เบาหวานกับโควิด ชีวิตไปทางไหน

ในช่วงนี้ที่โควิด-19 ยังคงระบาดและมีผู้เสียชีวิตสะสมเพิ่มขึ้นทุกวัน มีข้อมูลที่ทำให้คนเป็นเบาหวานรู้สึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย นั่นก็คือ ผู้ป่วยโควิดที่เสียชีวิตหลายคนถูกระบุว่ามีประวัติเป็นเบาหวานมาก่อน

จากความกังวลใจเรื่องนี้ โรงพยาบาลนวเวช จึงได้จัดสัมมนากลุ่มย่อยเรื่อง เบาหวานกับโควิด ชีวิตไปทางไหน โดยเชิญ นพ.ธวัชชัย ภาสุรกุล อายุรแพทย์ ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลนวเวช มาให้คำแนะนำว่าผู้ป่วยเบาหวานควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อลดโอกาสการเสียชีวิตเมื่อติดโควิด โดยมีผู้ป่วยเบาหวาน ผู้มีความเสี่ยง ผู้ดูแลคนไข้เบาหวาน และผู้ที่สนใจ เข้าร่วมสัมมนาที่จัดขึ้นแบบ Social Distancing ซึ่งข้อมูลที่คุณหมอแนะนำและการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสัมมนาครั้งนี้นับว่าน่าสนใจ ใครไม่ได้ไปร่วมงาน ลองอ่านและนำไปปฏิบัติตามก็ได้ประโยชน์ไม่น้อย

นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า แม้ผู้ป่วยเบาหวานจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อไม่ต่างจากคนไม่เป็นเบาหวาน แต่หากติดเชื้อแล้วจะมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรงกว่า ต้องดูแลรักษามากกว่า อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เชื้ออาจลงปอดได้มากกว่า อาจต้องเข้าไอซียูมากกว่า และมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนไม่เป็นเบาหวาน 3-4 เท่า

เหตุผลที่ทำให้คนเป็นเบาหวานที่ติดเชื้อโควิดมีอาการรุนแรงก็เพราะคนที่เป็นเบาหวานมีภูมิต้านทานต่ำกว่าคนปกติ เนื่องจากน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นจะทำให้เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคอ่อนแอลง และเมื่อติดเชื้ออักเสบลุกลาม ร่างกายก็เกิดความเครียดที่จะต้องต่อสู้กับเชื้อโรค โดยหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ซึ่งฮอร์โมนนี้ก็เป็นตัวสำคัญในการสร้างน้ำตาลให้สูงขึ้นอีก

นพ.ธวัชชัย อธิบายเพิ่มว่า ในเยื่อบุร่างกายของคนเรามีตัวรับเชื้อโรคที่เรียกว่า AEC2 Receptor อยู่แทบทุกเซลล์ ทั้งหัวใจ หลอดเลือด ตับ ไต ปอด เมื่อเชื้อโรคเข้าไปในร่างกายจะไปจับกับ AEC2 Receptor แล้วแบ่งตัว กระจาย ลุกลาม คนที่เป็นเบาหวานเมื่อติดเชื้อโควิด ถ้ามีภาวะน้ำตาลสูง เชื้อโควิดก็จะแบ่งตัวได้เร็วขึ้น และมีโอกาสกระจายเข้าสู่ปอดได้เร็วขึ้นด้วย

นอกจากเรื่องภูมิต้านทานต่ำแล้ว อายุก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้ นพ.ธวัชชัย ให้ข้อมูลว่า จำนวนผู้ป่วยเบาหวานในเมืองไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปมีประมาณ 9% หรือประมาณ 5 ล้านคน แต่ช่วงอายุที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือ 60-70 ปี คิดเป็นเกือบ 20% คนที่เป็นเบาหวานส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวาน ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ การที่มาตรวจพบว่าเป็นเบาหวานตอนอายุ 60 ปีนั้น ความจริงอาจเป็นมาตั้งแต่อายุ 30 ปีก็ได้ ซึ่งการเป็นเบาหวานมานานจะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดแดงตีบ หัวใจ อัมพาต ตา ไต เพราะฉะนั้นผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานซึ่งมีพื้นฐานร่างกายไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะยิ่งมีโอกาสถูกซ้ำเติมจากโควิดได้ง่ายขึ้น

แม้จะเป็นเบาหวาน แต่ถ้าคุมน้ำตาลได้ดี ต่อให้ติดโควิดก็ยังเบาใจได้ เพราะโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจะน้อยลง การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจะดีกว่าคนที่ไม่คุมน้ำตาลไม่ดี

นพ.ธวัชชัย กล่าวถึงตัวชี้วัดที่บ่งบอกว่าเราคุมน้ำตาลได้ดีแค่ไหน มีอยู่ 3 ตัว คือ

1. FBS (Fasting Blood Sugar) หรือน้ำตาลก่อนอาหาร ค่าที่ได้ไม่ควรเกิน 130 mg/dL. แต่ถ้าเราตั้งเป้าหมายที่เข้มงวดคือไม่ควรเกิน 110 mg/dL.

2. HbA1C หรือน้ำตาลเฉลี่ย ค่าปกติอยู่ที่ 4-6% ค่านี้สะท้อนถึงการแกว่งของน้ำตาลในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เป้าหมายการรักษาต้องการให้ A1C ไม่เกิน 7% คำนวนเป็นค่าเฉลี่ยน้ำตาลไม่เกิน 154 mg/dL ถ้ารักษาอย่างเข้มงวดไม่เกิน 6.5% คำนวนค่าเฉลี่ยน้ำตาลไม่เกิน 140 mg/dL.

3. น้ำตาลหลังอาหาร โดยวัดหลังจากรับประทานอาหาร 1-2 ชั่วโมง ไม่ควรเกิน 180 mg/dL.ถ้าต้องการตั้งเป้าหมายที่เข้มงวดต้องคุมไม่ให้เกิน 140 mg/dL.

“น้ำตาลเป็นสารพิษที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหน้าที่ต่างๆ ระดับเซลล์ ผู้ป่วยเบาหวานถ้าไม่อยากเสียชีวิตจากโควิด ต้องคุมน้ำตาลให้ดี กินอย่างไรก็ได้ที่ไม่ทำให้น้ำตาลสูง ให้แกว่งตัวแคบๆ ในช่วง 70-180 mg/dL. เพื่อให้ค่าเฉลี่ยออกมาน้อยกว่า 7% เราไม่ต้องการให้น้ำตาลแกว่งมาก เช่น 50-300 mg/dL. แม้ว่าค่าเฉลี่ย A1C จะออกมา 7% ก็ไม่ดี เพราะน้ำตาลต่ำอันตราย น้ำตาลสูงก็อันตราย คนที่เป็นเบาหวานจะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการควบคุมน้ำตาลอยู่3 วิธี คือ อาหาร ออกกำลังกาย และยา ต้องทำให้ 3 สิ่งนี้สมดุล เพื่อให้น้ำตาลแกว่งอยู่ในช่วง 70-180 mg/dL.” นพ.ธวัชชัย กล่าว

ได้ทราบวิธีที่จะช่วยลดอาการรุนแรงของผู้ป่วยเบาหวานที่ติดเชื้อโควิดไปแล้ว แต่การป้องกันไม่ให้ตัวเองติดเชื้อคือวิธีที่ดีที่สุด ซึ่ง นพ.ธวัชชัย ได้ทิ้งท้ายว่าถ้าไม่ติดโควิดก็ไม่ต้องมากังวลกับความรุนแรงและการเสียชีวิต คำแนะนำในการป้องกันโควิดก็เช่นเดียวกับคนทั่วไป คือ สวมแมสก์ ล้างมือ เว้นระยะห่าง และฉีดวัคซีนป้องกันให้เร็วที่สุด

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่โรงพยาบาลนวเวช โทร. 02 483 9999 หรือ www.navavej.com

มาตรวจเบาหวานกันเถิด

โรคเบาหวาน หมายถึงโรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อน ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยกว่าปกติ หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่

นพ.ธวัชชัย ภาสุรกุล อายุรแพทย์ ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลนวเวช

นพ.ธวัชชัย ภาสุรกุล อายุรแพทย์ ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลนวเวช ได้กล่าวถึงปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานว่ามีหลายอย่าง และน้ำหนักของแต่ละอย่างก็ไม่เท่ากัน มีงานศึกษาปัจจัยเสี่ยงหลาย ๆ อย่างของเบาหวาน แล้วนำข้อมูลมาคำนวณเป็นคะแนนความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานในอนาคต ซึ่งสามารถใช้ทำนายความเสี่ยงในอีก 12 ปีข้างหน้าได้อย่างแม่นยำพอสมควรในคนไทย

การแปลผลคะแนนความเสี่ยง คะแนนยิ่งสูง ความเสี่ยงยิ่งเพิ่มมากขึ้น คะแนนสูงสุดคือ 17 คะแนน ผู้ที่ต้องการจะรู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานมากน้อยแค่ไหนก็ลองทำตามตารางดู ถ้าได้ คะแนนตั้งแต่ 6 ขึ้นไป ควรจะไปตรวจเช็คเบาหวาน

ใครควรตรวจเบาหวาน? จากตารางข้างบนจะเห็นว่า เบาหวานมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง และแต่ละอย่างก็มีน้ำหนักไม่เท่ากัน แล้วในผู้ใหญ่ที่มีโอกาสเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 ได้ถึงมากกว่า 90% ควรจะคัดกรองเบาหวานเมื่อไหร่

  • ในประชากรทั่วไป ผู้ที่มีอายุตั้งแต่35ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน (ดัชนีมวลกาย>25กก./ตร.ม. หรือ >23 กก./ตร.ม.ในคนไทย) ที่มีข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
  1. มีประวัติเบาหวานในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง สายตรง
  2. มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
  3. เป็นความดันโลหิตสูง หรือรับประทานยารักษาอยู่
  4. ผู้ที่มีไขมันผิดปกติ HDL <35 มก/ดล. และ/หรือ Triglyceride >250 มก/ดล. หรือรับประทานยารักษา
  5. ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย
  6. กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic ovarian syndrome) ในผู้หญิง
  7. ผู้ที่มีลักษณะทางคลินิกที่เกิดร่วมกับ “ภาวะดื้อต่ออินซูลิน” (Insulin resistance) เช่น อ้วนมาก (severe
  8. obesity) acanthosis nigricans (รอยปื้นดำ หนา ขรุขระ ที่บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ เป็นต้น)
  9. เชื้อชาติที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อัฟริกันอเมริกัน ละติน อินเดียนแดง กลุ่มชนหมู่เกาะแปซิฟิก เป็นต้น
  10. ผู้หญิงที่อ้วน และวางแผนที่จะมีบุตร ควรตรวจเบาหวาน หรือภาวะก่อนเบาหวาน ด้วย

บุคคลเหล่านี้ควรตรวจเบาหวานใน “ทุกอายุ”

  • ผู้ที่อยู่ในภาวะก่อนเบาหวาน (น้ำตาลสูงกว่าปกติ แต่ไม่ถึงเกณฑ์วินิจฉัยเบาหวาน)
  1. HbA1c = 5.7-6.4%,
  2. ค่าน้ำตาลหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมงขึ้นไป อยู่ระหว่าง 100-125 มก/ดล. (Impaired fasting glucose หรือ IFG คือน้ำตาลขณะอดอาหารบกพร่อง)

ควรได้รับการตรวจเบาหวาน “ทุกปี

  • ผู้หญิงที่มีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes mellitus) ควรตรวจเบาหวานตลอดไปอย่างน้อยทุก3 ปี (กรณีที่ยังไม่เป็น)
  • ผู้ที่เป็นโรคเอดส์ (HIV)

ซึ่งถ้าตรวจแล้วปกติ ควรตรวจอย่างน้อยทุก 3 ปี หรือแล้วแต่ปัจจัยเสี่ยง และผลการตรวจ

สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงในภาวะก่อนเบาหวานและเบาหวานประเภทที่ 2

  • ไม่มีใครทราบ “จุดเริ่มต้น” (onset) ของเบาหวาน จะเป็นเมื่อไหร่
  • ส่วนใหญ่ไม่มีอาการอะไร หรืออาการน้อยจนไม่ทราบว่า นั่นคืออาการของเบาหวาน
  • ถ้าชะล่าใจ หรือประมาท คิดว่าไม่เป็นอะไร อาจมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังได้
  • ถ้ารู้ตัวว่าเป็นภาวะก่อนเบาหวาน สามารถป้องกัน หรือชะลอการเป็นเบาหวานในอนาคตได้

มาตรวจเบาหวานกันเถิด เพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคต ไม่ต้องกลัวถ้าจะต้องเป็น ดีกว่าเป็นโดยไม่รู้ ป้องกันดีกว่ารักษา เพราะฉะนั้น “มาตรวจเบาหวานกันเถิด” เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นเบาหวาน และป้องกันเบาหวานไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน สามารถขอรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่โรงพยาบาลนวเวช โทร.02 483 9999 www.navavej.com