สธ.วาง 3 แนวทางช่วยเข้าถึงตรวจหาเชื้อและรักษาโควิด 19

กระทรวงสาธารณสุข วาง 3 แนวทางใช้ Antigen Test Kit ช่วยประชาชนตรวจหาเชื้อเร็วขึ้น คาดสัปดาห์หน้าใช้ตรวจด้วยตนเองได้ ให้ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการดูแลรักษาที่บ้านหรือที่ชุมชน ลดการใช้เตียงในโรงพยาบาล และจัด CCR Team 188 ทีม ดูแลผู้ป่วยโควิดถึงบ้านและชุมชน เร่งฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ พร้อมบูสเตอร์โดสในบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ปรับแผนฉีดวัคซีนสลับชนิด

วันนี้ (12 กรกฎาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวการตรวจรักษาโรคโควิด 19 โดย นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทยอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะ กทม.และปริมณฑลมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก มีการรอตรวจหาเชื้อและรอเตียงรักษาจำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขวางระบบแก้ไขดังนี้ 1.การนำ Antigen Test Kit (ATK) มาใช้ โดยระยะแรกตรวจในสถานพยาบาล และจะขยายให้ประชาชนตรวจด้วยตนเอง คาดว่าจะเริ่มได้ในสัปดาห์หน้า 2.การดูแลผู้ป่วยโควิดไม่มีอาการหรืออาการน้อยที่บ้าน (Home Isolation) หรือที่ชุมชน (Community Isolation) และ 3.กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับ กทม. และภาคีเครือข่ายใช้ระบบบริการปฐมภูมิดำเนินการ ส่ง Comprehensive Covid-19 Response Team หรือ CCR Team จำนวน 188 ทีม ดูแลผู้ป่วยโควิดที่บ้านหรือชุมชน โดยให้ความรู้การดูแลตนเอง ดูแลรักษาทางกายและใจ ให้คำปรึกษาผ่านเทเลเมดิซีน จ่ายยารักษา หากมีอาการมากขึ้นจะประสานเข้าระบบโรงพยาบาล และถ้าพบผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือหญิงตั้งครรภ์ จะเข้าไปฉีดวัคซีนทันที ดำเนินการในช่วง 2 สัปดาห์ที่มีการล็อกดาวน์ โดยในวันนี้ ได้ปล่อยขบวน CCR Team ออกปฏิบัติงานแล้วเริ่มที่ซอยลาซาล

นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องวัคซีน เนื่องจากปัญหาไวรัสกลายพันธุ์ โดย กทม.เป็นสายพันธุ์เดลตามากกว่า 50% จำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพวัคซีนให้เกิดภูมิคุ้มกันสู้ไวรัสกลายพันธุ์ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติจึงมีมติ คือ 1.การให้วัคซีนบูสเตอร์โดสสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ซึ่งเดิมได้รับซิโนแวค 2 เข็ม จะได้รับวัคซีนเข็ม 3 อาจเป็นแอสตร้าเซนเนก้าหรือไฟเซอร์ 2.ปรับวิธีการฉีดโดยให้วัคซีนต่างชนิดกัน เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันมากขึ้นและเร็วขึ้น และ 3.เร่งฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ที่มีโรคเรื้อรังให้มากกว่า 80% เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต จะช่วยลดการใช้เตียงในโรงพยาบาลตามมาได้

นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ขณะนี้ชุดตรวจ Antigen Test Kit เป็นการใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์ ดำเนินการในสถานพยาบาล ส่วนการปรับให้ใช้ด้วยตนเองได้นั้น วันนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามในประกาศกระทรวง และจะบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าสัปดาห์หน้าจะเริ่มใช้ด้วยตนเองได้ โดยช่องทางการจำหน่ายต้องเป็นสถานพยาบาล คลินิกเวชกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ และร้านขายยาที่มีเภสัชกรไม่สามารถขายทางอินเทอร์เน็ต โดยชุดตรวจที่มีการขึ้นทะเบียน 24 ราย ในจำนวนนี้ประมาณ 7 รายได้ยื่นเรื่องเพื่อปรับเอกสารกำกับการใช้สำหรับการใช้ด้วยตนเอง และจะมีมากขึ้นหลังกฎหมายบังคับใช้

นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ชุดตรวจ Antigen Test Kit เป็นการหาองค์ประกอบไวรัส เก็บตัวอย่างเหมือนการทำ RT-PCR คือ การแหย่จมูกถึงคอหอย แหย่ทางช่องปาก โพรงจมูกหรือใช้น้ำลาย ขึ้นกับชุดตรวจแต่ละชนิด ส่วนความแม่นยำนั้นกรณีผลบวกใกล้เคียงกับ RT-PCR ถึง 90% มีข้อจำกัดคือกรณีผลลบ หากเชื้อมีน้อยจะตรวจไม่เจอ ผลลบจึงไม่ได้แปลว่าไม่มีเชื้อ ต้องตรวจซ้ำใน 3-5 วัน หรือเมื่อมีอาการ ดังนั้นช่วงที่มีผู้ติดเชื้อไม่มากจึงไม่ได้ใช้วิธีนี้ ขณะนี้ต้องนำมาใช้เนื่องจากมีการรอตรวจจำนวนมาก  หากมีผลเป็นบวกต้องแจ้งสถานพยาบาลเพื่อนำเข้าสู่ระบบการรักษา

นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวว่า การใช้ชุดตรวจด้วยตนเอง บริษัทต้องทำเอกสารกำกับการใช้ให้ชัดเจนเข้าใจง่าย ผู้ใช้ต้องตรวจสอบวันหมดอายุ เก็บไว้ในที่ไม่โดนแสงแดด เตรียมสถานที่ตรวจไม่ให้ปะปนผู้อื่น ไม่ให้แพร่เชื้อเก็บตัวอย่างให้ถูกต้อง เมื่อนำมาสัมผัสกับน้ำยาและหยดลงชุดตรวจ จะต้องมีเส้นขึ้นที่ตัวอักษร C หากไม่ขึ้นแสดงว่าตรวจไม่ถูกต้อง ต้องใช้ชุดตรวจใหม่ ส่วนอักษร T หากมีเส้นขึ้นมาถือว่าเป็นผลบวก ไม่มีเส้นเป็นผลลบ ใช้เสร็จแล้วถือเป็นขยะติดเชื้อ ให้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อก่อนทิ้ง และทำความสะอาดล้างมือหลังทดสอบ

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการเก็บข้อมูลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ข้อมูลตรงกันว่า การฉีดวัคซีนสลับชนิดกันมีประโยชน์ภูมิคุ้มกันขึ้นสูงต่อสู้เดลตาได้ดี ซึ่งคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบการฉีดซิโนแวคเข็มแรก เว้น 3 สัปดาห์แล้วฉีดด้วยแอสตร้าเซนเนก้า จะกระตุ้นประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันสูงขึ้นใกล้เคียงแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม และใช้ระยะเวลาสร้างภูมิคุ้มกันเร็วกว่า จากเดิมฉีดแอสตร้าเซนเนก้าต้องใช้เวลา 12 สัปดาห์ ส่วนกรณีฉีดแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรกไม่ต้องสลับวัคซีนในเข็มสอง ทั้งนี้ จะจัดเตรียมวัคซีนให้เหมาะสมเพียงพอ เอาไปใช้ได้ตามสถานการณ์จำเป็นที่เหมาะสมต่อไป ส่วนการฉีดบูสเตอร์โดสบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าจะฉีดห่างจากเข็ม 2 ประมาณ 3-4 สัปดาห์ด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ดำเนินการได้ทันที หรือ mRNA ตามความเหมาะสม ซึ่งวัคซีนไฟเซอร์ที่รับบริจาคอยู่ระหว่างรอกำหนดส่งมอบ ส่วนคนทั่วไปครบ 2 เข็มจะพิจารณาบูสเตอร์โดสลำดับต่อไป

นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เข้าระบบการดูแลที่บ้าน คือ ผู้ป่วยใหม่อาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการอยู่ระหว่างรอเตียง หรือผู้ป่วยที่รักษามาแล้ว 7-10 วัน อาการคงที่ให้กลับมาดูแลต่อที่บ้าน โดยแพทย์จะพิจารณาหลักเกณฑ์ดังนี้ 1.ติดเชื้อไม่มีอาการหรืออาการเล็กน้อย 2.อายุน้อยกว่า 60 ปี 3.สุขภาพแข็งแรง 4. พักอยู่คนเดียวหรือมีคนพักรวมไม่เกิน 1 คน 5.ไม่มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน 90 กิโลกรัมหรือค่าดัชนีมวลกายเกิน 30  6.ไม่มีโรคร่วมสำคัญ คือ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไตเรื้อรัง หัวใจและหลอดเลือด หลอดเลือดสมอง เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ และ7.ยินยอมในการแยกตัว

สำหรับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยขณะดูแลรักษาที่บ้าน คือ 1.ไม่ให้ใครมาเยี่ยม 2. เว้นระยะห่างจากคนอื่น 2 เมตร 3.แยกห้องพัก หากทำไม่ได้ให้แยกจากคนอื่นให้มากที่สุด อากาศต้องถ่ายเท 4. ห้ามกินดื่มด้วยกัน 5.สวมหน้ากากตลอดเวลา 6.ล้างมือบ่อยๆ 7.แยกเครื่องใช้ส่วนตัวทั้งหมด 8.แยกซักเสื้อผ้า 9.ใช้ห้องน้ำแยกจากผู้อื่นหรือใช้หลังสุดและทำความสะอาด และ 10. แยกขยะ ทั้งนี้ สถานพยาบาลจัดระบบเข้ามาดูแลติดตามอาการ โดยมีอาหาร 3 มื้อ ปรอทวัดไข้และเครื่องวัดออกซิเจนในเลือด ให้ยาตามดุลยพินิจแพทย์ มีระบบเทเลเมดิซีนพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ติดตามประเมินอาการ ให้คำปรึกษา หากอาการเปลี่ยนแปลงจะนำส่งโรงพยาบาล ส่วนกรณีแยกห้องพักไม่ได้อาจใช้แนวทางดูแลผู้ป่วยที่ชุมชน ซึ่งกทม.ร่วมกับกรมการแพทย์ดำเนินการศูนย์พักคอย 16 ศูนย์ ใน 15 เขต รองรับผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย เตรียมไว้ประมาณ 2,500 คน จัดแพทย์ พยาบาล ระบบไอทีติดตามอาการ

นายแพทย์โกเมนทร์ ทิวทอง รองผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุนระบบปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว กล่าวว่า CCR Team ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข ของหน่วยบริการปฐมภูมิ คลินิกชุมชนอบอุ่น ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เครือข่ายภาคประชาชน บุคลากรของ กทม. เจ้าหน้าที่เขต หรือกำลังทหาร ตำรวจจำนวน 188 ทีม คอยช่วยประสานการลงพื้นที่ ดูแล 6 กลุ่มเขตในกทม. เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันนี้ ภายใน 2 สัปดาห์ที่มีการล็อกดาวน์ และได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานสนับสนุน CCR Team เบอร์0-2590-1933         

6 กลุ่มอาชีพ ที่สามารถเดินทางช่วง ‘เคอร์ฟิว’ ได้

เปิดรายละเอียด 6 กลุ่มยกเว้น ที่สามารถเดินทางออกนอกบ้านในช่วงเวลาเคอร์ฟิว ตั้งแต่เวลา 21.00 – 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และจังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา โดยมีระยะเวลา 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 64 เป็นต้นไป
1) ด้านสาธารณสุข ได้แก่ ผู้ป่วยที่ต้องไปพบแพทย์เพื่อรักษา และเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข
2) การขนส่งสินค้าเพื่อประชาชน ได้แก่ ผู้ขนส่งอาหาร ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ สินค้าอุปโภคบริโภค ผลผลิตทางการเกษตร น้ำมันเชื้อเพลิง ไปรษณีย์ พัสดุภัณฑ์ สิ่งพิมพ์ สินค้าเพื่อการส่งออกหรือนำเข้า
3) การขนส่งหรือขนย้ายประชาชน ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานขนส่งสาธารณะ ผู้ขนส่งและผู้เดินทางมาจากหรือไปยังท่าอากาศยานหรือสถานีขนส่ง ผู้ที่เดินทางไปยังที่ศูนย์พักคอยรอการส่งตัวเพื่อรับการรักษาโรค ผู้โดยสารและผู้เกี่ยวข้องที่จำเป็นต้องเดินทางข้ามเขตพื้นที่จังหวัด
4) การให้บริการหรืออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ได้แก่ ผู้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง หรือผู้ประสบภัย ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าและอาหาร ผู้ซ่อมบำรุงระบบสาธารณูปโภค ผู้จัดเก็บและกำจัดขยะมูลฝอย ผู้บริการซ่อมแซมอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม งานกู้ภัย การประกันภัย ผู้ต้องดำเนินงานกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
5) การประกอบอาชีพที่จำเป็น ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานตามรอบเวลา กะ หรือการทำงานตามผลัดเปลี่ยนเวรยาม ผู้ทำงานในโรงงาน งานก่อสร้าง งานบำรุงรักษาที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินงานได้ งานรักษาความปลอดภัย งานด้านเกษตรกรรม ประมง ปศุสัตว์ หรือการตรวจรักษาสัตว์
6) กรณีจำเป็นอื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตเป็นการเฉพาะรายจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ผู้เดินทางจะต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรแสดงตนอย่างอื่น และเอกสารรับรองความจำเป็น เอกสารเกี่ยวกับสินค้า บริการ การเดินทางหรือหลักฐานอื่น ๆ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่อย่างเคร่งครัด
ดาวน์โหลดเอกสารรับรองการออกนอกเคหสถาน ได้ที่ลิงก์นี้

นายกฯ รับมอบวัคซีนโควิด-19 จากรัฐบาลญี่ปุ่น

วันนี้ (12 กรกฎาคม 2564) เวลา 08.30 น. ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานงานรับมอบวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากรัฐบาลญี่ปุ่น ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายนาชิดะ คาซูยะ (H.E. Mr. Nashida Kazuya) เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยและญี่ปุ่น ภายหลังเสร็จสิ้นการรับมอบฯ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณในไมตรีจิตและความห่วงใยของรัฐบาลญี่ปุ่นในการสนับสนุนวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รัฐบาลไทยรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่งถึงความปรารถนาดีที่ญี่ปุ่นมีให้ตลอดมา สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศและความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทย-ญี่ปุ่นที่ต้องการจะแก้ไขสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ร่วมกัน ซึ่งการฉีดวัคซีนถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยลดการแพร่ระบาด อีกทั้งความช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่นครั้งนี้ มีส่วนสำคัญที่จะมาเสริมกับวัคซีนที่ไทยได้ดำเนินการจัดหามาแล้วเพื่อเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนมากยิ่งขึ้น ลดอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิต และสนับสนุนให้ไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง พร้อมยืนยันว่า ไทยพร้อมที่จะก้าวผ่านอุปสรรคต่าง ๆ และวิกฤติครั้งนี้ไปพร้อมกับญี่ปุ่นโดยไม่มีวันทอดทิ้งกัน

นายนาชิดะ คาซูยะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้มอบสารจากนายซูกะ โยชิฮิเดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถึงนายกรัฐมนตรี และได้กล่าวว่านับถือรัฐบาลไทยในการจัดการมาตรการโควิดครั้งนี้ หวังว่าการมอบวัคซีนครั้งนี้จะมีส่วนช่วยให้มาตรการฉีดวัคซีนของไทยราบรื่นยิ่งขึ้น พร้อมกล่าวถึงความช่วยเหลือร่วมมือของไทยญี่ปุ่นที่มีมาตลอดการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเกือบ 135 ปี โดยญี่ปุ่นและไทยร่วมฝ่าวิกฤติร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2554 และหวังว่ามิตรภาพที่มีจะช่วยให้เราผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน กลับมาสู่การเดินทางไปมาหาสู่กันด้วยรอยยิ้มเร็วที่สุด

ทั้งนี้ วัคซีนดังกล่าวได้มีการลงนามหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 และจัดส่งถึงไทยเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 โดยมีจำนวน 1,053,090 โดส เป็นวัคซีนของบริษัท AstraZeneca ซึ่งผลิตที่ประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัท KM Biologics Co., Ltd. และบริษัท Daiichi Sankyo Co., Ltd

เทคนิคมีนบุรี คืนเงินค่าใช้จ่ายช่วยลดภาระผู้ปกครองช่วงโควิด

นายทวีศักดิ์ คิ้วทอง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี ได้ร่วมกับสมาคมผู้ปกครองและครูวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี ซึ่งปัจจุบันมี รองศาสตราจารย์ ดร.ธีรพล เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นนายกสมาคมครูและผู้ปกครอง มีความห่วงใยผู้ปกครอง นักเรียนและนักศึกษา ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาต่าง ๆ และต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในช่วงสถานการณ์โควิดนี้ ทางวิทยาลัยฯ จึงได้มีการประชุมหารือผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งฝ่ายบริหาร แผนกวิชา งานกิจกรรม งานการเงิน งานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี งานพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน งานทะเบียน งานครูที่ปรึกษา และสมาคมผู้ปกครองและครู เพื่อพิจารณาลดค่าใช้จ่ายที่สถานศึกษาเก็บจากผู้ปกครองตามระเบียบของ กระทรวงศึกษาธิการ เช่น ด้านการเรียนการสอน การฝึกงาน ค่ากิจกรรมต่าง ๆ เงินอุดหนุนโครงการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ เช่น ค่าชุดนักเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน และค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ซึ่งได้เห็นพ้องต้องกันว่าค่าใช้จ่ายส่วนใดที่ไม่ได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน หรือไม่ได้ปฏิบัติในช่วงสถานการณ์โควิดนี้ก็ให้คำนึงถึงความเดือดร้อนของทุกฝ่ายให้คืนเงินส่วนนั้น เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองมากที่สุดเต็มจำนวน 100% แต่ส่วนใดที่ยังมีค่าใช้จ่ายอยู่ เช่น เป็นโครงการต่อเนื่อง การจ้างครู ทั้งชาวไทยและต่างชาติ มีสัญญาว่าจ้าง กิจกรรมที่ปรับเปลี่ยนไปจัดในรูปแบบออนไลน์แล้วค่าใช้จ่ายลดลง ก็จะลดให้ตามสัดส่วน ซึ่งจะได้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนผู้ปกครอง และให้ผู้ปกครองสามารถทำเรื่องผ่อนผันได้ การจัดหาทุนการศึกษามาช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเยียวยาจิตใจให้ผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดได้อีกทางหนึ่ง ถึงแม้ว่าในสถานศึกษาของรัฐจะไม่มีค่าใช้จ่ายสูงเหมือนกับสถานศึกษาของเอกชนเพราะรัฐมีเงินงบประมาณอุดหนุนมาให้ เช่น เงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากร ห้องเรียนอาคารสถานที่ คุรุภัณฑ์ ยานพาหนะ ค่าสาธารณูปโภคต่าง เป็นต้น แต่เราก็ไม่นิ่งนอนใจที่จะ ช่วยบรรเทาช่วยเหลือผู้ปกครองเพิ่มอีก

นายทวีศักดิ์ ยังได้กล่าวต่อว่าในเรื่องดังกล่าวนี้ ทางสถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกำกับดูแลสถานศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ก็พร้อมใจกันยินดีจะดำเนินการในเรื่องนี้ เพราะถือว่าสถานศึกษา จัดตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการศึกษาให้นักเรียนนักศึกษา ต้องไม่ให้ผู้ปกครองนักเรียนนักศึกษาเดือดร้อนต้องพักการเรียนหรือมาลาออกจากสถานศึกษา หรือการฝึกงานในสถานประกอบการเพราะการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาทุกสาขาวิชานั้นสำคัญต่อประเทศชาติ สำหรับการคืนเงินจะไม่มีผลกระทบต่อการเรียนการสอน เพราะสถานศึกษาจะพยายามจัดกิจกรรมต่าง ๆให้มีคุณภาพ ปลอดภัยให้ประหยัดงบประมาณมากที่สุด และช่วงนี้ทางสมาคมผู้ปกครองและครูก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนกิจกรรมต่าง ๆ ทุกรูปแบบ ซึ่งขณะนี้ทุกโรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนก็ได้รับทราบนโยบายนี้และทางสถาบันการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการก็ได้มีการสั่งการและกำชับติดตามในเรื่องนี้ โดยสถานศึกษาต่าง ๆ ได้ดำเนินการทยอยคืนเงินให้กับผู้ปกครองและนักเรียนนักศึกษา ตั้งแต่ช่วงที่เปิดเทอมเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา แต่อาจจะเกิดความล่าช้าเนื่องจากอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด โดยทางวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี ได้ลดค่าใช้จ่ายคืนให้กับผู้ปกครองตามประกาศ ขณะนี้มีผู้ปกครองนักเรียนนักศึกษาบางส่วนได้มาติดต่อขอรับคืนจากงานการเงิน และครูที่ปรึกษาแล้ว

คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดส

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสให้บุคลากรการแพทย์ด่านหน้าในเดือนกรกฎาคม เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สูงและเร็วขึ้น และฉีดวัคซีนซิโนแวคสลับแอสตร้าเซนเนก้า ห่างจากเข็มแรก 3 – 4 สัปดาห์ เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า ให้สถานพยาบาลใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit เพิ่มการเข้าถึงการตรวจหาเชื้อในกลุ่มเสี่ยง ลดการแพร่กระจายเชื้อ พร้อมเห็นชอบแนวทางการแยกกักตัวที่บ้านและในชุมชน ดูแลติดตามอาการใกล้ชิดตามมาตรฐานจากโรงพยาบาล รวมทั้งมีทีมดูแลผู้ป่วยโควิดอาการน้อยหรือพักฟื้นที่บ้านในพื้นที่กทม.

วันนี้ (12 กรกฎาคม 2564) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติครั้งที่ 7/2564 โดยมีนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลาโหม มหาดไทย แรงงาน ศึกษาธิการ การต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ UHOSNET โรงพยาบาลเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และสาธารณสุข ผู้แทนสภาวิชาชีพและองค์กรอิสระ ร่วมการประชุมและประชุมผ่านระบบออนไลน์

นายอนุทิน กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นการระบาดที่เกิดจากไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้า และมีแนวโน้มแพร่เชื้อไปต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานประกอบการ โรงงาน ตลาดค้าส่ง หากไม่มีมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่เข้มงวดมีประสิทธิภาพ คาดการณ์ว่าอาจพบผู้ติดเชื้อสูงถึง 10,000 ราย/วัน หรือสะสมมากกว่า 100,000 รายใน 2 สัปดาห์ ส่งผลทำให้มีการเสียชีวิตเกิน 100 ราย/วัน จำเป็นต้องใช้มาตรการยาแรงจะดำเนินการพร้อมกันในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เช่น ห้ามการรวมกลุ่มคนมากกว่า 5 คน จำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด ลดจำนวนขนส่งสาธารณะข้ามจังหวัดระยะไกล ปิดสถานที่เสี่ยง ให้พนักงาน Work from home ให้มากที่สุด เพื่อลดโอกาสสัมผัสโรค ลดการเคลื่อนย้าย และลดกิจกรรมของบุคคลให้มากที่สุด รวมถึงปรับแผนการฉีดวัคซีน ระดมฉีดกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคทั่วประเทศ ตั้งเป้าฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปในพื้นที่ระบาดรุนแรง เช่น กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ให้ได้ 1 ล้านคนภายใน 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันมากกว่า 80%  เนื่องจากกลุ่มนี้หากติดเชื้อมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูง โดยตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 11 กรกฎาคม 2564 ฉีดวัคซีนไปแล้ว 12,569,213 โดส เป็นเข็ม 1 จำนวน 9,301,407 ราย เข็ม 2 จำนวน 3,267,806 ราย

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบ 4 ประเด็นต่อการควบคุมโรคโควิด 19 คือ

1.การฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Booster dose) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยห่างจากเข็ม 2 นาน 3-4 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันให้สูงและเร็วที่สุด เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานด่านหน้า และธำรงระบบบริการสาธารณสุขของประเทศไทย เนื่องจากส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ครบแล้วนานมากกว่า 3 เดือน จึงควรได้รับการกระตุ้นในเดือนกรกฎาคมได้ทันที อาจเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าหรือไฟเซอร์

2.การให้ฉีดวัคซีนโควิดสลับ 2 ชนิด เข็ม 1 เป็นวัคซีนซิโนแวค และเข็ม 2 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า โดยห่างจากเข็มแรกนาน 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้า ซึ่งจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่สูงได้เร็วมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อผู้รับวัคซีน

3.แนวทางการใช้ Antigen Test Kit ในการตรวจหาเชื้อโควิด 19 เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงการตรวจหาเชื้อโควิด 19 โดยใช้ Antigen Test Kit ที่ผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ปัจจุบันขึ้นทะเบียนแล้ว 24 ยี่ห้อ โดยอนุญาตให้ตรวจในสถานพยาบาล และหน่วยตรวจที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการตรวจ RT-PCR ที่มีมากกว่า 300 แห่ง ช่วยลดระยะเวลารอคอย และในระยะต่อไปจะอนุญาตให้ประชาชนตรวจเองได้ที่บ้าน โดยจะมอบหมายให้คณะกรรมการโรคติดต่อ จังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร กำกับการดำเนินงานตามแนวทางปฏิบัติ 

และ4.แนวทางการแยกกักที่บ้าน (Home isolation) และการแยกกักในชุมชน (Community isolation) สำหรับผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีเงื่อนไขเหมาะสม หรือไม่สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลได้ รวมทั้งการแยกกักในชุมชนในกรณีการติดเชื้อโควิด 19 ในชุมชนเป็นจำนวนมาก โดยมีกระบวนการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดจากสถานพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 เพื่อความปลอดภัยและเป็นมาตรฐานในการดูแลรักษา เช่น มีเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ เครื่อง Oxymeter วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด และยารักษาโรค โดยมอบหมายให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร นำเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ ยังรับทราบแนวทางการจัดทีมดูแลผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มสีเขียวหรือกลุ่มผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้าน ในพื้นที่ กทม.

“การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 จะช่วยลดการป่วยที่รุนแรงและเสียชีวิต ช่วยชะลอการระบาดของโรค ช่วยให้โรงพยาบาลและสถานบริการสุขภาพยังคงรองรับผู้ป่วยได้ สิ่งสำคัญที่จะต้องปฏิบัติตามคือมาตรการป้องกันส่วนบุคคล การสวมหน้ากากอนามัย งดการคลุกคลีใกล้ชิด และไม่รับประทานอาหารร่วมกัน ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน งดการเดินทางที่ไม่จำเป็น ตามแนวทางและมาตรการที่ ศบค. กำหนด” นายอนุทินกล่าว

บราเดอร์ ชี้ โควิด-19! โจทย์หินธุรกิจไอทีไทย ‘รอดไม่รอด’

บราเดอร์ พร้อมรับมือโควิด-19 ระลอกใหม่ เผยเทรนด์ WFH และการเรียนการสอนแบบออนไลน์หนุนธุรกิจเครื่องพิมพ์ขยายตัวต่อเนื่อง เดินหน้าพัฒนาศักยภาพทีมงานพร้อมก้าวต่อไปให้ดียิ่งกว่าหากวิกฤติเริ่มคลี่คลาย  มั่นใจหากแผนการกระจายวัคซีนของภาครัฐเป็นไปตามเป้า จะส่งผลให้ 3 เส้นเลือดหลัก ‘ส่งออก-ท่องเที่ยว-การบริโภคภายในประเทศ’ กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจไทยและภาคธุรกิจไอที

นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของไทยมาตั้งแต่ปี 2563 แม้ภาครัฐพยายามจะกระตุ้นด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินสู่ระบบเพื่อเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ แต่เมื่อวิกฤติโควิด-19 ยังยืดเยื้อ ก็ถือเป็นความท้าทายที่ยากในการรับมือ ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจจะกลับมาเดินหน้าได้ 3 กลไกหลัก ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการส่งออก, อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และความแข็งแกร่งของกำลังซื้อในประเทศต้องเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว แต่ปัจจุบันมีเพียงกลุ่มอุตสาหกรรมการส่งออกที่เริ่มมีการขับเคลื่อนได้เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศที่เริ่มจัดการกับผลกระทบจากโควิด-19 ได้ดีขึ้น อาทิ อเมริกา จีน และประเทศในทวีปยุโรป ด้านความพยายามส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวด้วยการพัฒนาโมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพื่อหวังกระจายโมเดลดังกล่าวไปตามจังหวัดหลักด้านการท่องเที่ยวก็อาจไม่คึกคักอย่างที่คาด รวมถึงการอัดเม็ดเงินสู่ระบบเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายในประเทศครั้งใหม่นี้ ก็ยังไม่สามารถส่งผลได้อย่างชัดเจน ซึ่งต่างจากการจัดแคมเปญช้อปดีมีคืนที่สร้างความคึกคักให้แก่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา หากภาครัฐนำแคมเปญดังกล่าวกลับมาใช้อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ก็น่าจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศได้อย่างดี

เศรษฐกิจในภาพใหญ่และธุรกิจไอทีของไทย จะกลับมาเดินต่อได้อย่างมีเสถียรภาพ แผนการกระจายวัคซีนของภาครัฐต้องทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้เพื่อคืนความเชื่อมั่นให้แก่ทุกภาคส่วน” นายธีรวุธ กล่าวแสดงความเห็น “แม้ธุรกิจไอทีจะมีข้อได้เปรียบจากกระแส Work from Home และการเรียนออนไลน์ ที่ทำให้ความต้องการในตลาดขยายตัวในช่วงสถานการณ์โควิด-19    เห็นได้จากการเติบโตในกลุ่มลูกค้า home use ของบราเดอร์ แต่สิ่งที่ต้องบริหารจัดการและวางแผนอย่างรอบคอบคือ แผนการผลิตและการจัดหาชิ้นส่วนให้เพียงพอต่อการผลิต รวมทั้งเตรียมการณ์ล่วงหน้าในกรณีเกิดการล็อกดาวน์ในบริเวณโรงงานเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดแคลนสินค้าเพื่อป้อนสู่ตลาด ที่ผ่านมาหลายๆธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไอทีต้องเผชิญกับปัญหาโรงงานไม่สามารถผลิตสินค้าได้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด แต่เชื่อว่าภายในสิ้นปี 2564 จะสามารถปรับสู่ภาวะสมดุลระหว่างดีมานด์และซัพพลายได้อีกครั้ง

ทั้งนี้ นายธีรวุธ ยังกล่าวถึงแผนการปรับตัวของ บราเดอร์ ว่า บริษัทฯ มีการปรับแผนธุรกิจอย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา  ให้ความสำคัญต่อการบริหารค่าใช้จ่ายภายในองค์กรเพื่อบริหารต้นทุน และการเสริมศักยภาพการทำงานของบุคลากรรวมถึงปรับกระบวนการทำงานภายในและปรับองค์กรเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน คิดค้นวิธีการทำตลาดใหม่ เพื่อให้พร้อมเดินต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อสถานการณ์โควิด-19 เริ่มดีขึ้น เพราะถ้ารอให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นแล้วค่อยปรับตัวก็ช้าไปแล้ว

กองทัพอากาศ เผยยอด 290 นายติดเชื้อโควิด-19

กองทัพอากาศ เปิดเผยทหารกองประจำการติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันทุกคนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

พลอากาศโท ฐานัตถ์ จันทร์อำไพ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในฐานะโฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 กองทัพอากาศได้รับมอบหมายภารกิจในการสนับสนุนรัฐบาล และ ศบค.ในหลายมิติ ซึ่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงมีความห่วงใยในความปลอดภัยของกำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงและด่านหน้า โดยเฉพาะน้อง ๆ ทหารกองประจำการ ณ ที่ตั้งดอนเมือง ซึ่งออกปฏิบัติหน้าที่ช่วงสถานการณ์ COVID-19 เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด อาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว รวมทั้งเมื่อเสร็จจากการปฏิบัติภารกิจน้อง ๆ ทหารกองประจำการเหล่านี้ต้องกลับมาพักอาศัยและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มก้อน

ดังนั้น เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับกำลังพล ผู้บัญชาการทหารอากาศจึงสั่งการให้หน่วยเกี่ยวข้องดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กับทหารกองประจำการ ระหว่างวันที่ 9 – 11 ก.ค.64 เพี่อสร้างความปลอดภัย ผลการตรวจคัดกรองของทหารกองประจำการ จำนวน 718 คน พบว่า มีทหารกองประจำการติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 290 คน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง (กลุ่มอาการสีเขียว) โดยทั้งหมดได้รับการดูแลอย่างดีและรับการรักษาตามขั้นตอนที่ทางสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด มีรายละเอียดการปฏิบัติที่สำคัญ ดังนี้

1. กองทัพอากาศ จัดเตรียมอาคาร สถานที่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก โดยใช้อาคารกองพันของหน่วย เพื่อจัดเป็น Community Isolation หรือ สถานที่แยกตัวชุมชนของหน่วย ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประกอบด้วย 2 อาคาร ได้แก่ อาคารสำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง และ อาคารสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ (ผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง) โดยอาคารทั้ง 2 แห่ง แยกจากกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

2. ทหารกองประจำการที่ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมด แยกเข้ารับการรักษาภายใต้การกำกับดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ กรมแพทย์ทหารอากาศ ดังนี้
2.1 Community Isolation (สถานที่แยกตัวชุมชนของหน่วย) หรือ อาคารกองพันของหน่วย
จำนวน 199 คน
2.2 โรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศ (ดอนเมือง) จำนวน 52 คน
2.3 โรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศ (โรงเรียนการบิน) จำนวน 39 คน

3. สำหรับการดูแลผู้มีความเสี่ยงสูงและผู้ป่วยติดเชื้อ ได้ดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพอากาศดูแลอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อจะได้รับการตรวจวัดอุณหภูมิและวัดปริมาณออกซิเจน พร้อมลงบันทึกข้อมูลและแจ้งอาการป่วยกับเจ้าหน้าที่ทุกวัน รวมทั้งได้รับการบริการอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย นอกจากนี้ยังได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อรองรับการดูแลรักษาอย่างเพียงพอ

4. กรณีพบผู้ป่วยติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง จะนำส่งเข้ารักษาต่อยังโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ

5. สำหรับรายละเอียด Time Line ที่ผ่านมาของผู้ป่วยติดเชื้อนั้น น้อง ๆ ทหารกองประจำการ ไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยกลับบ้านและพักอาศัยอยู่ที่หน่วยตลอดเวลา

สำหรับการติดเชื้อในหน่วยทหารของกองทัพอากาศ ถือเป็นสถานการณ์โรคระบาดที่มีความสำคัญ และกองทัพอากาศติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด เมื่อมีการติดเชื้อก็จะเข้าสู่กระบวนการป้องกันและรักษาตามมาตรฐานสาธารณสุข โดยใช้ศักยภาพของโรงพยาบาลในสังกัดกองทัพอากาศในการรักษาพยาบาลกำลังพล และควบคุมไม่ให้กระจายไปสู่ภายนอก ซึ่งกำลังพลกองทัพอากาศมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้เช่นเดียวกับประชาชนโดยทั่วไป

อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการทหารอากาศมีความห่วงใย และได้กำชับให้กำลังพลเพิ่มความระมัดระวังอย่างสูงสุด เนื่องจากที่ตั้งบางหน่วยเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค กองทัพอากาศขอยืนยันว่าเราจะดูแลน้อง ๆ ทหารกองประจำการ ซึ่งเป็นบุตรหลานของท่านอย่างดีที่สุดภายใต้มาตรฐานการรักษาพยาบาลและขีดความสามารถของหน่วยงานทางการแพทย์ของกองทัพอากาศที่มีอยู่อย่างเต็มกำลังความสามารถ

สปสช. ผนึก สปคม. เพิ่มจุดตรวจโควิด-19

สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค (สปคม.คร.) แจ้งแผนการปฏิบัติงานค้นหาโรคโควิด 19 เชิงรุกโดยรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน ในประชาชนกลุ่มสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยันโควิด 19 และผู้ไปในสถานที่เสี่ยง เตรียมคัดกรองจุดละ 3,000 คน และตรวจ 08.00 . จนกว่าจะครบ

เริ่มวันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564 ได้แก่

1.สนามกีฬาธูปะเตมีย์ กองทัพอากาศ

2.สนามราชมังคลากีฬาสถาน (หัวหมาก)

วันพุธที่ 14กรกฎาคม 2564 ได้แก่

3.สนามฟุตบอลกองพล ปตอ. เกียกกาย

สิ่งที่ต้องเตรียม ได้แก่บัตรประจำตัวประชาชน  และปากกา (ส่วนตัว)

หากท่านมีอาการไข้ ไอ หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก  และมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโควิด 19 หรือไปในสถานที่เสี่ยงแนะนำขอให้เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาล

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารการเคลื่อนที่เก็บตัวอย่างของรถพระราชทานได้ทาง face book fan page สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค และตรวจสอบผลได้ที่ https://www.iudcthailand.org/icntracking/self_register.php โดยใส่เลขบัตรประชาชน เเละเบอร์โทรศัพท์ ที่ท่านได้ลงทะเบียนไว้

คลิกเลย! ดาวน์โหลดเอกสารออกนอกเคหสถาน

ผู้ที่ต้องการการออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 21.00 – 04.00 น. ของพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดปริมณฑล (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร) และจังหวัดชายแดนภาคใต้ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา) ต้องกรอกเอกสารรับรองความจำเป็นสำหรับการออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00 – 04.00 น.

ดาวน์โหลดได้ที่ลิงก์นี้

สำหรับหน่วยงาน หรือบริษัท หรือสถานประกอบการต้นสังกัดออกให้บุคคลที่ได้รับการยกเว้นฯ ตามข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 ก.ค. 64 ได้แก่ การสาธารณสุข การขนส่งสินค้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน การขนส่งหรือขนย้ายประชาชน การให้บริการหรืออำนวยประโยชน์ หรือความสะดวกแก่ประชาชน และการประกอบอาชีพที่จำเป็น

นอกเหนือจากบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ให้ขอเอกสารรับรองความจำเป็นฯ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้อำนวยการเขต หัวหน้าสถานีตำรวจ

เผยแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้า

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้า ที่ได้รับบริจาคจากต่างประเทศ พร้อมดำเนินการส่งมอบวัคซีนไปยังพื้นที่ต่างๆตามที่ ศบค. กำหนด โดยเน้นฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย เช่น บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งแผนการบริหารจัดการวัคซีนอาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

วันนี้ (11 กรกฎาคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับแจ้งข่าวการบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 1.5 ล้านโดส และได้รับบริจาควัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว จำนวน 1.05 ล้านโดส เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทย โดยกรมควบคุมโรค เตรียมดำเนินการกระจายวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไปยังพื้นที่เป้าหมายตามแนวทางที่ ศบค. กำหนด คือ พื้นที่ที่มีการระบาด และพื้นที่ที่เปิดให้ท่องเที่ยว โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะเป็นผู้บริหารจัดการในพื้นที่ต่างจังหวัด ส่วนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะบริหารจัดการผ่านโรงพยาบาลในพื้นที่ และกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ประสานหลักในการฉีดวัคซีนให้กับชาวต่างชาติ

สำหรับแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดส จะฉีดให้กับ 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 (Booster Dose จำนวน 1 เข็ม)  2.ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง  3.ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุและโรคเรื้อรัง  4.ผู้ที่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไฟเซอร์ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา นักกีฬา นักการทูต โดยจะฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์ ยกเว้นกรณีบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า Booster Dose 1 เข็ม ทั้งนี้ การจัดสรรวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เข็ม 3 จะมีการพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ในวันจันทร์ที่ 12 ก.ค. 64 นี้

ส่วนแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 1.05 ล้านโดส นั้น จะฉีดให้กับ 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง  2.ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุและโรคเรื้อรัง  3.ผู้ที่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา นักกีฬา นักการทูต เป็นต้น

นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนการบริหารจัดการวัคซีนอาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลักเพื่อลดความสับสน  ทั้งนี้ ขอความร่วมมือบุตรหลาน พาผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรคเรื้อรังไปรับการฉีดวัคซีน เพื่อลดความรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตในสถานการณ์ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย รวมถึงให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด 19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากาก 100% เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ลดกิจกรรมนอกบ้านที่ไม่จำเป็น เมื่อกลับถึงบ้านต้องทำความสะอาดร่างกายทันที เพื่อลดโอกาสการนำเชื้อเข้ามาติดต่อสู่คนในครอบครัว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422