆเลยก็คือ การให้ลูกดูดเต้าบ่อย ๆ นั่นเองค่ะ เป้าหมายก็คือเพื่อระบายนมออกจากเต้า เพราะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะไปกระตุ้นฮอร์โมนให้ผลิตน้ำนมมากขึ้น นั่นหมายความว่า ยิ่งลูกน้อยเข้าเต้าดูดนมมากเท่าไหร่ ปริมาณน้ำนมก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

บีบน้ำนมออกหรือปั๊มนมออก อีกวิธีที่ที่จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำนมมากขึ้น คือการบีบน้ำนมออกหรือปั๊มนมออก โดยน้ำนมที่ได้มาก็ยังสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นหรือช่องแช่แข็งสำหรับไว้ให้ลูกน้อยกินภายหลังได้ค่ะ โดยระหว่างการบีบน้ำนมออกหรือปั๊มนมออก ก็สามารถนวดเต้านมเพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนมได้อีกด้วยค่ะ

ดื่มน้ำมาก ๆ ควรดื่มน้ำ หรือเครื่องดื่มอื่นเยอะๆ ไม่ว่าจะน้ำเปล่า น้ำผลไม้ นม หรือซุป ให้ได้วันละ 3 ลิตร เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมและทดแทนน้ำที่สูญเสียไป

อย่าเครียด ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตน้ำนมได้ ดังนั้นจึงควรนอนหลับให้เพียงพอทุกคืน และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดความเครียดได้ เหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ไม่ง่ายนะคะ เพราะต้องตื่นมาให้นม เปลี่ยนผ้าอ้อม สารพัดกิจกรรม ดังนั้นต้องบริหารเวลาให้ดี และขอความช่วยเหลือหากคุณต้องการ

หลีกเลี่ยงบุหรี่แอลกอฮอล์และคาเฟอีน ซึ่งตัวพิมพ์เองปกติไม่ดูดบุหรี่อยู่ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ก็ต้องเลี่ยงแอลกอฮอล์และคาเฟอีนในช่วงที่ให้นมลูก

รับประทานอาหารที่เหมาะสม อย่างแรกที่แม่ๆหลังคลอดนึกถึงอาจเป็นการควบคุมอาหารและลดน้ำหนักโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นสิ่งสำคัญคือคุณแม่ต้องทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม จำพวกคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุสูง

ทานอาหารเสริมหรือวิตามินเสริม ร่างกายต้องการสารอาหารที่จําเป็นเมื่อเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ค่ะ ทางหนึ่งที่ช่วยให้แน่ใจว่าได้รับสารอาหารตามที่ร่างกายต้องการก็คือให้ทานวิตามินรวมหรือวิตามินที่ทานขณะตั้งครรภ์ คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ไม่ควรเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักหรือจํากัดอาหารเพราะจะมีผลต่อการผลิตน้ำนมและอาจทำให้คุณแม่รู้สึกอ่อนเพลียได้ค่ะ หากคุณแม่กังวลกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตอนตั้งครรภ์และต้องการกลับไปมีรูปร่างเหมือนก่อน โดยที่เลี้ยงลูกด้วยนมไปด้วย ให้ปรึกษาคุณหมอค่ะ ส่วนของพิมพ์เองนั้น พิมพ์ไม่ได้เข้าคอร์สอะไรนะคะ แต่พิมพ์เน้นกินอาหารที่มีประโยชน์และเมนูที่ช่วยเพิ่มน้ำนม ซึ่งการที่เราให้น้ำนมกับลูก ก็จะช่วยทำให้น้ำหนักของเรากลับเข้าที่ได้ไวขึ้นมากอีกด้วยค่ะ เพิ่มเติมจากการออกกำลังกายเป็นประจำของพิมพ์ ตอนนี้ก็เน้นออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดิน ค่ะเมนูที่ช่วยเพิ่มน้ำนมของพิมพ์ ได้แก่ หัวปลี ขิง ใบกะเพรา ฟักทอง บวบ กุยช่าย ซึ่งสามารถเอามาทำได้หลากหลายเมนูอร่อยได้ไม่เบื่อเลยค่ะ

คุณแม่ทุกคนควรเอาใจใส่ ดูแลใส่ใจเรื่องอาหารด้วยนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคลอด ยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ อาจจะยังไม่เห็นผลในวันนี้ แต่อาจจะมีผลในระยะยาวค่ะ สำหรับคุณแม่ที่ไม่มีเวลา หรือไม่มีโอกาสได้เตรียมอาหารรับประทานเอง วันนี้พิมพ์มีวิตามินเฉพาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และคุณแม่หลังคลอดบุตรมาแนะนำค่ะ อย่างแรกเลยคือ  เราต้องทราบว่าร่างกายเราขาดอะไร และปริมาณในการรับประทานที่เหมาะสมคือเท่าไร

ซึ่งหากคุณไม่ทราบว่าตนเองขาดวิตามินและแร่ธาตุชนิดไหนบ้าง ก็ย่อมเกิดผลไม่ดีตามมานะคะ คุณแม่หลายท่านไปหาซื้อวิตามิน อาหารเสริม มารับประทานเอง แต่การรับประทานวิตามินลักษณะนี้จะส่งผลให้คุณรับประทานวิตามินน้อยหรือมากกว่าความจำเป็น  ยิ่งไปกว่านั้นบางคนรับประทานหลายตัว โดยการรับประทานพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ๆ อาจทำให้ตับและไตทำงานหนัก และเกิดวิตามินตีกันได้ ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด ดร. พิมพ์ขวัญ ปิดท้าย