5 ท่าบริหารฟื้นฟูปอด ดูแลสุขภาพในภาวะวิกฤติ COVID-19 

ในช่วงการระบาดของเชื้อ COVID-19 ทำให้หลายคนเป็นกังวลว่าตนเองจะติดเชื้อหรือไม่ หรือผู้ป่วยที่ติดเชื้อแล้ว ก็อาจจะกังวลใจว่าอาการของตนเองนั้นอยู่ในระดับใด จะแพร่เชื้อสู่คนรอบข้างหรือไม่ จนเกิดภาวะเครียดและส่งผลต่ออาการป่วยได้ รวมถึงผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว อาจมีความเครียดเกิดขึ้นจากความเป็นห่วงคนในครอบครัว เป็นห่วงงานที่ต้องรับผิดชอบจนลืมดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจของตนเอง การสังเกตอาการทางกายและจิตใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสุขภาพจิตที่ดีจะส่งผลถึงสุขภาพกายที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน

พญ. อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้อำนวยการศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ในขณะนี้หลายคนมีความกังวลเรื่องของการติดเชื้อและเริ่มตระหนักเรื่องการดูแลสุขภาพจิตใจสำหรับสถานการณ์ COVID-19 ที่การดำเนินชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกลุ่มผู้ติดเชื้อที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล อยู่ระหว่างรอเตียงในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนาม ที่จะเกิดความวิตกกังวลในส่วนของอาการป่วยรวมถึงเป็นห่วงครอบครัว งาน ว่าจะเป็นการผลักภาระให้กับคนรอบข้าง จนเกิดอาการเครียดและรู้สึกไม่สบายใจ ทำให้สุขภาพจิตใจแย่ลง รวมทั้งสุขภาพกายที่อาจทำให้ปอดทำงานหนักขึ้นเพราะเมื่อมีความกังวลเรื่องต่าง ๆ แล้ว ทำให้มีการพูดคุยที่มากขึ้นขณะที่ป่วย อาทิการสอบถามเรื่องการรักษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบ่อย ๆ การติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อสั่งงาน จะทำให้ปอดทำงานหนักจนสุขภาพกายอาจจะทรุดลงได้ เพราะสุขภาพใจก็เหมือนกับสุขภาพกาย ที่ต้องการการดูแลและใส่ใจอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อต่อสู้กับโรคร้าย สิ่งที่ควรปฎิบัติข้อแรกคือ การพักปอด หากมีการติดเชื้อ COVID-19 ผลที่ตามมาคือ ปอดจะทำงานหนัก เพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนให้เพียงพอ ผู้ป่วยจึงควรลดการพูดคุยหรือการใช้โทรศัพท์มือถือเท่าที่จำเป็น เพื่อเป็นการพักปอด เพื่อให้ปอดฟื้นตัวและหายป่วยได้เร็วขึ้น ข้อที่สอง คือ การพักใจ  ต้องมีสติรู้ตัว อย่าวิตกกังวลอยู่ในอาการของโรค จนทำให้เสียทั้งงานและเสียทั้งสุขภาพ ให้เราตั้งสติ ปล่อยวางแล้วเริ่มหาแนวทางการแก้ไขจะดีกว่าจมอยู่ในเรื่องเดิมนาน ๆ

ทั้งนี้ มุจิรารัศมิ์ ภัทรจริยากุล ครูสอนโยคะ ศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ  แนะนำการบริหารปอดให้แข็งแรงและฟื้นตัวกลับมาโดยเร็ว สามารถทำได้เป็นประจำสม่ำเสมอด้วย 5 ท่าบริหารปอดที่สามารถทำเองได้ทั้งผู้ที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อเพื่อเป็นการฟื้นฟูและบริหารปอดให้แข็งแรงอยู่เสมอ

1.ท่าจับท้อง นั่งให้ลำตัวตรง นำมือจับที่ซี่โครงด้านข้าง ปลายนิ้วมือเลื่อนมาแตะบริเวณหน้าท้อง หายใจเข้าลึก ๆ ด้วยจมูก จะรู้สึกถึงการขยายของซี่โครงและหน้าท้อง หายใจออกทางจมูกช้า ๆ ให้รู้สึกถึงท้องที่ยุบลงช้า ๆ ไม่ควรรีบ พยายามหายใจเข้าลึก ๆ ให้มีความยาวเท่ากับลมหายใจออกอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมลมหายใจและจังหวะให้คงที่อย่างน้อย 10 -15 ครั้ง 

2.ท่ายืดแขน นั่งลำตัวตรง ผสานนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วเข้าด้วยกัน นำมาไว้ด้านหน้า หายใจเข้าให้ลึกเพื่อนำออกซิเจนเข้าให้สุดแล้ว จึงเริ่มพลิกผ่ามือยกขึ้นเหนือศีรษะ หายใจออกให้แขม่วท้องช้า ๆ ไล่ลมออกจากท้องจนหมด ลดแขนและผ่อนคลายไหล่ลงไปทางด้านข้าง  

3.ท่างู เริ่มจากค่อย ๆ นอนคว่ำตัวลงกับพื้น ขาเหยียดตรงไปทางด้านหลัง วางมือให้อยู่บริเวณเดียวกับหัวไหล่หรือเอว เมื่อหายใจเข้าให้ใช้มือดันพื้นขึ้นพร้อมยกศีรษะ หน้าอก และหน้าท้อง หายใจออกค่อย ๆ งอศอก วางหน้าท้อง หน้าอก และศีรษะลงไปกับพื้น เมื่อทำเสร็จแล้วก่อนจะลุกขึ้นให้นำแขนมาซ้อนกันบริเวณข้างหน้าลดศีรษะลง แล้วจึงลุกขึ้นช้า ๆ  

4.ท่านั่งและบิดลำตัว นั่งลำตัวตรง ให้สะโพกก้นทั้ง 2 ข้างเต็มพื้น ชันเข่าขวาขึ้น ขาซ้ายให้อยู่บริเวณด้านล่างงอเข่าแล้วนำเท้าขวาไปค่อมขาซ้ายอีกทบนึง พยายามกดสะโพก 2 ข้างลงให้ชิดพื้นแล้วนั่งยืดลำตัว นำมือขวาพาดไปทางด้านหลัง แขนและศอกด้านซ้ายจะนำมาขัดหัวเข่าของด้านขวาหรือจะนำมือมาแตะเข่าหรือข้อเท้าอีกข้างก็ได้ แล้วค่อย ๆ ยืดตัวขึ้น แขม่วท้องพร้อมบิดลำตัว มองไปทางด้านหลัง บิดเอว หน้าอก ช้า ๆ เปิดและหันศีรษะไปทางด้านหลัง หมุนหัวไหล่ขวาไปทางด้านหลังและหันศรีษะตามไป อยู่ในท่านี้ประมาณ 5 ลมหายใจ จะรู้สึกถึงหน้าท้องที่โดนนวด จากนั้นค่อย ๆ หมุนลำตัวกลับมา ทำสลับข้างอีกครั้ง 

5.ท่าปลา นอนหงายกับพื้น เหยียด 2 ขาตรง ใช้ 2 แขนสอดใต้ลำตัวทั้งขวาและซ้าย กดมือและข้อศอกลงไปกับพื้นให้แน่น หายใจเข้า ยกหน้าอกขึ้นแล้วค่อย ๆ เงยคางขึ้นเล็กน้อย หายใจออก คางเงย แล้ววางศรีษะโดยจุดกลางกระหม่อมวางบนพื้น กดข้อศอกแล้วพยายามยืดหน้าท้องและหน้าอกไปทางด้านบน เงยคางให้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ เกร็งหน้าท้องด้านล่าง เหยียดขาทั้ง 2 ข้างให้ตรง และพ้อยท์เท้าให้อยู่ในท่านี้ 5 – 10 ลมหายใจ เมื่อครบแล้วจึงค่อย ๆ ยกศีรษะขึ้น วางศีรษะและหลังกลับลงไปที่พื้น นำแขนทั้ง 2 ข้างออกมาพักในท่านอนหงายสักครู่นึง จากนั้นลุกขึ้นช้า ๆ จากการตะแคงข้าง งอเข่า ดันลำตัวลุกขึ้นนั่ง ถ้าทำแล้วรู้สึกปวดคอ หรือเจ็บหลังให้นำผ้าขนหนูหนา ๆ หรือว่าหมอนอิงมารองใต้ศีรษะ หรือหลังเพื่อป้องกันการบาดเจ็บได้

นอกจากการฝึก 5 ท่าบริหารฟื้นฟูปอดนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเช็กอาการตัวเองอยู่เสมอ ดูแลและหมั่นสังเกตอาการตัวเองในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ มีการไอ หรือมีไข้หรือไม่ และตรวจเช็กความเสี่ยงในการติดเชื้อว่าไปพื้นที่เสี่ยงหรืออยู่ใกล้บุคคลที่มีความเสี่ยงหรือไม่ และตรวจเช็กสุขภาพจิตใจว่ามีอาการวิตกกังวล รู้สึกเครียด จิตตกหรือไม่ หากมีอาการวิตกกังวลมากไม่สามารถพาตนเองออกจากความคิดความกังวลได้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพใจที่จะกลับมาแข็งแรงและดำเนินชีวิตได้อย่างปกติในแนวทาง      นิวนอร์มัล สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์จิตรักษ์ รพ.กรุงเทพ โทร.02 310 3751-52  หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital

ระวัง 4 โรคต้อทำร้ายดวงตา

โรคต้อทางตามีหลากหลายชนิด 4 โรคต้อที่พบบ่อยๆที่เรารู้จักคุ้นเคย คือต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก และต้อหิน ซึ่งมีอาการแตกต่างกันในแต่ละชื่อโรค โรคต้อบางชนิดถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาอาจอันตรายถึงขั้นทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ เราควรรู้เท่าทันโรคต้อทั้ง 4 เพื่อรับมือและสามารถรักษาดวงตาของเราให้ปลอดภัย 

พญ.ธารินี เสงี่ยมพรพาณิชย์ จักษุแพทย์ผู้ชำนาญการด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรคต้อหรือตาต้อที่เกิดขึ้นกับดวงตานั้นเกิดจากหลากหลายสาเหตุ อาการและความรุนแรงจะแตกต่างกันออกไปตั้งแต่ ระคายเคืองตา ไปถึงตามัว หรือทำให้ตาบอดได้ ต้อต่าง ๆ ในตาที่คุ้นชินกันดีมี 4 ชนิด คือ 

1.ต้อลม (Pinguecula) ลักษณะจะเป็นเนื้อนูนที่เยื่อบุตาด้านข้างกระจกตาหรือตาดำ จะอยู่เฉพาะที่เยื่อบุตาขาว (Conjunctiva) ส่วนใหญ่มักเกิดบริเวณหัวตาด้านในบริเวณใกล้จมูก แต่สามารถเกิดที่หางตาและหัวตาพร้อมกันได้ เมื่อเยื่อบุตานูนขึ้น จะส่งผลให้เกิดการระคายเคืองตามากขึ้น สาเหตุมาจากรังสียูวี เช่น จากแสงแดด และเมื่อโดนลมหรือฝุ่นจะทำให้เคืองตามากขึ้นได้จากการอักเสบหรือผิวตาแห้งง่าย พบได้ในทุกเพศทุกวัยพบได้มากในประเทศเขตร้อน เพราะสัมพันธ์กับการเจอแดด โดยส่วนใหญ่อายุที่พบจะมากกว่า 30 ปีขึ้นไป อาการที่เกิดขึ้นคือ  เคืองตา แสบตา คันตา ตาแดงอักเสบ การรักษาต้อลมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค หากต้อมีขนาดเล็ก จะไม่รู้สึกระคายเคืองนัก การรักษาในระยะนี้แพทย์จะแนะนำให้เน้นการป้องกัน เพื่อไม่ให้เป็นมากขึ้น โดยปกป้องดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างเคร่งครัด ด้วยการสวมแว่นกันแดดอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีกิจกรรมนอกอาคาร เพื่อไม่ให้ต้อเติบโตลุกลาม ถ้ามีอาการระคายเคืองหากเกิดการอักเสบแดง แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง ลดอาการอักเสบ

2.ต้อเนื้อ (Pterygium) มีลักษณะเป็นเนื้อสามเหลี่ยม โดยมีหัวอยู่ที่กระจกตา เนื้อเยื่อเหมือนเยื่อบุตาซึ่งมีเส้นเลือดวิ่งเข้าไปเกาะอยู่บนกระจกตาดำ จะแดงมากน้อยขึ้นอยู่กับมีปริมาณเส้นเลือดบริเวณต้อเนื้อและการอักเสบ ต้อเนื้อส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณหัวตาด้านในใกล้จมูก แต่สามารถเกิดที่หางตาและหัวตาพร้อมกันได้เช่นเดียวกัน ต้อเนื้อจะเกิดจากการถูกแสงอัลตราไวโอเลต (UV) อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และมักพบในคนที่อาศัยในเขตอากาศร้อน ใช้ชีวิตประจำวันกลางแจ้ง หรือโดนแสงแดดในบริมาณมาก ถ้าต้อเนื้อมีการลุกลามเข้าไปบนกระจกตา และมีขนาดใหญ่ อักเสบเรื้อรัง รวมถึงมีการมองเห็นที่แย่ลงเพราะต้อไปกดกระจกตา แพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดลอกต้อเนื้อ เพื่อเอาเนื้อเยื่อต้อเนื้อออกจากเยื่อตาและผิวกระจกตา ถึงจะผ่าตัดออกแล้วแต่ก็มีโอกาสสูงที่จะกลับมาเป็นอีก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยและผู้ที่ยังคงได้รับรังสี UV อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดต้อเนื้อซ้ำแพทย์มักผ่าตัดด้วยวิธีปลูกถ่ายเนื้อเยื่อใหม่โดยใช้เยื่อบุตาขาวของผู้ป่วยเองหรือเยื่อหุ้มรกที่เตรียมพิเศษ ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในปัจจุบันโดยอาจใช้วิธีเย็บเนื้อเยื่อหรือใช้ Fibrin Glue การป้องกันจะเหมือนต้อลม คือ ควรหลีกเลี่ยงแดดจ้า โดยเฉพาะช่วยสายถึงบ่ายต้น ๆ หากทำกิจกรรมกลางแจ้งควรสวมแว่นกันแดดทุกครั้ง และพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลม ฝุ่น ควัน ที่ส่งผลทำให้กระตุ้นการอักเสบระคายเคืองมากขึ้นได้

3.ต้อกระจก (Cataract) การเสื่อมของเลนส์ตาตามอายุทำให้เลนส์แก้วตาขุ่นลง มักพบในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่เกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน เช่น เป็นตั้งแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุกับดวงตา หรือการได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นต้น ทุกคนมีโอกาสเป็นต้อกระจกตามวัยเพราะความเสื่อมของร่างกาย อาจเป็นเร็วช้าต่างกัน อาการที่พบ คือ มองเห็นเหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง เห็นสีเพี้ยน ภาพซ้อน ตามัวในช่วงกลางคืนมากกว่ากลางวัน เมื่ออยู่กลางแดดตาจะสู้แสงไม่ได้ ยังไม่มีการรักษาด้วยการกินยาหรือหยอดตา เมื่อสายตามัวลงจะมีผลต่อการใช้ชีวิตควรได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด ปัจจุบันวิธีที่เป็นมาตรฐานที่นิยมคือ วิธีสลายต้อกระจกด้วยเครื่องสลายต้อและใส่เลนส์แก้วตาเทียม (Phacoemulsification with Intraocular Lens) โดยส่วนใหญ่ใช้เพียงแค่ยาชาเฉพาะที่ ผ่าตัดเร็ว แผลมีขนาดเล็ก กลับมามองเห็นได้เร็ว ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เลนส์แก้วตาเทียมที่ใส่ทดแทนเมื่อนำต้อกระจกออกแล้ว ในปัจจุบันมีให้เลือกหลายชนิดตามความต้องการของคนไข้ มีทั้งเลนส์ที่ชัดระยะเดียว มองไกลได้ชัดเจนมากขึ้น หรือเลนส์ชัดหลายระยะ ใส่แว่นน้อยลง กลับมาใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น  หรือถ้าคนไข้มีสายตาเอียงสามารถแก้สายตาเอียงไปพร้อมกันได้จากการเลือกเลนส์ให้เหมาะสม การป้องกัน แนะนำให้ใส่แว่นกันแดดทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้งเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ไม่ให้ดวงตาถูกกระแทก เลี่ยงการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น และเมื่ออายุมากขึ้นควรตรวจตาปีละครั้งเพราะส่วนใหญ่การเกิดต้อกระจกสัมพันธ์กับความเสื่อมตามวัย

4.ต้อหิน (Glaucoma) โรคที่มีความเสื่อมของเส้นประสาทและขั้วประสาทตาทำให้สูญเสียการมองเห็น ลานสายตาแคบลง มักพบความดันในลูกตาสูงซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้โรคแย่ลง ส่งผลทำลายเส้นประสาทตาและขั้วประสาทตา ทำให้เกิดการสูญเสียลานสายตาอย่างถาวรได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ เพราะกลุ่มใหญ่ๆของต้อหินไม่มีอาการบอกล่วงหน้า แต่ถ้าเป็นต้อหินมุมปิดเฉียบพลันอาจมีอาการปวดตา ตาแดง ต้อหินบางชนิดความดันลูกตาไม่สูง แต่ต้องคุมความดันตาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ทำให้เกิดความเสื่อมมากขึ้น ถ้าหากไม่ทำการรักษาจะทำให้ลานสายตาค่อย ๆ แคบลงจนตาบอดได้ในที่สุด สามารถพบได้ในทุกช่วงอายุแต่ที่พบมากคืออายุ 40 ปีขึ้นไป ต้อหินที่พบมีทั้งต้อหินเฉียบพลันที่มีอาการปวดตาในทันทีทันใดและเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ และต้อหินเรื้อรังที่ไม่มีอาการใด ๆ ต้องตรวจตาและวัดความดันลูกตาถึงสามารถรู้ได้ การรักษาแม้ไม่ได้ช่วยให้หายขาด แต่ช่วยควบคุมไม่ให้อาการแย่ลง ส่วนใหญ่รักษาเพื่อควบคุมความดันลูกตาตาให้เหมาะสม โดยมีทั้งการใช้ยาหยอดตา ยารับประทาน การใช้เลเซอร์รักษาตามชนิดต้อหิน และการผ่าตัดที่ใช้เมื่อรักษาด้วยยาและเลเซอร์ไม่ได้ผล โดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาของจักษุแพทย์เพื่อคุมความดันลูกตาให้อยู่ในเกณฑ์ดี ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจเช็กสายตาเป็นประจำทุกปี

การได้รับการตรวจเช็กดวงตากับจักษุแพทย์เป็นประจำทุกปีเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากจะช่วยประเมินสุขภาพดวงตาได้อย่างละเอียดแล้ว หากตรวจพบว่าดวงตามีปัญหาโรคต้อสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ก่อนที่จะร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์จักษุ รพ.กรุงเทพ โทร.1719  หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital

กล่องเสียงบอบช้ำเมื่อหายจาก COVID-19

ผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่อาการรุนแรงและจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจขณะทำการรักษาเป็นเวลานาน เมื่อหายแล้วอาจส่งผลให้กล่องเสียงได้รับการบาดเจ็บ เกิดการบวม อักเสบ หรือมีแผลได้ เพื่อรักษากล่องเสียงที่บอบช้ำจากการรักษาจึงควรหมั่นสังเกตตนเอง เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้วควรรีบพบแพทย์ทันที

แพทย์หญิงจิราวดี จัตุทะศรื แพทย์ด้านหู คอ จมูก ศูนย์หูคอจมูก โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ในผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่มีการอักเสบของปอดอย่างรุนแรง จนส่งผลให้ระบบการหายใจล้มเหลว หายใจได้ยากจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (Ventilator) เพื่อช่วยในการรักษาโดยวิธีการใส่ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal Intubation) ทางปากผ่านกล่องเสียงไปยังหลอดลม ท่อนี้จะเป็นตัวนำออกซิเจนจากเครื่องช่วยหายใจส่งไปยังปอด ช่วยให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งใช้เวลาในการรักษาที่ค่อนข้างนาน ตัวท่ออาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อภายในกล่องเสียงจนเกิดการบวม ช้ำ อักเสบ มีแผล แผลเป็น หรือบวมจนกลายเป็นเนื้องอกได้ ส่งผลให้เกิดภาวะกล่องเสียงทำงานผิดปกติไปจากเดิม

อาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการใส่ท่อช่วยหายใจ คือ 1.ภาวะกล่องเสียงหดเกร็ง (Laryngospasm) จะเกิดขึ้นเมื่อถอดท่อช่วยหายใจออกแล้ว เป็นการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นในทางเดินหายใจขณะที่กล้ามเนื้อของกล่องเสียงยังหย่อนตัวไม่เต็มที่จึงเกิดการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อกล่องเสียงและสายเสียง เช่น  ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถผ่านเข้าปอดได้ 2.ภาวะกล่องเสียงอักเสบ (Laryngitis) นอกจากการใส่ท่อช่วยหายใจแล้วยังสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • เชื้อโรค ไวรัส  แบคทีเรีย เชื้อรา วัณโรค
  • การใช้งานกล่องเสียงมากที่มากเกินไป อาทิ พูดดัง พูดนาน ร้องเพลงผิดวิธี  ไอแรง ไอเรื้อรัง ขากเสมหะบ่อย ๆ
  • มีสิ่งระคายเคืองกล่องเสียง เช่น การหายใจเอามลภาวะในอากาศเข้าไป การสูบบุหรี่ การสำลักอาหาร  อาเจียน กรดไหลย้อน
  • การกระแทกเสียดสีจากภายนอกกล่องเสียง เช่น  อุบัติเหตุของแข็งกระแทกลำคอทางด้านหน้า
  • การกระแทกจากภายในกล่องเสียง ที่เกิดจากการใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อดมยาสลบ หรือเพื่อให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วยหนักที่ไม่สามารถหายใจได้เองตามปกติ

ถ้ากล่องเสียงเกิดการอักเสบแล้ว การรักษามีดังต่อไปนี้ (ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้นในกล่องเสียง)  

  • การให้ยาโดยแพทย์จะพิจารณาจากสาเหตุที่เกิดเป็นหลัก อาทิ ยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ไอ ยากรดไหลย้อน เป็นต้น
  • การพักใช้เสียงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ต้องพูดน้อย ๆ  ไม่ตะเบ็งเสียง ไม่ตะโกน ไม่ร้องเพลง
  • ควรงดดื่มคาเฟอีนในปริมาณมาก งดดื่มแอลกอฮอล์
  • และผ่าตัดในกรณีที่มีเนื้องอกหรือแผลเป็นในกล่องเสียง โดยแพทย์จะสอดท่อผ่านเข้าไปทางช่องปาก ร่วมกับผ่าตัดด้วยอุปกรณ์สำหรับกล่องเสียงโดยเฉพาะ ภายใต้การมองผ่านเลนส์ของกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) เพื่อป้องกันการบอบช้ำหรือกระทบกระเทือนต่อเนื้อเยื่อข้างเคียง ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผู้ป่วยจะไม่มีบาดแผลบริเวณผิวหนังลำคอ แต่หลังผ่าตัดควรพักการใช้เสียงด้วยการพูดน้อย ๆ ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์หรือจนกว่าแผลจะหายเป็นปกติ

สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่รักษาด้วยการใช้เครื่องช่วยหายใจและท่อช่วยหายใจตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา เมื่อหายแล้วอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้ ควรที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ถ้ารู้สึกว่าเกิดอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อได้รับการรักษาที่ทันท่วงที สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์หู คอ จมูกกรุงเทพ โทร.1719

อันตรายแค่ไหนเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ป่วย COVID-19

ปัจจุบันที่การระบาดของเชื้อ COVID-19 ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทวีความรุนแรงและอันตรายมากขึ้น คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องดูแลตัวเองและเด็กในครรภ์อย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะหากคุณแม่มีการติดเชื้อแล้วนอกจากจะมีอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไปยังมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตอีกด้วย

นายแพทย์ร่มไทร เลิศเพียรพิทยกุล แพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์มีการติดเชื้อ COVID-19 แล้วส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการ ในกรณีที่มีอาการรุนแรงมักมีภาวะอ้วน อายุมาก มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ เป็นต้น และมีโอกาส 2-5% ที่จะส่งต่อเชื้อไปยังเด็กในครรภ์ได้ รวมถึงโอกาสเสี่ยงต่าง ๆ ทั้ง ครรภ์เป็นพิษ เลือดแข็งตัวผิดปกติ การคลอดก่อนกำหนดจนทำให้เด็กมีน้ำหนักตัวน้อยกว่ากว่าปกติได้อีกด้วย

เมื่อมีการติดเชื้อ COVID-19 คุณแม่จะมีไข้ ไอแห้ง ๆ มีอาการอ่อนเพลีย หายใจติดขัด เจ็บคอ ท้องเสีย สามารถรักษาได้ด้วยการให้สารน้ำเพื่อแก้ไขภาวะขาดสมดุลของเกลือแร่ ให้ออกซิเจน ให้ยาต้านไวรัสในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง ใช้เครื่องช่วยหายใจกรณีที่อาการรุนแรง ขึ้นอยู่กับการประเมินโดยแพทย์ ข้อจำกัดในการรักษาคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ป่วย COVID-19 คือ การใช้ยาบางชนิดอาจมีผลต่อทารกในครรภ์,  การตรวจ X-Ray หรือ CT Scan มีผลทำให้ทารกได้รับปริมาณรังสีเพิ่มขึ้นด้วย, แม้ลูกมีโอกาสจะติดเชื้อ 2-5% และส่วนใหญ่ทารกแรกคลอดที่ติดเชื้อ จะมีอาการไม่รุนแรง แต่อาจส่งผลให้แพทย์ต้องพิจารณาให้คลอดก่อนกำหนดในบางกรณี และคุณแม่ไม่สามารถนอนคว่ำเพื่อรับออกซิเจนให้เพียงพอ จึงอาจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเพื่อเพิ่มระดับการให้ออกซิเจน

คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อแล้วนั้นสามารถฝากครรภ์ได้ตามปกติ แต่ในคุณแม่ที่มีอายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์หรืออยู่ในกลุ่มครรภ์เสี่ยงสูง มีโรคร่วมอย่างความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไทรอยด์ หัวใจ หอบหืด ปอดเรื้อรัง  ไต ต้องดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด ฝากครรภ์ตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง โดยนัดเวลาล่วงหน้าเพื่อให้ใช้เวลาที่โรงพยาบาลน้อยที่สุด เลี่ยงการเดินทางโดยรถสาธารณะ ผู้ติดตามที่ไปด้วยต้องไม่เกิน 1 คน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ออกนอกบ้าน ล้างมือให้บ่อย พกเจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ติดตัวตลอดเวลา เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตรในทุกกิจกรรม กลับถึงบ้านล้างมือ ถอดหน้ากากทิ้งทันที เปลี่ยนเสื้อผ้า สังเกตความผิดปกติของการตั้งครรภ์ เช่น บวม ลูกดิ้นน้อยลง มีเลือดออกทางช่องคลอด เจ็บครรภ์ น้ำเดิน หากมีอาการรีบพบแพทย์ทันที ในช่วง 3 – 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หากไม่มีการตรวจพิเศษอื่น ๆ อาจเลื่อนนัดได้ตามสถานการณ์ ในส่วนของการให้นมเมื่อมีการคลอดเด็กทารกแล้วนั้น จากข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการในการแพร่เชื้อไวรัสผ่านทางน้ำนม ดังนั้นทารกสามารถกินนมแม่ได้ แต่ต้องปฏิบัติตามแนวทางป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด ในส่วนของคุณแม่ที่ติดเชื้อแต่มีอาการไม่มากนัก สามารถกอดลูก ให้นมลูกได้ โดยสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือให้บ่อย กรณีที่มีอาการรุนแรง ได้รับยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) และดารุนาเวียร์ (Darunavir) ไม่ควรให้นมลูก

คุณแม่จำเป็นต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด พบแพทย์ตามนัดหมาย ฉีดวัคซีน COViD-19 เมื่ออายุครรภ์ครบ 3 เดือนหรือ 12 สัปดาห์ตามคำแนะนำของแพทย์ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือให้บ่อย เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ที่สำคัญดูแลสุขภาพใจให้แข็งแรง ไม่เครียดหรือวิตกกังวลจนเกินไป รับฟังข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และหากคุณแม่ตั้งครรภ์มีการติดเชื้อจะต้องเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ โทร.1719  หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital

ดูแลดวงตาอย่างไรให้ห่างไกล COVID-19

ตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบ เป็นอีกอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อติดเชื้อ COVID-19 เกิดจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งต่าง ๆ จากทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม ทำให้มีเชื้อโรคกระจายมายังเยื่อบุตา ซึ่งการรักษาทำได้โดยการประคับประคองตามอาการ การดูแลดวงตาในช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย

พญ.ธารินี เสงี่ยมพรพาณิชย์ จักษุแพทย์ผู้ชำนาญการด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า COVID-19 ทำให้เกิดอาการทางตาได้ จากข้อมูลล่าสุดราวกลางปี 2021 พบว่ามีรายงานอาการทางตาตั้งแต่ 2-32% ของผู้ป่วย โดยพบอาการเยื่อบุตาอักเสบได้บ่อยในผู้ป่วยเด็กมากกว่าในกลุ่มผู้ใหญ่ แต่ส่วนใหญ่มีอาการที่ไม่รุนแรง มักเป็นเพียงเยื่อบุตาอักเสบคล้ายกับจากไวรัสชนิดอื่น ๆ รักษาโดยการให้ยาลดอาการและประคับประคองก็จะดีขึ้น ในต่างประเทศมีบางรายงานพบผู้ป่วยที่มีการอักเสบที่ชั้นเหนือตาขาวอักเสบ ความผิดปกติที่จอตาและเส้นประสาทตาอักเสบ แต่เป็นจำนวนน้อยมากๆเมื่อเทียบส่วนใหญ่ที่มีเพียงอาการตาแดงจากเยื่อบุตาอักเสบ ซึ่งไม่มีผลรุนแรงในระยะยาว

การดูแลรักษาดวงตาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ  ไม่ควรใช้มือที่ไม่สะอาดสัมผัสดวงตา เพราะจะทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบได้ ควรล้างมือบ่อยๆ เนื่องจากไวรัสสามารถติดต่อผ่านทางเดินหายใจ ทางปาก และทางตาได้ การใส่แว่นสายตาแทนการใส่คอนแทคเลนส์ก็สามารถช่วยหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดนดวงตาได้อีกทางหนึ่ง แต่การใส่แว่นสายตาแบบปกติ ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 ได้ ควรมีเครื่องป้องกันอื่นร่วมด้วย ควรใช้แว่นตาหรือหน้ากากพลาสติกเพื่อป้องการโดนสารคัดหลั่งต่าง ๆ เข้าสู่ดวงตา  ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ควรเลือกให้กระชับ มีความใส คุณภาพดี ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน วัสดุที่ใช้ในการทำแว่นป้องกันหรือ Face Shield มีให้เลือกหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็น Polycarbonate แบบที่ใช้ในแว่นนิรภัย แต่อาจมีความหนาแตกต่างกันออกไป ควรพิจารณาอย่างละเอียดและเลือกใช้งานให้เหมาะสม

สำหรับผู้ที่ต้องใส่คอนแทคเลนส์ในช่วงนี้ ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ COVID-19 มากกว่าผู้ที่ใส่แว่นตา โดยคนทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรงสามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้ตามปกติ แต่ควรดูแลการใส่อย่างถูกสุขลักษณะเพื่อป้องกันการติดต่อของโรคที่ติดต่อได้จากการใส่คอนแทคเลนส์ ก่อนใส่คอนแทคเลนส์ต้องล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาทีและเช็ดมือให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดมือที่สะอาดอีกครั้ง ทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ให้ถูกวิธี และหากป่วยเป็นไข้ มีน้ำมูก ไอ จาม ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ ในน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์กลุ่ม Hydrogen Peroxide-Based Systems ชึ่งไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยนัก สามารถใช้ฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อโรค COVID-19 ได้ แต่จะต้องระมัดระวังในการใช้ โดยห้ามใช้น้ำยากับดวงตาโดยตรง เนื่องจาก Hydrogen Peroxide จะทำให้เกิดการระคายเคืองตามมา จะต้องแช่ในตลับชนิดพิเศษให้ครบชั่วโมงตามคำแนะนำจึงสามารถนำคอนแทคเลนส์มาใช้ได้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด สำหรับน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์กลุ่ม Multipurpose Solution ที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย และการทำความสะอาดโดย Ultrasonic Cleaners  ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ถึงความสามารถในการฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 แนะนำให้ดูแลรักษาความสะอาดในการใส่คอนแทคเลนส์อย่างเคร่งครัด  ทั้งนี้การใช้ยารักษามาลาเรีย Chloroquine, Hydroxychloroquine ที่มีรายงานการนำมารักษา COVID-19 ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีผลกับจุดรับภาพแบบรุนแรง โดยรายงานเบื้องต้นพบว่า การใช้ยานี้ในผู้ป่วยแม้จะให้ในปริมาณมากกว่าปกติแต่ในช่วงเวลาไม่นาน เพียง 1 – 2 สัปดาห์ ยังไม่มีความเสี่ยง แต่ต้องติดตามผลในระยะยาว แต่ในปัจจุบันใช้น้อยลงเนื่องจากแนวทางการรักษา COVID-19 เปลี่ยนไปตามการศึกษาใหม่ๆ

ในช่วง COVID-19 หลายคนมักเกิดความกังวลใจในการเข้ารับบริการ ซึ่งโรงพยาบาลกรุงเทพมีมาตรการในการตรวจคัดกรอง เตรียมการป้องกันในทุกรายละเอียดอย่างรัดกุม  ผู้ป่วยและบุคลากรมีการใส่ชุดและอุปกรณ์ป้องกันเพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างเหมาะสม ณ ปัจจุบันบุุคลากรทางการแพทย์ในรพ.กรุงเทพได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ครบ 100% พร้อมทั้งมีมาตรการรักษาความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคเครื่องมือที่สัมผัสผู้ป่วยทุกอุปกรณ์ผ่านขบวนการทำให้ปลอดเชื้อตามมาตรฐาน ทุกขั้นตอนการรักษาจะใช้เวลาน้อยที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงและความกังวลใจที่อาจเกิดขึ้น ผู้ป่วยจึงมั่นใจได้ในทุกการเข้ารับบริการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์จักษุ รพ.กรุงเทพ โทร.1719 

เรื่องต้องรู้เมื่อหายจาก COVID-19

รู้เท่าทันลองโควิด (Long Covid) ผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาวหลังจากการรักษา COVID-19 หายแล้ว  ในแต่ละบุคคลมีความรุนแรงของโรคขณะติดเชื้อที่แตกต่างกัน จึงทำให้วิธีการฟื้นฟูร่างกายก็ไม่เหมือนกัน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือควรรู้ถึงอาการเบื้องต้นเพื่อที่จะสามารถดูแลตัวเองให้ถูกวิธีได้

รศ.พญ.พรรณพิศ สุวรรณกูล อายุรแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ คลินิกอายุรกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ลองโควิด (Long Covid) เป็นภาวะหรืออาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย COVID-19 หลังจากได้รับเชื้อนาน 4 สัปดาห์ไปจนถึง 12 สัปดาห์ขึ้นไป อาการที่พบจะหลากหลายและแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วย COVID-19 ที่เชื้อลงปอดและมีโรคเรื้อรังร่วมด้วยจนทำให้ปอดทำงานหนัก ไม่แข็งแรง จากเดิมที่ปอดมีความยืดหยุ่นก็จะเริ่มแข็งและอาจเกิดแผลหรือพังผืดต่าง ๆ ในเนื้อปอดได้ ส่งผลทำให้แลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ไม่เต็มที่ เหนื่อยง่าย หายใจไม่เต็มปอด และมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและมักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อาการของลองโควิดที่พบบ่อย เช่น มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง เหนื่อยง่าย อ่อนแรง หายใจลำบาก หายใจติดขัด หายใจไม่อิ่ม ปวดศีรษะ สมาธิจดจ่อลดลง ความจำผิดปกติ ไอ เจ็บแน่นหน้าอก ปวดกล้ามเนื้อ ข้อต่อ ท้องร่วง ท้องเสีย จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ซึมเศร้า เครียด และ วิตกกังวล ในส่วนของภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) สมองล้า (Brain Fog) ภาวะพร่องทางระบบประสาทอัตโนมัติ (Dysautonomia) ภาวะ อาการอักเสบของปลอกหุ้มเส้นประสาท (Guillain – Barre Syndrome) โรคไฟโบรมัยอัลเจีย หรือโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง มีความไวในการรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าปกติ (Fibromyalgia) โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)

โดยเมื่อได้รับการรักษาจนหายจาก COVID -19 แล้ว คนไข้ควรหมั่นสังเกตอาการของตัวเอง เพราะแพทย์จะรักษาลองโควิดตามอาการเป็นหลัก หากพบว่ามีอาการตามที่กล่าวมาแล้วเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการต่างๆจะดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้การตรวจร่างกายอย่างเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้รู้ทันความผิดปกติที่เกิดขึ้นและสามารถดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม และสำหรับคนที่หายจาก COVID -19 แล้วนั้นไม่แนะนำให้ออกกำลังกายมากจนเกินไป ควรเป็นการออกกำลังแบบเบา ๆ เพื่อให้ปอดไม่ทำงานหนักจนเกินไปเพื่อร่างกายจะได้ค่อย ๆ ฟื้นและปรับตัวกลับสู่สภาวะที่แข็งแรง

ภาวะลองโควิดยังไม่มีสาเหตุแน่ชัด แต่สามารถทำให้เกิดความผิดปกติกับร่างกายและจิตใจของผู้ที่หายจาก COVID-19 ได้ แพทย์แนะนำให้สังเกตตัวเองอย่างละเอียด ประเมินร่างกายตนเองอยู่เสมอ และฟื้นฟูร่างกายอย่างถูกต้อง หากมีอาการที่ทำให้รบกวนการใช้ชีวิตต้องรีบพบแพทย์เพื่อรักษาทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้จนรุนแรงเพราะจะส่งผลต่อร่างกายในระยะยาวได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คลินิกอายุรกรรม รพ.กรุงเทพ โทร.1719

 

8 ท่าออกกำลังป้องกันหลอดเลือดดำอุดตัน

การ Work From Home ส่งผลให้กิจกรรมในชีวิตประจำวันต้องอยู่กับที่หรือนั่งทำงานเป็นเวลานาน  ซึ่งอาจส่งผลทำให้เกิดอาการเส้นเลือดอุดตันจากลิ่มเลือด (Deep Vein Thrombosis – DVT) ได้ รวมถึงการนั่งเครื่องบินหรือเดินทางเป็นเวาลานาน และกิจกรรมที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการขยับร่างกายเรื่อย ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะช่วยให้เลือดไหลเวียน ลดอาการปวดเมื่อยของร่างกาย

นพ. วสุพงศ์ ศรีเดิมมา ศัลยแพทย์และแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์หลอดเลือด ศูนย์หลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (Deep Vein Thrombosis หรือ DVT) หรือภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ เป็นภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ตามปกติ เกิดจากลิ่มเลือดอุดตันภายในหลอดเลือดดำส่วนลึกที่ขา ทำให้มีอาการปวดขามาก ขาบวมแข็งข้างเดียว มักเป็นบริเวณน่อง ร้อนที่ขา กดเจ็บตามแนวหลอดเลือดดำที่อุดตัน ผิวหนังสีแดงหรือสีผิวที่ขาเปลี่ยนแปลง อาจสัมพันธ์กับการนั่งเครื่องบินหรือนั่งรถเป็นเวลานาน นั่งนิ่ง ๆ ไม่ขยับขานานเกิน 4 – 8 ชั่วโมง ที่อันตรายที่สุดคือ ลิ่มเลือดอาจวิ่งขึ้นไปยังหัวใจแล้วอุดตันเส้นเลือดที่ปอด ถ้าลิ่มเลือดใหญ่มากอาจส่งผลให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงที่ปอดและเสียชีวิตได้ในที่สุด 

การออกกำลังกายและบริหารกล้ามเนื้อจึงเป็นสิ่งที่ป้องกันการเกิดภาวะหลอดเลือดดำอุดตันได้ดีที่สุด และ 8 ท่าออกกำลังกายห่างไกล DVT เป็นท่าที่สามารถทำเองที่บ้านได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง  

ท่าที่ 1 หมุนข้อเท้า ยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นจากพื้นเล็กน้อย หมุนข้อเท้าเป็นวงกลมให้ปลายเท้าหมุนเข้าหากัน ทำอย่างช้า ๆ 10 ครั้ง จากนั้นหมุนข้อเท้าเป็นวงกลมให้ปลายเท้าหมุนออกจากกัน ทำอย่างช้า ๆ 10 ครั้ง 

ท่าที่ 2 เขย่งเท้า วางเท้าทั้งสองข้างไว้กับพื้น กระดกปลายเท้าขึ้นโดยให้ส้นเท้าอยู่กับพื้น ค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นกระดกปลายเท้าลงนิ้วเท้าให้แตะพื้น ยกส้นเท้าสูงขึ้น ค้างไว้ 5 วินาที ทำแบบเดียวกัน 10 ครั้ง 

ท่าที่ 3 ยกเข่า วางเท้าทั้งสองข้างไว้กับพื้น ยกเข่าข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย ค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นสลับไปยกเข่าอีกข้างหนึ่ง ทำข้างละ 10 ครั้ง

ท่าที่ 4 หมุนคอ เอียงคอไปด้านซ้าย หมุนคอทวนเข็มนาฬิกาช้า ๆ 10 ครั้ง จากนั้นสลับหมุนคอตามเข็มนาฬิกาช้า ๆ อีก 10 ครั้ง

ท่าที่ 5 หมุนไหล่ หมุนไหล่ทั้งสองข้างไปด้านหน้า 10 ครั้ง หมุนไหล่ทั้งสองข้างไปด้านหลัง 10 ครั้ง 

ท่าที่ 6 สะบัดมือ สะบัดมือและนิ้วทั้งสองข้างข้างลละ 10 – 20 วินาที 

ท่าที่ 7 เหยียดแขน ยกมือขึ้นมาประสานนิ้ว เหยียดแขน เปิดฝ่ามือไปด้านหน้า ค้างไว้ 5 วินาที เหยียดแขนเปิดฝ่ามือไปด้านบน ค้างไว้ 5 วินาที ทำแบบนี้ซ้ำ 10 ครั้ง 

ท่าที่ 8 ลุกเดิน ไม่ควรอยู่กับที่นานเกินไป ควรหาลุกขยับตัว ยืดเส้น เดินไปหยิบของ เข้าห้องน้ำ หรือดื่มน้ำเรื่อย ๆ 

ภาวะหลอดเลือดดำอุดตันเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเพราะมีความเสี่ยงและอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่มีการป้องกันรักษาที่ถูกวิธี ดังนั้นควรขยับตัวทำกิจกรรมต่าง ๆ และออกกำลังอย่างเป็นประจำ เพื่อให้ห่างไกลโรคจากหลอดเลือดดำและมีสุขภาพที่แข็งแรง หารสงสัยว่ามีภาวะหลอดเลือดดำอุดตันควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาความเสี่ยงและรักษาทันทีสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์หลอดเลือด รพ.กรุงเทพ โทร.1719  หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital  

รพ.กรุงเทพ เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด-19

จากตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ ที่มีมากขึ้นทุกวัน ตอกย้ำถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 โดยรวมของประเทศไทยที่อยู่ในภาวะวิกฤตจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด นอกจากการยกการ์ดสูง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์หรือสบู่ เว้นระยะห่าง ลดการสัมผัสพื้นที่สาธารณะ วัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

ด้วยความตระหนักถึงความจำเป็นของการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ นำพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพร่วมสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพดี สร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ลดความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย และช่วยลดอัตราการเสียชีวิต เดินหน้าสนับสนุนการฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ จัดหน่วยบริการความร่วมมือฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชน  ทั้งหน่วยฉีดภายในโรงพยาบาลและเปิดนอกสถานพยาบาลบนพื้นที่ใจกลางเมือง  ร่วมกับ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร หอการค้าไทย และศูนย์การค้าสยามพารากอน ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 เป็นทางเลือกเสริม เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนได้เข้าถึงการบริการอย่างรวดเร็ว ด้วยประสิทธิภาพการบริหารจัดการและมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ลดความเสี่ยงจากการระบาดซ้ำ เป็นภารกิจฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว

พญ.เมธินี ไหมแพง รองประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สร้างผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทั้งประเทศและทั่วโลก รวมถึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม การกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนเป็นเรื่องเร่งด่วน  ลดการแพร่เชื้อ ลดความรุนแรงของโรค และลดความสูญเสีย โรงพยาบาลกรุงเทพในฐานะโรงพยาบาลที่อยู่เคียงข้างคนไทยมากว่า 50 ปี ได้จัดทีมแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญการพร้อมในการจัดการด้านมาตรฐานความปลอดภัย ที่ผ่านมาได้ช่วยสังคมไทยในด้านการแพทย์และสาธารณสุขในรูปแบบต่างๆ ทั้งการ การช่วยเหลือในด้านเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ แก่โรงพยาบาลรัฐ และการมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ ตลอดจนสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันแก่ผู้ด้อยโอกาสและชุมชน

ที่ผ่านมาโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้เปิดหน่วยบริการวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการจัดสรรจากภาครัฐ สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเสี่ยง ณ โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” เนื่องจากมีการระบาดของโควิด-19 เป็นวงกว้าง การจัดสรรพื้นที่ภายในโรงพยาบาลสำหรับการดูแลรักษาผู้ป่วยทั่วไป ยังคงมาตรการความปลอดภัยและเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวด งดการเข้าเยี่ยมของญาติ เพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ยังเปิดหน่วยบริการฉีดวัคซีน ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ยังเป็นหนึ่งใน 25 หน่วยฉีด ให้กับ โครงการ “ไทยร่วมใจ กรุงเทพฯ ปลอดภัย” ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการฉีดวัคซีนได้ง่าย สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการฉีดวัคซีนให้กับหน่วยงานต่าง ๆ  อาทิ สมาคมสายการบินประเทศไทย  พระสงฆ์ แม่ชีจากวัดต่างๆ  รวมไปถึงผู้พิการทางสายตา ผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ นอกจากการเปิดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่จุดบริการทั้งสองแห่งของโรงพยาบาลกรุงเทพ ยังผนึกกำลังร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดหน่วยบริการฉีดวัคซีนทางเลือก ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ซึ่งถือเป็นวัคซีนตัวเลือกที่เริ่มฉีดให้แก่คนไทย โดยการจัดสรรขององค์กรและหน่วยงานภาคอุตสาหกรรมที่กระจายฉีดให้แก่ประชาชนเป็นกลุ่มแรก อีกทั้งร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ดำเนินโครงการฉีดวัคซีนแจนส์เซน (Janssen) ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) แก่พลเมืองฝรั่งเศสที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางและมีข้อจำกัดในการเดินทางสามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยดำเนินการฉีดวัคซีนใน 8 หน่วยฉีดในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพทั่วประเทศ

นอกจากนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพได้ร่วมส่งเสริมสุขภาพ เพื่อเป็นการเสริมเกราะคุ้มกัน ลดความรุนแรงจากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ เตรียมเปิดให้บริการวัคซีนทางเลือก โมเดอร์นา (Moderna) ในช่วงปลายปีนี้ ด้วยความมุ่งมั่นว่าขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีและภูมิคุ้มกันมากขึ้น เพื่อก้าวข้ามภาวะวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

สยามพารากอน ฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับประชาชนทั่วไปวันแรก!!

สยามพารากอน ร่วมกับ โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และ หอการค้าไทย เดินหน้าฉีดวัคซีนแก่ประชาชนทั่วไปวันแรก ณ หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกสถานพยาบาล บนพื้นที่ใจกลางเมือง รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนด้วยประสิทธิภาพการบริหารจัดการและมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด โดยเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนศกนี้ เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศไทย โดยให้บริการแก่ประชาชนที่ลงทะเบียนผ่าน “หมอพร้อม” และ “โครงการไทยร่วมใจ กรุงเทพปลอดภัย”

ทั้งนี้สยามพารากอนร่วมสนับสนุนภารกิจเพื่อชาติครั้งนี้อย่างเต็มกำลัง จัดเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด -19 บนพื้นที่ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางถึง 12,000 ตร.ม. ทั้งยังมีระบบบริหารจัดการที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพสามารถรองรับประชาชนที่มาฉีดวัคซีนได้จำนวนมากกว่า 2,500 คนต่อวัน มีการเว้นระยะห่าง ไม่แออัด และปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด สามารถเชื่อมั่นในความปลอดภัยสูงสุด อีกทั้งได้ร่วมกับทิพยประกันภัยจัดเตรียมประกันการแพ้วัคซีนมอบให้ผู้มาฉีดวัคซีนที่สยามพารากอน โดยสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ประกันภัยได้ฟรีตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ก.ค. 2564

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพได้ประสานความร่วมมือกับศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับการฉีดวัคซีนในครั้งนี้ โดยโรงพยาบาลฯ ยังคงยึดมั่นในการให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ และมาตรฐานทัดเทียมกับการบริการภายในสถานพยาบาล เพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นสำคัญ ด้วยมาตรการความปลอดภัย มาตราฐานการควบคุมโรคติดเชื้อ การเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด มาตรฐานการขนส่ง การจัดเตรียม และรักษาคุณภาพวัคซีน ตลอดจนมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ในกรณีที่มีผู้ป่วยจากการแพ้วัคซีนที่รุนแรง หรือภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์อื่นๆ โดยได้จัดเตรียมห้องพยาบาลที่มีอุปกรณ์ ยา และเวชภัณฑ์สำหรับการช่วยกู้ชีวิตขั้นสูง พร้อมทีมบุคลากรการแพทย์ฉุกเฉินซึ่งประกอบไปด้วยแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน พยาบาล และพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว และได้วางแผนการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินร่วมกับโรงพยาบาลตำรวจเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาในสถานพยาบาลที่มีประสิทธิภาพอย่างรวดเร็วที่สุด

โดยประชาชนจะได้รับบริการวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการจัดสรรจากภาครัฐ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน – 31 กรกฎาคม 2564 สำหรับจุดบริการฉีด ของโรงพยาบาลกรุงเทพ มี 2 จุด คือ จุดที่ 1.โรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย เวลา 08.00-17.00 น. และ จุดที่ 2. โรงพยาบาลกรุงเทพ (สยามพารากอน) รับบริการที่รอยัล
พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน** เวลา 09.00-16.00 น. โดยให้บริการกับผู้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านแอปพลิเคชัน หรือ ไลน์ “หมอพร้อม” และผู้ที่ลงทะเบียนผ่าน โครงการ “ไทยร่วมใจ กรุงเทพปลอดภัย” เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมการแพร่ระบาดสูงสุด ได้รับการกระจายการฉีดวัคซีนได้ทั่วถึงมากที่สุด หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการนัดหมายฉีดวัคซีนโควิด-19 สามารถติดต่อได้ที่ COVID Center รพ. กรุงเทพ โทร. 02-308-7171 (4 คู่สาย) ในเวลาทำการ 08.00 – 17.00 น.

นับเป็นการผนึกกำลังของสองภาคเอกชนที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนภารกิจของภาครัฐ เพื่อกระจายวัคซีนโควิด 19 ไปยังประชาชนอย่างทั่วถึง และรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยนำพาประเทศชาติให้ก้าวผ่านวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกัน