ชวนสังคม “สูงวัย” ปรับพฤติกรรมเสี่ยง ป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม

ในปัจจุบัน ประเทศไทยพบผู้ป่วยมากกว่า 6 ล้านคน ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปพบได้ถึงร้อยละ 50 ปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุคือโรคกระดูกและข้อ  อายุที่เพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่สะท้อนความสามารถในการซ่อมแซมของกระดูกอ่อนกำลังลดลงไปทุกที อาการข้อเข่าเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมของเราในชีวิตประจำวันเองเช่นกัน

นายแพทย์นิธิวุฒิ ปิ่นสิรานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ โรงพยาบาลนครธน เผยว่าเมื่อร่างกายถูกใช้งานเป็นเวลาก็อาจมีความเสื่อมไปตามกาลเวลา การเสื่อมตามธรรมชาติของร่างกายมักจะเริ่มเกิดกับบุคคลที่มีอายุ 40 ขึ้นไป ซึ่ง “โรคข้อเข่าเสื่อม”(Knee osteoarthritis) เกิดจากการใช้งานผิวกระดูกอ่อนที่อยู่ในข้อเข่าเริ่มมีการสึก  อาการปวดข้อเข่านั้นจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเมื่อมีการเคลื่อนไหวของข้อเข่า เป็นสิ่งที่รบกวนการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็น การนั่ง การเดิน การยืน เป็นต้น ดังนั้นควรปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง เพื่อป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมช่วยชะลอกระดูกข้อเข่าให้ใช้งานได้นานมากขึ้น ทั้งนี้ครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ ก็สามารถสังเกตและดูแลพฤติกรรมของผู้สูงอายุในบ้านได้อีกด้วย

วิธีป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม

  • การนั่ง สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ การนั่งยอง ๆ นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ การนั่งในอิริยาบถเหล่านี้จะทำให้ข้อเข่ารับน้ำหนักมากขึ้น ท่าที่พับงอกระดูกอ่อนจะเสียดสีกันสูงกว่าปกติ อาจจะต้องปรับด้วยการนั่งบนเก้าอี้ ด้วยอิริยาบถที่เหมาะสมหากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ควรปรับเปลี่ยนอิริยาบถสลับมานั่งเก้าอี้ที่ห้อยขาหรือสลับมานั่งเหยียดขา รวมไปถึงการเข้าห้องน้ำ ควรหลีกเลี่ยงการนั่งสุขภัณฑ์นั่งยองเพื่อลดแรงกดทับในข้อเข่าลง  การใช้งานหนักติดต่อกันต่อเนื่องแบบนี้ก็ย่อมเสื่อมสมรรถภาพไปอย่างรวดเร็ว
  • การนอน ความสูงของเตียงที่เหมะสมกับหัวเข่า เวลาที่นั่งบนเตียงก่อนจะนอน สามารถตะแคงตัวนอนได้ง่าย เวลาที่ลุกก็จะไม่ลำบากและหลีกเลี่ยงการนอน ห่อตัว หดเข่า เพราะมีโอกาสจะเป็นข้อเข่าเสื่อมมากกว่าปกติ
  • การเดิน การขึ้น-ลงบันไดเป็นสิ่งที่ควรระวัง แต่แนะนำว่าห้องนอนผู้สูงอายุควรอยู่ชั้นล่าง สามารถลดความเสี่ยงอุบัติเหตุจากการขึ้น-ลงบันได และหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักที่หัวเข่าเดินในพื้นที่ราบ ไม่มีความชันมากจนเกินไป รองเท้าสำหรับผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงการใส่ส้นสูง ผู้สูงอายุสามารถใส่รองเท้าสำหรับเดินในบ้านเพื่อลดแรงกระแทกต่อข้อเข่า
  • การยืน ต้องฝึกการลงน้ำหนักที่บาลานซ์เท่ากัน ให้สม่ำเสมอไม่ยืนทิ้งน้ำหนักไปที่ขาเดียวให้น้ำหนักไปลงข้างใดข้างหนึ่ง เพราะหัวเข่าอาจได้รับน้ำหนักที่มากเกินไป
  • การควบคุมน้ำหนัก เป็นวิธีที่ต้องดูแลร่างกายเป็นอย่างมาก อย่าให้น้ำหนักเยอะเกินไป เกณฑ์ดัชนีมวลกาย (BMI) ไม่ควรเกิน 25 เพราะหากเกินมาตรฐานทำให้หัวเข่าต้องแบกรับน้ำหนักจึงเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น
  • การบริหารข้อเข่า การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม พอเหมาะ และพอดี เช่น ฝึกงอ ยืดเหยียดข้อเข่า การยกเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาการเดิน การวิ่ง จะสามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณหัวเข่าให้แข็งแรงได้
  • อุปกรณ์ช่วยพยุง ในกรณีที่ผู้สูงอายุมีอารปวดและไม่สามารถเดินไหว สามารถนำมาใช้เป็นตัวช่วยในครั้งคราวได้ช่วยรองรับน้ำหนักตัวเพื่อให้มีการทรงตัวที่ดีขึ้น เมื่อมีอุปกรณ์ก็จะช่วยทำให้ผู้สูงอายุกล้าที่จะเดินอย่างมั่นใจช่วยลดการล้มและอุบัติเหตุ มีการเคลื่อนไหวของร่างกายมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพที่ดี

ทั้งนี้ พฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางทีอาจมีการละเลยไป พฤติกรรมเสี่ยงจึงค่อย ๆ ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ดึงนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นเรื่องที่ดีและสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อชะลอการเสื่อมของร่างกาย ทำให้ได้ทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ พร้อมกับใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติและมีความสุข

โรงพยาบาลนครธน ตั้งอยู่ในทำเลย่านพระราม 2 สะดวกเข้าถึงง่าย และเปิดการสื่อสารสะดวกหลากหลายช่องทางสำหรับทุกเจนเนอเรชั่น  ทั้งผ่านระบบโทรศัพท์ โทร 02-450-9999บริการคอนแทคเซ็นเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมงและออนไลน์แพลตฟอร์มทางเว็บไซต์www.nakornthon.com สามารถนัดหมายแพทย์เฉพาะทางและ บริการถาม-ตอบปัญหาสุขภาพผ่าน LINE official @Nakornthon Hospital และเฟซบุ๊กเพจ FB: Nakornthon Hospital บริการให้ข้อมูลรวมถึงติดตามข่าวสารและข้อมูลการรักษาเพิ่มเติมได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้โรงพยาบาลยังเข้าถึงผู้รับบริการต่างชาติ(กลุ่มคนจีน) ผ่านทางเว็บไซต์ Weibo และ WeChat ตอบโจทย์คนในแต่ละพื้นที่บริการได้อย่างครบครัน   ด้วยการดูแลอย่างเข้าใจดุจญาติมิตรทุกขั้นตอน  จากการตรวจรักษาไปจนถึงการฟื้นฟูด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ มุ่งเน้นให้ความคุ้มค่าเหนือราคา

การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ

เมื่ออายุเพิ่มขึ้นความเสื่อมของร่างกายก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ประเทศไทยพบผู้ป่วยมากกว่า 6 ล้านคน ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปพบได้ถึงร้อยละ 50 ซึ่งเป็นปัญหาของผู้สูงวัยที่มักจะพบบ่อยคือ โรคข้อเข่าเสื่อม(Knee osteoarthritis) สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากน้ำหนักตัวที่มากใช้เข่ามาก อาจใช้นานกว่าปกติ หรือผิดท่ามักมีอาการปวดหรืออักเสบบริเวณข้อเข่า การย่างเข้าสู่วัยผู้สูงอายุด้วยแล้วยิ่งต้องดูแลมากเป็นพิเศษหากโรคข้อเข่าเสื่อมเกิดขึ้นก็จะต้องพบกับความทรมานและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก

นายแพทย์นิธิวุฒิ ปิ่นสิรานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ โรงพยาบาลนครธน เผยว่า สาเหตุหลักของการเสื่อมของข้อเข่าสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ประเภทที่หนึ่งคือ ปฐมภูมิการเสื่อมตามธรรมชาติ จะเริ่มเกิดกับบุคคลที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เกิดจาการใช้งานผิวกระดูกอ่อนที่อยู่ในข้อเข่าเริ่มมีการสึก แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการซักประวัติอาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะอาการปวด ลักษณะที่ผิดปกติ และการตรวจร่างกายอย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์จะทำการส่งตรวจเอกซเรย์ (XRay) เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แม่นยำการเอกซเรย์ประกอบการวินิจฉัยของโรคจะพบว่ามีหินปูนเกาะอยู่ตรงบริเวณกระดูกข้อเข่าจะเกิดขึ้นเมื่อข้อเข่าเสื่อมสภาพ ประเภทที่สองคือ
ทุติยภูมิ การเกิดจากอุบัติเหตุ กระดูกข้อเข่าจะมีการถูกกระแทกได้รับความเสียหาย บิดพลิก ทำให้สภาพแวดล้อมในตัวข้อเข่าไม่ว่าจะเป็นเส้นเอ็น หมอนรองกระดูกเกิดการฉีกขาด ทำให้ผิวกระดูกอ่อนของข้อเข่าเกิดการสึกซึ่งจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วกว่าปกตินอกจากนี้โรคประจำตัวก็มีส่วนที่ส่งผลให้ข้อเข่าเสื่อมได้เร็วขึ้น เช่น โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยด์ เป็นต้น

สังเกตอาการของ “โรคข้อเข่าเสื่อม”(Knee osteoarthritis) จะเริ่มจากอาการปวดเป็น
หาย ๆ เมื่อได้พักการใช้เข่า อาการปวดก็จะทุเลาลง และจะปวดมากขึ้นเมื่อมีการใช้งานข้อนั้นมาก อาการที่หนักขึ้นจะเป็นตลอดเวลา เกิดภาวะข้อฝืด มีเสียงดังในเข่า ใช้งานไม่ถนัด บางรายมีข้อติด ตามมาด้วยการเกิดข้อผิดรูป หัวเข่าเสื่อมบวมโต บางรายมีขาโก่งออกมาและเป็นโรคเรื้อรังโรคหนึ่งที่เป็นสาเหตุของความพิการหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

นอกจากนี้ คุณหมอพูดถึงพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้ข้อเข่ามีการเสื่อม เช่น การนั่งยอง ๆ นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ ออกกำลังกายที่มีการกระโดด ขึ้น-ลงบันไดบ่อย ๆ ยกของหนักน้ำหนักเกินมาตรฐาน เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นการบาลานซ์น้ำหนักอย่างไม่ลงตัว การดูแลตัวเองโดยการปรับเปลี่ยนอิริยาบถและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมในชีวิตประจำวันถือเป็นสิ่งสำคัญเพราะสามารถช่วยชะลอการเสื่อมของข้อเข่า และยืดอายุการใช้งานของข้อให้นานขึ้นได้อีกด้วย

แนวทางการรักษา

ในกรณีไม่ผ่าตัด คือการรักษาแบบประคับประคอง โดยใช้วิธีการให้ยารับประทาน ยาทาบริเวณเฉพาะจุด และยาสำหรับฉีดเฉพาะจุด ดังนี้ ยารับประทานหมวดหมู่กลุ่มแก้ปวด, กลุ่มคลายกล้ามเนื้อ, กลุ่มยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เรียกว่าเอ็นเสด(NSAIDs) ยาทาเฉพาะจุดเจลทาลดการอักเสบ หรือสเปรย์พ่นบริเวณที่ปวดและ การฉีดยาเฉพาะจุด การฉีดรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมสามารถทำได้ 2 แบบคือ ฉีดสเตียรอยด์จะใช้ในกรณีที่ข้อเข่ามีอาการอักเสบแบบเฉียบพลัน โดยฤทธิ์ของสเตียรอยด์จะช่วยลดอาการปวดในช่วงที่โรคข้อเข่าเสื่อมอยู่ในระยะที่มีการอักเสบบวมแดงร้อนได้อย่างรวดเร็วแบบที่สอง คือ ฉีดน้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่าเป็นสารสกัดของ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในน้ำเลี้ยงข้อปกติ ด้วยเหตุนี้น้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่า จึงมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในเนื้อเยื่อของร่างกาย การฉีดน้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่า จะช่วยปรับคุณภาพและสมดุลของปริมาณน้ำในข้อ ทำให้ข้อเคลื่อนไหวดีขึ้น มีฤทธิ์ลดการอักเสบทำให้อาการปวดข้อลดลง การใช้ยาชนิดนี้อาจชะลอการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าออกไปได้
ในกรณีผ่าตัด กรณีผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมรุนแรง แพทย์จะพิจารณาใช้เทคโนโลยีการรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Knee Arthroplasty) แบ่งเป็น

ารผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมบางส่วน (Unicompartmental Knee Arthroplasty: UKA) เป็นการผ่าตัดเอาผิวข้อเข่าเฉพาะส่วนที่เสื่อมออก โดยเก็บรักษาผิวข้อเข่าในส่วนที่กระดูกอ่อนยังอยู่ในสภาพดีไว้ แล้วทดแทนด้วยผิวข้อเทียม และกระดูกอ่อนเทียมเพียงบางส่วน

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งข้อ (Total Knee Arthroplasty: TKA) ใช้กับผู้ป่วยที่มีข้อเข่าเสื่อมรุนแรง มีอาการปวดทั่วทั้งเข่า และแกนขา จึงมีความจำเป็นต้องทำการผ่าตัดแบบ เปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมทั้งหมด

โดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมที่โรงพยาบาลนครธน มีแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัด การผ่าตัดใช้เว12 ชั่วโมงเท่านั้นสำหรับเรื่องแผลไร้กังวล เพราะแผลจะมีขนาดเล็กอย่างเหมาะสมสามารถฟื้นตัวเร็วภายใน 35 วัน หลังจากการผ่าตัดก็จะกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติแต่อย่างไรก็ตาม อยากให้ดูแลสุขภาพการใช้ชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุด เพราะไม่มีอะไรดีไปกว่าธรรมชาติ ยิ่งดูแลสขภาพดี ทุกคนก็จะมีต้นทุนชีวิตเรื่องสุขภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น นายแพทย์นิธิวุฒิ กล่าวสรุป

โรงพยาบาลนครธน ตั้งอยู่ในทำเลย่านพระราม 2 สะดวกเข้าถึงง่าย และเปิดการสื่อสารสะดวกหลากหลายช่องทางสำหรับทุกเจนเนอเรชันทั้งผ่านระบบโทรศัพท์ โทร02-450-9999บริการคอนแทคเซ็นเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมงและออนไลน์แพลตฟอร์มทางเว็บไซต์ www.nakornthon.com สามารถนัดหมายแพทย์เฉพาะทางและ บริการถาม-ตอบปัญหาสุขภาพผ่าน LINE official @Nakornthon Hospital และเฟซบุ๊กเพจ FB: Nakornthon Hospital บริการให้ข้อมูลรวมถึงติดตามข่าวสารและข้อมูลการรักษาเพิ่มเติมได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้โรงพยาบาลยังเข้าถึงผู้รับบริการต่างชาติ(กลุ่มคนจีน) ผ่านทางเว็บไซต์ Weibo และ WeChatตอบโจทย์คนในแต่ละพื้นที่บริการได้อย่างครบครัน ด้วยการดูแลอย่างเข้าใจดุจญาติมิตรทุกขั้นตอนจากการตรวจรักษาไปจนถึงการฟื้นฟูด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ มุ่งเน้นให้ความคุ้มค่าเหนือราคา