สธ. เตรียมเสนอวัคซีนบูสเตอร์โดส

กระทรวงสาธารณสุข แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของพยาบาลที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ เตรียมเสนอการฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ต่อคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติพิจารณาวันพรุ่งนี้ ย้ำวัคซีนช่วยลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต

วันนี้ (11 กรกฎาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวการฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ว่า กระทรวงสาธารณสุขขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด 19 โดยพยาบาลรายนี้ได้ฉีดวัคซีนครบสองเข็มเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม แต่จากการปฏิบัติงานภายในหอผู้ป่วยผู้ป่วยโควิด 19 แม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ยังมีโอกาสรับเชื้อจากการปฏิบัติงาน ถือเป็นความเสียสละที่ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท และจากการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ไวรัสจากอัลฟาเป็นเดลต้า ทำให้การป้องกันโดยวัคซีนโควิด 19 อาจไม่ได้ผลดีเท่าเดิม ดังนั้น คณะกรรมการวิชาการภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ที่ประชุมเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยา ด้านไวรัสวิทยา และโรคติดเชื้อเข้าร่วม เห็นตรงกันว่า บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ควรได้รับวัคซีนกระตุ้นอีก 1 เข็ม ด้วยวัคซีนต่างชนิด คือ ไวรัลเวคเตอร์ หรือ mRNA โดยเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติพิจารณาวันที่ 12 กรกฎาคมนี้

“หากคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบสามารถดำเนินการได้ทันที กระทรวงสาธารณสุขจึงได้สำรวจความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เพื่อจัดสรรและส่งวัคซีนไปฉีดเป็นเข็มกระตุ้น โดยจะมีการเก็บข้อมูลด้วยการเจาะเลือดตรวจภูมิคุ้มกันก่อนและหลังฉีด เพื่อเป็นประโยชน์การให้วัคซีนแก่บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ เชื้อไวรัสที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไวรัสตัวใหม่มักมีความสามารถหลบภูมิคุ้มกันมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด ดังนั้น คำแนะนำแนวทางการให้วัคซีนจะมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม เพื่อรับมือกับเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บุคลากรทางการแพทย์และผู้รับวัคซีนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น” นายแพทย์โสภณ กล่าว

สำหรับข้อมูลการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 10 กรกฎาคม 2564 มีจำนวน 880 ราย เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เป็นกลุ่มพยาบาล/ผู้ช่วยพยาบาลมากที่สุด 54% กลุ่มอายุที่มากที่สุด คือ ช่วงอายุ 20-29 ปี จากการตรวจสอบข้อมูลการรับวัคซีนพบว่า มีจำนวน 173 คน หรือ 19.7% ที่ไม่มีประวัติฉีดวัคซีน โดยมีรายงานการเสียชีวิต 7 ราย จำนวนนี้ไม่ได้รับวัคซีนโควิด 5 ราย ได้รับวัคซีน 2 ราย โดยรายแรกรับวัคซีนซิโนแวคเพียงเข็มเดียว เนื่องจากเริ่มป่วยหลังรับวัคซีนเข็มสองเพียงวันเดียว ซึ่งปกติภูมิคุ้มกันจะขึ้นเมื่อฉีดสองเข็มแล้ว 14 วัน ส่วนอีกรายฉีดครบสองเข็มคือพยาบาลรายดังกล่าวที่เสียชีวิต

ทั้งนี้ ผู้ที่รับวัคซีนครบมีโอกาสติดเชื้อและป่วยเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่รับวัคซีน เนื่องจากข้อมูลพบว่า บุคลากรทางการแพทย์ที่รับวัคซีนซิโนแวค 1 เข็ม จำนวน 22,062 ราย มีรายงานป่วย 68 ราย คิดเป็นอัตรา 308 ต่อการฉีดแสนโดส แต่ส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย 67 ราย ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ที่รับซิโนแวคครบ 2 เข็ม จำนวน 677,348 ราย มีรายงานป่วย 618 ราย คิดเป็นอัตรา 91 ต่อการฉีดแสนโดส ส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย 597 ราย อาการปานกลาง 19 ราย และอาการรุนแรง 1 ราย  สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 1 โดส จำนวน 66,913 ราย มีรายงานป่วย 45 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย 43 ราย อาการปานกลาง 1 ราย และอาการรุนแรง 2 ราย

“ในระยะนี้มีการระบาดของโควิด 19 จากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ในหลายพื้นที่ แม้ว่าคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจะมีภูมิคุ้มกันป้องกันอาการรุนแรง แต่ยังมีโอกาสติดเชื้อได้ จึงต้องเคร่งครัดมาตรการป้องกันโรค โดยสวมหน้ากากตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มรับประทานด้วยกันทั้งที่บ้านและที่ทำงาน เพื่อป้องกันการรับเชื้อและแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น” นายแพทย์โสภณ กล่าว

เช็คด่วน! จุดตรวจโควิด-19 ฟรี! กทม.

กรุงเทพมหานคร ประกาศจุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 ดังนี้

📍เขตดุสิต เปิดให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในวันที่ 12 ก.ค. 64 ณ ลานจอดรถศูนย์บริการสาธารณสุข 38 จี๊ด-ทองคำ บำเพ็ญ โดยเริ่มแจกบัตรคิวให้ผู้ที่ walk-in จำนวน 300 คน ตั้งแต่เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป ทั้งนี้ หน่วยบริการตรวจฯ เขตดุสิต จะให้บริการตรวจคัดกรองทั้งสิ้น 500 คนต่อวัน โดยแบ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง 200 คน และประชาชนที่ walk-in 300 คน

📍เขตลาดพร้าว เปิดรับการจองคิวตรวจหาเชื้อโควิด-19 ล่วงหน้า 1 วัน จำนวนวันละ 900 คน ณ ลานจอดรถเทสโก้โลตัส สาขารามอินทรา ถนนประดิษฐ์มนูธรรม โดยเริ่มแจกบัตรคิววันนี้ (11 ก.ค. 64) ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป เพื่อเข้ารับการตรวจในวันที่ 12 ก.ค. 64 และจะแจกบัตรคิวในวันที่ 12 – 17 ก.ค. 64 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป เพื่อเข้ารับการตรวจในวันที่ 13 – 18 ก.ค. 64 ตามลำดับ โดยมีการจัดช่วงเวลาในการตรวจตามคิวเพื่อลดความแออัดของผู้มารอตรวจ สำหรับคิวที่ 1 – 300 จะได้รับการตรวจเวลา 08.00 น. เป็นต้นไป คิวที่ 301 – 600 จะได้รับการตรวจเวลา 10.00 น. เป็นต้นไป และคิวที่ 601 – 900 จะได้รับการตรวจตรวจเวลา 12.30 น. เป็นต้นไป

📍เขตมีนบุรี เปิดให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 วันละ 1,000 คน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 14.00 น. ณ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ซอยคุ้มเกล้า 1/5 ถนนคุ้มเกล้า ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 ก.ค. 64 โดยเริ่มแจกบัตรคิวในเวลา 06.00 น. เป็นต้นไป และจะแจกบัตรคิวจนกว่าจะครบตามจำนวนที่กำหนดในแต่ละวัน

📍เขตสวนหลวง เปิดให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 11 – 15 ก.ค. 64 ณ วัดยาง ถนนอ่อนนุช โดยเริ่มแจกบัตรคิวให้ผู้ที่ walk-in จำนวน 300 คน ตั้งแต่เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป หากประชาชน walk-in เข้ามาแล้วคิวเต็ม จะดำเนินการแจกบัตรคิวล่วงหน้าของวันถัดไปอีกจำนวน 200 คน และสำรองบัตรคิวสำหรับประชาชนที่ walk-in มาในช่วงเช้าวันถัดไปอีก 100 คน ทั้งนี้ หน่วยบริการตรวจฯ เขตสวนหลวง จะให้บริการตรวจคัดกรองทั้งสิ้น 700 คนต่อวัน โดยแบ่งเป็นผู้เสี่ยงสูง 100 คน ประชาชนภายในชุมชนและสถานประกอบการซึ่งได้ทำการนัดหมายล่วงหน้า 300 คน และประชาชนที่ walk-in 300 คน

📍เขตบางพลัด เปิดรับการจองคิวตรวจหาเชื้อโควิด-19 ล่วงหน้า 1 วัน จำนวน 900 คน ณ บริเวณใต้สะพานพระราม 8 (ฝั่งธนบุรี) โดยเริ่มแจกบัตรคิววันนี้ (11 ก.ค. 64) ถึงวันที่ 17 ก.ค. 64 ตั้งแต่เวลา 12.00 – 17.00 น. เพื่อเข้ารับการตรวจในวันที่ 12 – 18 ก.ค. 64 ตามลำดับ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป

📍เขตราษฎร์บูรณะ เปิดให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชนทั่วไปวันละ 900 คน ตั้งแต่วันที่ 12 – 18 ก.ค. 64 ระหว่างเวลา 09.00 – 12.00 น. ณ วัดราษฎร์บูรณะ โดยเขตได้จัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทศกิจปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เวลา 04.00 น. เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร และจัดระเบียบประชาชนผู้มารับบริการให้มีการเว้นระยะห่างตามมาตรการที่กำหนด เมื่อรับบัตรคิวแล้ว ประชาชนสามารถกลับบ้านหรือไปทำธุระส่วนตัวแล้วค่อยกลับมาตามเวลาที่กำหนดในบัตรคิว หรือสามารถเข้าไปรอยังจุดพักคอย ซึ่งรองรับประชาชนได้ประมาณ 600 คน เพื่อไม่ให้เกิดความแออัดบริเวณจุดแจกบัตรคิว สำหรับลำดับการตรวจ มีดังนี้ คิวที่ 1 – 150 จะได้รับการตรวจเวลา 09.00 – 09.30 น. คิวที่ 151 – 300 จะได้รับการตรวจเวลา 09.31 – 10.00. น. คิวที่ 301 – 450 จะได้รับการตรวจเวลา 10.01 – 10.30 น. คิวที่ 451 – 600 จะได้รับการตรวจเวลา 10.31 – 11.00 น. คิวที่ 601 – 750 จะได้รับการตรวจเวลา 11.01 – 11.30 น. และคิวที่ 751 – 900 จะได้รับการตรวจเวลา 11.31 – 12.00 น.

สำหรับประชาชนที่ได้รับบัตรคิวแล้ว กรุณาเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามวันเวลาในบัตรคิว โดยนำบัตรคิวมาแสดงพร้อมบัตรประชาชนตัวจริง สำเนาบัตรประชาชน 2 ใบ ปากกาสีน้ำเงินส่วนตัว 1 ด้าม และจะต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ของตนเองและญาติที่สามารถติดต่อได้ ทั้งนี้ หากต้องการเอกสารรับรองผลการตรวจ กรุณาสอบถามเจ้าหน้าที่ ณ หน่วยตรวจ ในวันที่เข้ารับการตรวจ

ภูเก็ต ยกการ์ดสูง เพิ่มมาตรการเข้มข้นทั้งเข้า-ออก

รายงานข่าวแจ้งว่า สาระสำคัญมาตรการ คัดกรองคนเข้าจังหวัดภูเก็ต ตามคำสั่งที่ 3860 / 2564
บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15-31 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง มีดังนี้

1. ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด และ พื้นที่ควบคุมสูงสุด 24 จังหวัด รวม 34 จังหวัด ต้องถือปฏิบัติ ดังนี้
1.1 ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส ถ้าเป็น AZ ต้องได้รับมาแล้ว 14 วัน หรือถ้าหายป่วยจาก covid ต้องไม่เกิน 90 วัน
1.2 ต้องได้รับการตรวจหาเชื้อ covid19 ด้วยวิธีอันเป็นเท็จหรือ rt-pcr ไม่เกิน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับการตรวจ
1.3 ต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นหมอชนะและยินยอมให้แชร์โลเคชั่นตลอดเวลาที่อยู่ในภูเก็ต
หมายเหตุสำหรับจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มข้น 10 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และพื้นที่ควบคุมสูงสุด รวมทั้งสิ้น 24 จังหวัด (พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี สระบุรี ชัยนาท นครนายก นครสวรรค์ อ่างทอง อุทัยธานี ปราจีนบุรี สิงห์บุรี ลพบุรี สมุทรสงคราม กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา ตาก นครศรีธรรมราช กระบี่ ระนอง)

ส่วนผู้ที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นๆนอกเหนือจากข้อ 1 ต้องเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีน covid ครบ dose หรือ AZ 1 เข็ม 14 วันหรือได้รับการตรวจหาเชื้อ covid19 ด้วยวิธี rt pcr หรือ Antigen testไม่เกิน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับการตรวจ

ผบ.ตร. กำชับตำรวจปฎิบัติการเป็นไปตาม ศบค.

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำชับเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติการในพื้นที่เสี่ยงสูงอย่างเข้มงวด ให้เป็นไปตามมาตรฐานของ ศบค.

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมาย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปม.ตร.) เป็นผู้รับผิดชอบงานบริหารสถานการณ์ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย พล.ต.อ. ดำรงค์ศักดิ์ ได้มีหนังสือสั่งการไปยังหน่วยในสังกัด ตร.ประสานงานเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตรงตามนโยบายมาตรการตามข้อกำหนดฯ เรื่องการห้ามออกนอกเคหสถาน ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมรับ แจ้งเหตุ เบาะแสอาชญากรรม และเหตุฉุกเฉินกรณีประชาชนขอความช่วยเหลือ โดยเฉพาะการขอความช่วยเหลือที่เกี่ยวกับการระบาดของโรค ให้รีบประสานบูรณาการกับหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง พร้อมเข้าช่วยเหลือทันที ส่วนการบังคับใช้ตามมาตรการฯ ให้ดำเนินการกับผู้ที่กระทำความผิดที่ไม่อยู่ ในหลักเกณฑ์ข้อยกเว้น รวมถึงการเดินทางข้ามจังหวัดด้วย และให้ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่บิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดในสังคม การปฏิบัติของหน่วยที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ให้ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตรวจตรา บังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามข้อกำหนดฯ ของ ศบค.ตั้งแต่ 12 ก.ค.64 เป็นต้นไป หลังจากที่มีการตั้งจุดตรวจ ตามประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงมาตรการตามข้อกำหนดฯ ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.64 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ให้จัดชุดสายตรวจร่วม และชุดเคลื่อนที่เร็ว เพื่อตรวจตราและกวดขันสถานประกอบการ กิจการ กิจกรรม ให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมแบบบูรณาการ รวมถึงภารกิจ ควบคุมพื้นที่แคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่ ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค สำหรับพื้นที่ ภ.1-9 พร้อมกำชับ ภ.จว. อื่นๆ นอกเหนือจากจังหวัดที่มีพื้นที่ควบคุมสูงสุดและ เข้มงวด ให้ประสานหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด จัดตั้งชุดตรวจร่วม และชุดเคลื่อนที่เร็ว รวมถึงพิจารณา จัดตั้งจุดตรวจป้องกันการแพร่ระบาดของโรค โดยบูรณาการกับฝ่ายสาธารณสุข ฝ่ายปกครอง และหน่วยทหาร ในพื้นที่

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใย กำลังพลตำรวจทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ที่มีการระบาดของโรค ให้เตรียมอุปกรณ์จำเป็น เตรียมร่างกายให้พร้อม เพื่อความปลอดภัย และให้ตั้งใจทำหน้าที่เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ฝากมายังพี่น้องประชาชนด้วยว่า หากท่านต้องการแจ้งเบาะแส ต่างๆ หรือแจ้งเหตุฉุกเฉิน เพื่อขอความช่วยเหลือ สามารถแจ้งได้ตลอด 24 ชม.ที่หมายเลข 191 และ 1599 หรือที่สถานีตำรวจทั่วประเทศ

มูลนิธิกลุ่มทีมรวมใจ และทีมกรุ๊ป บริจาคเงินช่วย Covid-19

มูลนิธิกลุ่มทีมรวมใจ และ ทีมกรุ๊ป บริจาคเงินกว่า 1 ล้านบาท เดินหน้าช่วยสังคมในช่วงวิกฤติ Covid-19 อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งกำลังใจให้ทุกคนก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปพร้อมกัน

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา มูลนิธิกลุ่มทีมรวมใจ และ ทีมกรุ๊ป ตระหนักถึงผลกระทบอันเกิดจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้จัดตั้งโครงการ “ทีมกรุ๊ปร่วมใจต้านวิกฤตไวรัส COVID-19” เพื่อช่วยเหลือสังคมและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ในการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ ดร.ประเสริฐ ภัทรมัยประธานกรรมการมูลนิธิกลุ่มทีมรวมใจ ผู้ก่อตั้งและประธานกิตติมศักดิ์ บริษัท ทีม คอนซัลติ้งเอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยบริจาคเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ มูลค่า 480,000 บาท ให้กับโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อีกทั้งยังมอบเงินสมทบทุนเพื่อสนับสนุนจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ ให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 50,000 บาท โรงพยาบาลสงฆ์ 40,000 บาท โรงพยาบาลศิริราช 50,000 บาท โรงพยาบาลรามาธิบดี 50,000 บาท นอกจากนี้ได้มอบเงินสนับสนุนให้กับมูลนิธิโอกาส 300,000 บาท เพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องในชุมชุมชนที่ต้องกักตัวสู้วิกฤติ COVID-19 จำนวน 10 แห่งในกรุงเทพฯ

นอกจากการบริจาคเงินแล้วทางบริษัทฯและมูลนิธิกลุ่มทีมร่วมสนับสนุนอาหารปรุงสุกจำนวน 160 กล่อง ให้กับสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 เพื่อสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ ที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนในพื้นที่ ให้กับสำนักงานประกันสังคม กรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 และมอบอาหารปรุงสุกจำนวน จำนวน 500 กล่อง ให้สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมป์  เพื่อสนับสนุนโครงการ Food For Fighters โดยสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ และมูลนิธิคุวานันท์ ในภารกิจ “ข้าวแสนกล่อง”  ยอดบริจาคทั้งหมดรวมเป็นเงินกว่า 1 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้เดือดร้อนในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน  

มูลนิธิกลุ่มทีมรวมใจ และ ทีมกรุ๊ป ขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมด้วยการแบ่งปันในช่วงสถานการณ์ COVID-19 โดยหวังว่า “ทีมกรุ๊ปร่วมใจ ต้านวิกฤตไวรัส COVID-19”จะช่วยคลายทุกข์ให้กับ “ผู้รับ” ในช่วงวิกฤติครั้งนี้ได้ไม่มากก็น้อย และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันดร.ประเสริฐ กล่าว

THG ร่วมบริหาร รพ.เฉพาะกิจ 2 แห่ง ลดวิกฤตโควิดเตียงเต็ม

บมจ. ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ขยายความร่วมมือ กทม. รับมือ COVID-19 ร่วมสนับสนุนภาพรัฐ เข้าบริหารจัดการโรงพยาบาเฉพาะกิจ ในสังกัด กทม. 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ 2 และโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่มีอาการสีเหลือและสีแดง พร้อมสนับสนุนงบ 75 ล้านบาท ช่วยการก่อสร้าง จัดหาอุปกรณ์การแพทย์และทีมแพทย์ พยาบาล แก้ไขปัญหาขาดแคลนเตียงเพื่อช่วยคนไข้เข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็วเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต พร้อมใช้ประสบการณ์ด้านการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพกว่า 40 ปีเพื่อช่วยเหลือประชาชน

นายแพทย์วสันต์  อภิวัฒนกุล ผู้อำนวยการ Hospitel และโรงพยาบาลสนาม ของเครือบริษัท ธนบุรี
เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ
 THG ผู้นำธุรกิจดูแลสุขภาพอย่างครบวงจรและบริการที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ภายใต้แนวคิด ‘ดูแลคุณในทุกช่วงชีวิต’ (Lifetime Health Guardian for All) เปิดเผยว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของ นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัทฯ จึงได้ให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในสถานการณ์โรคระบาดนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทั้งตรวจหาเชื้อ COVID-19 รับรักษาผู้ป่วย COVID-19ไปจนถึงช่วยภาครัฐกระจายฉีดวัคซีน เพื่อความปลอดภัยให้ประชาชน อีกทั้งยังให้การสนับสนุนภาครัฐ จัดตั้ง Hospitel และโรงพยาบาลเฉพาะกิจรองรับผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 และบรรเทาปัญหาขาดแคลนเตียงโรงพยาบาล ในสถานการณ์ที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ทวีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วล่าสุดได้ขยายความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับ กทม. เข้าบริหารโรงพยาบาลเฉพาะกิในสังกัด กทม. 2 แห่ง ดำเนินการโดยโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมืองให้การรักษาผู้ติดเชื้อ COVID-19 ได้แก่ รงพยาบาลราชพิพัฒน์ 2 ในย่านพุทธมณฑลสาย 3 และโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนทียน ซึ่งเตรียมเปิดให้บริการก่คนไข้ในเดือนกรกฎาคมนี้

สำหรับความร่วมมือกับ กทม.ครั้งนี้ บริษัทฯ ใช้งบลงทุนรวมประมาณ 75 ล้านบาท เพื่อให้การสนับสนุนด้านต่างๆ แก่โรงพยาบาลเฉพาะกิจทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ การสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างบางส่วน ให้ความช่วยเหลือด้านการวางระบบสาธารณูปโภคของโรงพยาบาล จัดหาวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น จัดเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ตลอดจนจัดเตรียมอาหารและให้บริการห้องพักแก่คนไข

ทั้งนี้ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์มีจำนวนรวม 190 เตียง สามารถรองรับผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่มีอาการ
ปานกลาง (สีเหลือง) 150 เตียง และอาการรุนแรง (สีแดง) 40 เตียง ส่วนโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน  มีเตียงรวม 117 เตียง รองรับผู้ป่วยที่มีอาการสีเหลือง 100 เตียง และผู้ป่วยที่มีอาการสีแดง 17 เตียง ซึ่งจะช่วยรองรับการรักษาผู้ป่วยและลดโอกาสการติดเชื้อที่มีอาการหนักหรือเสียชีวิต

“เราเล็งเห็นถึงความสำคัญในการเพิ่มจำนวนเตียง เพื่อให้ผู้ติดเชื้อสามารถเข้าถึงการรักษาและได้รับยาอย่างทันท่วงที โดยพร้อมใช้ประสบการณ์ด้านการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพกว่า 40 ปีจากทีมแพทยของเครือ THG ผนึกความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้บริการแก่ประชาชนและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในครั้งนี้” นายแพทย์วสันต์ กล่าว

 

โอกาสในวิกฤต ของโชห่วยไทย ร่วมฝ่าโควิด-19

หลังจาก แม็คโคร และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จับมือกันสนับสนุน สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เดินหน้ามอบชุดสินค้าอุปโภคบริโภคภายใต้ โครงการ ซื้อง่าย ถูกใจ ใกล้ชุมชน ให้แก่ร้านค้าในสังกัดกองทุนหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง เสียงสะท้อนของ “โอกาสในวิกฤต” ก็ดังขึ้นจากร้านค้าเล็กๆ ในชุมชนหลายแห่ง

เช่นเดียวกับ “ร้านค้าประชารัฐ กองทุนหมู่บ้านชุมชนเมือง ชุมชนพรหมสัมฤทธิ์” ย่านดอนเมือง ที่มี “อดิเรก สังข์นุช” เป็นประธาน ร้านนี้เป็นหนึ่งใน 3,500 ร้านค้าในสังกัดกองทุนหมู่บ้าน ที่ได้รับชุดสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าขายดีสำหรับร้านโชห่วยฟรี 23 รายการไปต่อยอดให้ร้านค้าเล็กๆในชุมชนได้มีกำลังใจต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19

“ร้านของเราเป็นร้านค้าเล็กๆ มีสมาชิกเป็นคนในชุมชน พอได้รับสินค้าจากโครงการมาต่อยอดในสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกเลยว่า ยังมีโอกาส เข้ามาช่วยร้านค้าและสมาชิก ทำให้มีสินค้าหมุนเวียน มีรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อต่อยอดรายได้ให้ร้านค้าดำเนินต่อไปได้

รายการสินค้าที่ได้รับจำนวน 23 รายการจะเป็น คัดเลือกมาจากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลเชิงลึกของแม็คโครที่มีลูกค้าโชห่วยเป็นสมาชิกมากกว่า 500,000 ราย  อาทิ นม กาแฟสำเร็จรูป นมถั่วเหลืองกล่อง ขนมขบเคี้ยว แชมพู สบู่ ผ้าอนามัย

นับเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตที่โชห่วยรูปแบบร้านค้ากองทุนได้รับ ซึ่ง “อดิเรก” มองว่าในช่วงโควิด ต้องประคับประคองร้านให้อยู่รอดปลอดภัยให้ได้ โชคดีที่ร้านของเขาเป็นร้านค้าประชารัฐ รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รับคนละครึ่งและเป็นร้านค้าในชุมชน เมื่ออาศัยหลักพึ่งพาอาศัยกัน มีความเชื่อใจกันและกันก็ทำให้พออยู่ได้

ผู้คนตอนนี้เน้นใช้ชีวิตอยู่บ้าน ไม่อยากเดินทางไปไหน เวลาจะซื้อของใช้จำเป็นก็หันมาซื้อร้านใกล้บ้าน โชห่วย ร้านค้าชุมชนอย่างเราแทน มุมหนึ่งผมมองว่า เป็นโอกาสที่เกิดขึ้น แต่เราเองก็ต้องปรับตัว เพราะร้านค้ารายย่อยมีเยอะ เราก็ต้องสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยเรื่องโควิด-19 ให้ลูกค้า ก็ต้องมีมาตรการในการป้องกันให้เห็น อย่างร้านเราใช้วีธีลดการสัมผัส เวลาลูกค้ามาซื้อของ ก็ให้เรียกว่าจะเอาอะไร แล้วเราก็ไปหยิบให้”

“โครงการซื้อง่าย ถูกใจ ใกล้ชุมชน” เป็นโครงการที่ แม็คโคร ผนึกกำลังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) จัดขึ้น โดย แม็คโคร ได้จัดชุดสินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ จำนวน 23 รายการ รวมมูลค่ากว่า 3.7 ล้านบาท  สมทบให้ฟรี กับร้านค้ากองทุนหมู่บ้าน 3,500แห่ง เพื่อเป็นแหล่งกระจายสินค้าราคาประหยัดสู่ท้องถิ่น ช่วยลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

“หัวใจสำคัญของร้านโชห่วยก็คือ ต้องมีแหล่งซื้อสินค้าราคาถูก สามารถนำไปต่อยอดได้ ซึ่งโครงการนี้เข้ามาช่วยทำให้เราเดินหน้าต่อได้  ขณะที่แม็คโครก็เป็นแหล่งซื้อสินค้าราคาขายส่งที่ตอบโจทย์ร้านค้าอย่างเราได้มาก” อดิเรก กล่าว

สำหรับร้านค้ากองทุนหมู่บ้านฯ ที่มีความสนใจเข้าร่วมโครงการ “ซื้อง่าย ถูกใจ ใกล้ชุมชน” สามารถตรวจสอบสิทธิ์ได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 02-547-5986 ในเวลาราชการ หรือติดต่อสำนักงานกองทุนหมู่บ้าน ฯ ในพื้นที่ของท่าน และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่แม็คโครทุกสาขา  

ไม่เพียงเท่านั้น ในทุกเดือน แม็คโครจะจัด มหกรรมสินค้าลดแรงเพื่อผู้ประกอบการ เพื่อสนับสนุนร้านค้ารายย่อยอย่างโชห่วย อย่างต่อเนื่องยาวไปถึงสิ้นปี  ล่าสุดจัดงานวันที่ 14-18กรกฎาคม ณ แม็คโครทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมกันนั้นยังเปิดโอกาสให้โชห่วยที่สนใจปรับปรุงร้านค้า เรียนรู้ระบบการจัดการร้านให้ก้าวทันยุคสมัย หรืออยากมีอาชีพ เปิดร้านค้าเล็ก ๆ สามารถรับคำปรึกษาได้ที่ “ศูนย์มิตรแท้โชห่วย” ในทุกช่องทาง อาทิ https://www.siammakro.co.th/mra.php  หรือ Line@makro-mra ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือและส่งกำลังใจให้ธุรกิจฐานรากอย่างโชห่วยสู้โควิด-19ต่อไป

 

ค่าใช้จ่ายผู้ป่วยโควิด-19 รักษาที่บ้าน ครอบคลุมอะไรบ้าง? คลิกเลย..

ค่าใช้จ่ายสำหรับ ผู้ป่วยรักษาที่บ้าน (home isolation) ใช้อัตราการจ่ายประเภทบริการผู้ป่วยในตาม DRG. และจ่ายเพิ่มเติม การดูแลจะครอบคลุมบริการ ดังนี้

1. การตรวจ RT-PCR. จ่ายตามจริงไม่เกิน 1,600บาท/ครั้ง และค่าบริการอื่นที่เกี่ยวกับบริการตรวจห้องปฏิบัติการฯ อัตรา 600บาท/ครั้ง และค่าเก็บตัวอย่างส่งตรวจอัตรา 100 บาท/ครั้ง

2. ค่าบริการผู้ป่วยเหมาจ่าย 1,000 บาท/วัน ไม่เกิน 14 วัน

3. ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย ได้แก่ ปรอทวัดไข้ดิจิตอล เครื่องวัด Oxygen Sat ไม่เกิน 1,100 บาท/ราย และค่าอุปกรณ์ป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ ค่าชุด PPE. และค่าใช้จ่ายอื่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไม่เกินวันละ 740 บาท/ราย

4. ค่ายารักษาโควิด-19 จ่ายตามจริงไม่เกิน 7,200 บาท/ราย และ 5.ค่ารถส่งต่อ จ่ายตามจริงตามระยะทางและค่าทำความสะอาด 3,700 บาท/ครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีค่าบริการถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray) 100 บาท/ครั้ง เพื่อคัดแยกความรุนแรงโรคและภาวะปอดอักเสบก่อนเข้าสู่ระบบดูแลผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเขียวที่บ้าน และโรงพยาบาลสนามสำหรับคนในชุมชน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/37/iid/29050

ถนนคนเดินภูเก็ต ประกาศปิดให้บริการชั่วคราว

ศูนย์ข้อมูลโควิดจังหวัดภูเก็ต รายงานว่า เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ถนนคนเดินภูเก็ต หลาดใหญ่ จึงของดให้บริการชั่วคราว ในวันอาทิตย์ที่ 11 และ 18 ก.ค. 64 เพื่อลดปริมาณการแพร่ระบาด COVID-19โดยเราอยากให้ทุกท่านรักษาสุขภาพ จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ระลอกใหม่จะเบาบางลง

เริ่มคืนนี้ตรวจเข้ม! ตั้งจุดสกัด 88 จุดทั่วกรุงเทพฯ

กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตั้งจุดตรวจเข้มในห่วงเวลาเคอร์ฟิว ห้ามเดินทาง และออกนอกเคหะสถาน ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษ

กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น.ในฐานะโฆษก บช.น.ขอประกาศประชาสัมพันธ์ว่า ตามที่ได้มีประกาศข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 27 ลง 10 กรกฎาคม 2564 นั้น ได้มุ่งเน้นการห้ามออกนอกเคหะสถานโดยไม่จำเป็น ตั้งแต่ 21:00 น. ถึง 04:00 น. ของวันรุ่งขึ้น เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้น หรือผู้ที่มีเหตุจำเป็นต้องขออนุญาตกับพนักงานเจ้าหน้าที่เสียก่อน , หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด , ห้ามผู้ใดออกมารวมกลุ่มกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และมาตรการอื่นๆที่เกี่ยวข้องตามข้อกำหนดฯ

กองบัญชาการตำรวจนครบาล มีมาตรการปฏิบัติตามประกาศข้อกำหนด ดังนี้

1.ตั้งจุดตรวจทุก สน.รวม 88 จุดตรวจ ในช่วงเวลา 21:00 น. ถึง 04:00 น.ของวันรุ่งขึ้น กระจายทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยแบ่งเป็น 3 ผลัด ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 8 นายต่อ 1 ผลัด ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร และฝ่ายปกครองในพื้นที่นั้นๆมีนายตำรวจระดับสารวัตรเป็นหัวหน้าจุดตรวจ ซึ่งจะเริ่มตั้งในวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 เวลา 21:00 น. เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

2.จัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็ว เพิ่มความเข้มในการตรวจตรา ห้ามออกนอกเคหะสถาน เวลา 21:00 น. ถึง 04:00 น. ของวันรุ่งขึ้น โดยเน้นการตรวจตราจับกุมผู้ที่ฝ่าฝืนออกมาในเวลาดังกล่าว ส่วนการเปิดให้บริการของห้างร้าน ซุปเปอร์มาเก็ต สวนสาธารณะ หรือสถานที่ต่างๆ ให้เป็นไปตามข้อกำหนด คือ เปิดได้ถึง 20:00 น. ยกเว้นขนส่งสาธารณะที่เปิดได้ถึง 21:00 น.

กองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนร่วมมือปฏิบัติตามนโยบายมาตรการควบคุมโรคตามข้อกำหนดฯ อย่างเคร่งครัด หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท ทั้งนี้จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป