บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC สาขาโรงงานแม่แตง ร่วมกับหน่วยงานเทศบาลตำบลแม่
ป้ายกำกับ: โควิด-19
รพ.กรุงเทพ เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด-19
จากตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ ที่มีมากขึ้นทุกวัน ตอกย้ำถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 โดยรวมของประเทศไทยที่อยู่ในภาวะวิกฤตจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด นอกจากการยกการ์ดสูง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์หรือสบู่ เว้นระยะห่าง ลดการสัมผัสพื้นที่สาธารณะ วัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
ด้วยความตระหนักถึงความจำเป็นของการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ นำพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพร่วมสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพดี สร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ลดความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย และช่วยลดอัตราการเสียชีวิต เดินหน้าสนับสนุนการฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ จัดหน่วยบริการความร่วมมือฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชน ทั้งหน่วยฉีดภายในโรงพยาบาลและเปิดนอกสถานพยาบาลบนพื้นที่ใจกลางเมือง ร่วมกับ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร หอการค้าไทย และศูนย์การค้าสยามพารากอน ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 เป็นทางเลือกเสริม เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนได้เข้าถึงการบริการอย่างรวดเร็ว ด้วยประสิทธิภาพการบริหารจัดการและมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ลดความเสี่ยงจากการระบาดซ้ำ เป็นภารกิจฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว
พญ.เมธินี ไหมแพง รองประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สร้างผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทั้งประเทศและทั่วโลก รวมถึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม การกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนเป็นเรื่องเร่งด่วน ลดการแพร่เชื้อ ลดความรุนแรงของโรค และลดความสูญเสีย โรงพยาบาลกรุงเทพในฐานะโรงพยาบาลที่อยู่เคียงข้างคนไทยมากว่า 50 ปี ได้จัดทีมแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญการพร้อมในการจัดการด้านมาตรฐานความปลอดภัย ที่ผ่านมาได้ช่วยสังคมไทยในด้านการแพทย์และสาธารณสุขในรูปแบบต่างๆ ทั้งการ การช่วยเหลือในด้านเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ แก่โรงพยาบาลรัฐ และการมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ ตลอดจนสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันแก่ผู้ด้อยโอกาสและชุมชน
ที่ผ่านมาโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้เปิดหน่วยบริการวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการจัดสรรจากภาครัฐ สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเสี่ยง ณ โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” เนื่องจากมีการระบาดของโควิด-19 เป็นวงกว้าง การจัดสรรพื้นที่ภายในโรงพยาบาลสำหรับการดูแลรักษาผู้ป่วยทั่วไป ยังคงมาตรการความปลอดภัยและเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวด งดการเข้าเยี่ยมของญาติ เพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ยังเปิดหน่วยบริการฉีดวัคซีน ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ยังเป็นหนึ่งใน 25 หน่วยฉีด ให้กับ โครงการ “ไทยร่วมใจ กรุงเทพฯ ปลอดภัย” ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการฉีดวัคซีนได้ง่าย สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการฉีดวัคซีนให้กับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ สมาคมสายการบินประเทศไทย พระสงฆ์ แม่ชีจากวัดต่างๆ รวมไปถึงผู้พิการทางสายตา ผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ นอกจากการเปิดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่จุดบริการทั้งสองแห่งของโรงพยาบาลกรุงเทพ ยังผนึกกำลังร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดหน่วยบริการฉีดวัคซีนทางเลือก ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ซึ่งถือเป็นวัคซีนตัวเลือกที่เริ่มฉีดให้แก่คนไทย โดยการจัดสรรขององค์กรและหน่วยงานภาคอุตสาหกรรมที่กระจายฉีดให้แก่ประชาชนเป็นกลุ่มแรก อีกทั้งร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ดำเนินโครงการฉีดวัคซีนแจนส์เซน (Janssen) ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) แก่พลเมืองฝรั่งเศสที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางและมีข้อจำกัดในการเดินทางสามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยดำเนินการฉีดวัคซีนใน 8 หน่วยฉีดในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพทั่วประเทศ
นอกจากนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพได้ร่วมส่งเสริมสุขภาพ เพื่อเป็นการเสริมเกราะคุ้มกัน ลดความรุนแรงจากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ เตรียมเปิดให้บริการวัคซีนทางเลือก โมเดอร์นา (Moderna) ในช่วงปลายปีนี้ ด้วยความมุ่งมั่นว่าขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีและภูมิคุ้มกันมากขึ้น เพื่อก้าวข้ามภาวะวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
ระวัง “มิจฉาชีพ” หลอกขอข้อมูลรับเงินเยียวยาสู้โควิด-19
นางสาวลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการรับสิทธิรับเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อกดาวน์พื้นที่สีแดงเข้ม รวม 13 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ว่า ขณะนี้มีผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวนกว่า 3.1 ล้านคน ที่มีสัญชาติไทย จะได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายครั้งเดียวโดยโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชนเท่านั้น ซึ่งเงินเยียวยาจะเริ่มโอนเงินรอบแรกในวันที่ 4 – 6 สิงหาคม 2564 นี้ ส่วนที่เหลือจะทยอยโอนให้ ทุกวันศุกร์ ของสัปดาห์ถัดไป โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 สามารถตรวจสอบสิทธิรับเงินเยียวยา ผ่านเว็บไซต์ www.sso.go.th</a href=”http:>
นอกจากนี้ ขอย้ำเตือนไปยังผู้ประกันตนมาตรา 33 ว่า ขณะนี้พบมิฉาชีพได้จัดทำ google form และส่งข้อความผ่าน SMS ปลอม ไปสอบถามข้อมูล ส่วนตัว เพื่อหลวกลวงให้ผู้ประกันตนแจ้งความประสงค์รับเงินเยียวยา 2,500 บาท และให้กรอกเลขบัตรประจําตัวประชาชน เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ จนนำไปกดลิงค์เพื่อยืนยัน ซึ่งเป็นการใช้ความสับสนของผู้ประกันตนมาเป็นกลลวง ที่อาจนำมาซึ่งความเสียหาย ทั้งทรัพย์สิน และการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ที่มิฉาชีพจะนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ สำนักงานประกันสังคมจึงขอเตือนให้ผู้ประกันตน โปรดระมัดระวังอย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด หากผู้ประกันตนมีข้อสงสัยติดต่อสอบถามที่สายด่วนสำนักงานประกันสังคม 1506 ตลอด 24 ชม.
กทม. เปิดสายด่วน 50 สำนักงานเขต เสริมสายด่วน 1330
พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครได้เร่งดำเนินการค้นหาเชิกรุกเพื่อนำผู้ป่วยโควิด-19 เข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างต่อเนื่องและเพื่อให้การควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นจึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย กสทช. True, Dtac AIS และ NT จัดตั้ง“สายด่วนโควิดเขต” เป็นสายตรงถึง 50 สำนักงานเขตๆ ละ 20 คู่สาย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาโดยเร็ว โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะนี้บางเขตเริ่มทยอยให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมาแล้ว และจะดำเนินการให้ครบทั้ง 50 เขตโดยเร็ว ทั้งนี้ผู้ป่วยที่มีผลตรวจโควิดจาก Antigen test หรือ RT- PCR สามารถโทรติดต่อสายด่วน 1330 หรือสายด่วนของสำนักงานเขตได้ นอกจากการดำเนินการเกี่ยวกับ HI/CI แล้วยังประสานให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ในเรื่องอื่นๆ ด้วย โดยสายที่โทรเข้ามาเขตจะบันทึกข้อมูลผู้ป่วยไปที่ระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อให้ สปสช. เป็นผู้แจกจ่ายเคสให้กับทีมที่ต้องเข้าไปประเมินตามลักษณะอาการของผู้ป่วย ส่วนรายที่ต้องเข้าระบบ HI และ CI ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง จะเป็นผู้ดูแล ร่วมกับคลินิกชุมชนอบอุ่นและคลินิกภาคเอกชนที่เป็นเครือข่าย สำหรับหมายเลขสายด่วนของสำนักงานเขตสามารถติดตามได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ กรุงเทพมหานครโดยสำนักงานประชาสัมพันธ์
ตรวจเข้มชายแดนภาคเหนือ ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
กองกำลังผาเมือง นำนโยบายกระทรวงกลาโหม ด้านการป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID – 19 ลงสู่การปฏิบัติ ระบุ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – 31 กรกฎาคม 2564 สกัดผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกว่า 600 คน
พลตรี นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง เปิดเผยว่า กองกำลังผาเมือง ได้ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตรึงกำลังตามแนวชายแดนในเขตความรับผิดชอบ เพื่อควบคุมและป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID – 19 จากผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน โดยมีการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด พร้อมการจัดกำลังออกลาดตระเวน ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะตามเส้นทางธรรมชาติ ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้มีการลักลอบเข้าเมืองและเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศโดยผิดกฎหมายตามเส้นทางต่าง ๆ โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 กรกฎาคม 2564 สามารถสกัดกั้นผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จำนวน 167 ครั้ง โดยเป็นแรงงานต่างด้าว สัญชาติเมียนมา ลาว จีน เกาหลีเหนือ จำนวน 607 คน และผู้นำพา 55 คน
ทั้งนี้ กองกำลังผาเมือง มีพื้นที่รับผิดชอบ 24 อำเภอชายแดนในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคเหนือ ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, พะเยา, น่าน, อุตรดิตถ์ และ จังหวัดพิษณุโลก รวมความยาวตามแนวชายแดน 933 กิโลเมตร สำหรับในพื้นที่ 5 อำเภอชายแดนจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการวางกำลังเพิ่มเติม จำนวน 22 ชุดปฏิบัติการ ประกอบด้วยอำเภอเวียงแหง 4 ชุดปฏิบัติการ อำเภอเชียงดาว 5 ชุดปฏิบัติการ อำเภอไชยปราการ 3 ชุดปฏิบัติการ อำเภอฝาง 5 ชุดปฏิบัติการ และอำเภอแม่อาย 5 ชุดปฏิบัติการ ซึ่งจะเป็นจุดตรวจของทหารร่วมกับตำรวจ และจุดตรวจร่วมกับฝ่ายปกครอง โดยกองกำลังผาเมืองเน้นการเฝ้าระวังบริเวณช่องทางกิ่วผาวอก อำเภอเชียงดาว และบ้านหลวง นอแล อำเภอฝาง เนื่องจากมักจะมีแรงงานต่างด้าวเข้ามารับจ้างทำไร่ ทำสวน ในพื้นที่
กาญจนบุรี ยกการ์ดคุมเข้มลักลอบเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวกัมพูชา
จังหวัดกาญจนบุรีสั่งการหน่วยงานดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกันและเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการลักลอบเดินทางเข้าประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวกัมพูชา เนื่องจากราชอาณาจักรกัมพูชาประกาศระงับการใช้จุดผ่านแดนถาวรในจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นการชั่วคราว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินการในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศว่ารัฐบาลกัมพูชาได้ออกประกาศควบคุมการปิดพื้นที่ใน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเกาะกง จังหวัดโพธิ์สัต จังหวัดพระตะบอง จังหวัดไพลิน จังหวัดบันเตียเมียนเจย จังหวัดอุดรเมียนเจย จังหวัดพระวิหาร และจังหวัดเสียมราฐ ซึ่งเป็นจังหวัดตรงข้ามกับจังหวัดชายแดนด้านราชอาณาจักรกัมพูชา รวมถึงการบังคับใช้มาตรการระงับการใช้จุดผ่านแดนถาวรระหว่างกัมพูชา-ไทยเป็นการชั่วคราว โดยไม่อนุญาตให้มีการเดินทางเข้า-ออกระหว่างกัน ยกเว้นกรณีการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินและการขนส่งสินค้า เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 – 12 สิงหาคม 2564 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์เดลต้า โดยการระงับการใช้จุดผ่านแดนระหว่างกัมพูชา-ไทย เป็นการชั่วคราวข้างต้น จะส่งผลกระทบต่อการเดินทางกลับราชอาณาจักรกัมพูชาของแรงงานกัมพูชาในประเภทไทยซึ่งยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยอาจยังมีแรงงานกัมพูชาเดินทางไปถึงจุดผ่านแดนและไม่สามารถข้ามไปยังฝั่งกัมพูชาได้ จนมีการตกค้างสะสมและกลายเป็นความแออัดในฝั่งไทย รวมทั้งอาจมีการลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของหน่วยงานในพื้นที่ในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
จังหวัดกาญจนบุรีจึงขอให้หน่วยงาน ส่วนราชการ และอำเภอ รับทราบมาตรการของฝ่ายกัมพูชา แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รับทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และประชาสัมพันธ์ให้ชาวไทยและชาวกัมพูชาในพื้นที่ให้รับทราบ เฝ้าระวัง และป้องกันการเดินทางออกนอกพื้นที่ของแรงงานต่างด้าวกัมพูชา โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขและศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย ที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งให้อำเภอชายแดนเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการลักลอบเดินทางเข้าประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวกัมพูชา รวมทั้งการตั้งจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่ชายแดน หากมีความคืบหน้าในการประสานงานสำคัญในระดับท้องถิ่น จะต้องแจ้งให้จังหวัดทราบเพื่อดำเนินการประสานกระทรวงมหาดไทยในการกำหนดท่าทีในระดับประเทศต่อไป ทั้งนี้ ขอให้ส่วนราชการ หน่วยงาน อำเภอ ดำเนินการตามข้อสั่งการโดยเคร่งครัด
ขยายขอบเขตเยียวยา ม.33,ม.39,ม.40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบและให้ความช่วยเหลือกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด (สีแดงเข้ม) ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นไปตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน กลุ่มแรงงาน และผู้ประกอบการอันเนื่องมาจากข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 30)
ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือเป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2564 พร้อมขยายกรอบวงเงินการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเป็น 60,000 ล้านบาท จากเดิม 30,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ปรับเพิ่มพื้นที่ดำเนินการจากเดิม 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด ได้แก่ กทม. กาญจนบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครนายก นครราชสีมา นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี อยุธยา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยะลา ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สงขลา สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรี และอ่างทอง
2. กลุ่มเป้าหมายให้ความช่วยเหลือ ยังคงครอบคลุมกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการในกิจการที่ได้รับผลกระทบ ทั้งในส่วนที่อยู่ในระบบประกันสังคม (ม.33, ม.39 และ ม.40) และไม่อยู่ในระบบประกันสังคม
3. ประเภทกิจการที่ให้ความช่วยเหลือ คือ กิจการในระบบประกันสังคมจะครอบคลุม 9 สาขาและในกลุ่มผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” ภายใต้โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะในปัจจุบันที่ผ่านการคัดกรองแล้ว และไม่เป็นผู้ถูกตัดสิทธิ์จากกระทรวงการคลัง จำนวน 5 กลุ่ม
4. รูปแบบการให้ความช่วยเหลือเป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 64
5. ระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ กลุ่ม 13 จังหวัดเดิม คือ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สงขลา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา และ ฉะเชิงเทรา ได้รับการเยียวยา 2 เดือน คือเดือน ก.ค.-ส.ค. 64
โดยลูกจ้างผู้ประกันตนมาตรา 33 สัญชาติไทย ที่อยู่ใน 9 กลุ่มกิจการ ได้รับเยียวยา 2,500 บาท สำหรับเดือน ก.ค. 64 และอีก 2,500 บาท สำหรับเยียวยาเดือน ส.ค. 64 รวมเป็น 5,000 บาท ส่วนนายจ้างจะได้รับเงินตามจำนวนลูกจ้าง เพิ่มอีก 1 เดือน
ขณะที่ผู้ประกันตนมาตรา 39 และ มาตรา 40 จะได้รับเงินเพิ่ม 5,000 บาท สำหรับการเยียวยาล็อกดาวน์เดือน ก.ค. 64 และอีก 5,000 บาท สำหรับการเยียวยาล็อกดาวน์เดือน ส.ค. 64
ส่วนกลุ่ม 16 จังหวัดที่เพิ่มเติม คือ กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี อ่างทอง นครนายก ปราจีนบุรี ลพบุรี ระยอง สิงห์บุรี สระบุรี นครราชสีมา เพชรบูรณ์ และ ตาก ได้รับการเยียวยาสำหรับการล็อกดาวน์ 1 เดือน คือเดือน ส.ค. 64
ยอดโควิด-19 วันนี้ ผู้ติดเชื้อเพิ่ม 20,920 ราย
ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม 2564 รวม 20,920 ราย จำแนกเป็น ผู้ติดเชื้อใหม่ 20,658 ราย ผู้ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 262 ราย ผู้ป่วยสะสม 664,442 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้หายป่วยกลับบ้าน 17,926 ราย ผู้หายป่วยสะสม 446,306 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 213,910 ราย ผู้เสียชีวิต 160 ราย
เงินเยียวยาลูกจ้าง นายจ้าง ม.33 เริ่มเข้าวันนี้ (4 ส.ค.)
จากกรณีที่ ครม.อนุมัติโครงการเยียวยานายจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 13 จังหวัด ได้แก่ กทม. นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สงขลา นราธิวาส ยะลา และ ปัตตานี ทั้งนี้ ลูกจ้างกิจการใด ได้รับบ้าง 1.ก่อสร้าง 2.ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร 3.ศิลปะความบันเทิงและนันทนาการ 4.กิจกรรม บริการด้านอื่นๆ 5.การขายส่ง ปลีก ซ่อมยานยนต์ 6.การขนส่งและสถานที่เก็นสินค้า 7.กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน 8.กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และกิจกรรมทางวิชาการ 9.ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร
จ่ายเงินเยียวยาเท่าไหร่ 1. ลูกจ้างม. 33 รับเงินช่วยเหลือ 2,500 บาท ต่อคน (สัญชาติไทย) ผ่านพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น 2.นายจ้าง ม.33 รับเงินช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้าง 3,000 บาท ต่อหัว สูงสุดไม่เกิน 200 คน นายจ้างบุคคลธรรมดา รับเงินผ่านพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น นายจ้างนิติบุคคล รับเงินผ่านบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้กับสำนักงานประกันสังคม
รับเงินเยียวยาเมื่อไหร่ 1.กลุ่ม 10 จังหวัด กทม. นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สงขลา นราธิวาส ยะลา และ ปัตตานี เริ่มรับเงินเยียวยา วันที่ 4 สิงหาคม โดยจะโอนวันละไม่เกิน 1 ล้านคน เสร็จสิ้นไม่เกิน 6 สิงหาคม และ2. กลุ่ม จังหวัด ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ พระนครศรีอยุธยา จะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีวันที่ 9 สิงหาคมนี้
ด้าน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่าที่ประชุมครม.เห็นชอบขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบและให้ความช่วยเหลือกลุ่มแรงงาน ผู้ประกอบการ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามมติครม. เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พร้อมขยายกรอบวงเงินการให้ความช่วยเหลือ เพิ่มเป็น 60,000 ล้านบาท จากเดิม 30,000 ล้านบาท รายละเอียด ดังนี้ 1.ปรับเพิ่มพื้นที่เยียวยาผลกระทบเพิ่มอีก 16 จังหวัดจากเดิม 13 จังหวัด รวมเป็น 29 จังหวัด ได้แก่ กทม. กาญจนบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครนายก นครราชสีมา นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี อยุธยา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยะลา ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สงขลา สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรีและอ่างทอง
นายอนุชา กล่าวต่อว่า 2. กลุ่มเป้าหมายให้ความช่วยเหลือ ยังคงครอบคลุมกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการในกิจการที่ได้รับผลกระทบ ทั้งในส่วนที่อยู่ในระบบประกันสังคมและไม่อยู่ในระบบประกันสังคม 3. ประเภทกิจการที่ให้ความช่วยเหลือ คือ กิจการในระบบประกันสังคมจะครอบคลุม 9 สาขาและในกลุ่มผู้ประกอบการในระบบ ถุงเงิน ภายใต้โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะในปัจจุบันที่ผ่านการคัดกรองแล้วและไม่เป็นผู้ถูกตัดสิทธิ์จากกระทรวงการคลัง จำนวน 5 กลุ่ม 4. รูปแบบการให้ความช่วยเหลือเป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม และ 5. ระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ กลุ่ม 13 จังหวัดเดิม ได้แก่ กรกฎาคม-สิงหาคม รวม2 เดือน ส่วนกลุ่ม 16 จังหวัดที่เพิ่มเติมให้ความช่วยเหลือเดือนสิงหาคม
“กระทรวงแรงงานได้รับมอบหมายให้เร่งจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน 65 ปี ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ทำให้ไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการลดผลกระทบและให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ใน 29 จังหวัดสีแดงเข้ม เพื่อนำเข้าที่ประชุมเพื่อให้ครม.พิจารณาต่อไป” นายอนุชา กล่าว
ระยอง พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงต่อเนื่อง
วันนี้ (4 ส.ค.64) ศูนย์ปฏิบัติการฯโควิด-19 ระยอง โดยนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ของจังหวัดระยองว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย รายแรกเป็นเพศชาย ชาวกัมพูชา อายุ 50 ปี อาศัยอยู่ ต.เชิงเนิน อ.เมืองระยอง มีโรคประจำตัวเบาหวาน เข้ารักษาตัวที่ รพ.ระยอง เมื่อวันที่ 19 ก.ค.เสียชีวิตวันที่ 2 ส.ค.รายที่ 2 เป็นเพศหญิง อายุ 62 ปี อาศัยอยู่ ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มีโรคประจำตัวเบาหวาน ไขมันในเลือด เข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ปลวกแดง เมื่อวันที่ 28 ก.ค.เสียชีวิตวันที่ 2 ส.ค.รายที่ 3 เป็นเพศชาย อายุ 57 ปี อาศัยอยู่ ต.มาบยางพร อ.ปลวกแดง มีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง เข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ระยอง เมื่อวันที่ 17 ก.ค.เสียชีวิตวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา ส่วนยอดผู้ติดเชื้อรายวันยังพบสูงต่อเนื่อง วันนี้พบเพิ่ม 272 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมสูงรวม 8,718 ราย เสียชีวิตสะสม 29 ราย โดยพบผู้ติดเชื้อทั้ง 8 อำเภอ อยู่ใน อ.ปลวกแดง 96 ราย อ.เมืองระยอง 78 ราย อ.นิคมพัฒนา 28 ราย อ.แกลง 22 ราย อ.บ้านค่าย 14 ราย อ.บ้านฉาง 11 ราย อ.เขาชะเมา 6 ราย อ.วังจันทร์ 4 ราย และต่างจังหวัดเข้ามารักษาตัว 13 ราย สำหรับผู้ที่ไปในพื้นที่หรือสถานที่เสี่ยงให้ไปรับการตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน และจุดตรวจคัดกรองตลาดเนินอุไร สวนศรีเมือง อ.เมืองระยอง
