กทม.ส่ง 69 ทีมเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่เชิงรุกในชุมชน

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันพบผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชน หรือสถานประกอบการที่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกัน ซึ่งมีแนวโน้มเกิดการระบาดในครอบครัวและชุมชนมากขึ้น

กรุงเทพมหานคร จึงได้กำหนดแนวทางการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับประชาชนที่มีความพร้อม สำหรับในวันนี้ (15 ก.ค.64) กรุงเทพมหานคร โดยสำนักอนามัย สำนักงานเขต ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง จะบูรณาการความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เครือข่ายNGO จัดทีมเคลื่อนที่เร็วแบบเบ็ดเสร็จ CCRT (Comprehensive Covid-19 Response Team ) 69 ทีม ลงพื้นที่ 69 ชุมชน และจะขยายให้เป็น 200 ชุมชน เป้าหมายคือการเร่งระดมตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา รวมถึงให้ผู้ป่วยได้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวทางการกักตัวตัวที่บ้าน(Home Isolation) หรือการพัก ณ ศูนย์พักคอยรอส่งต่อ (Community Isolation) อย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ จะมีการนำชุดตรวจ Antigen Test Kit ไปใช้ในการตรวจเชิงรุกในชุมชนแออัด เพื่อให้สามารถตรวจและแยกผู้ป่วยออกจากชุมชนได้อย่างรวดเร็วด้วย โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในครั้งนี้จะเป็นการร่วมกันดูแลผู้ป่วยแบบผสมผสาน เพื่อค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและกักกันไม่ให้แพร่เชื้อให้แก่ผู้อื่น ซึ่งจะส่งผลให้สามารถลดอัตราการป่วยและการเสียชีวิตในกลุ่มเปราะบางได้ด้วย

“เด็กแรกเกิดต้องรอด” โครงการจัดซื้ออุปกรณ์สำหรับทารกแรกเกิดที่แม่ติดเชื้อโควิด-19

เด็กแรกเกิด เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตโควิด-19 เพราะปัจจุบันมีกลุ่มแม่อุ้มท้องที่ติดเชื้อและเจ็บท้องคลอด แต่เพื่อไม่ให้เด็กทารกแรกเกิดที่คลอดออกมานั้น ได้รับเชื้อโควิด-19 จำเป็น ต้องมีการดูแลมารดา และทารกอย่างถูกต้อง จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า ในคุณแม่ติดเชื้อ แม้มีโอกาสถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ไม่มากนัก แต่หากกระบวนการดูแลทั้งการคลอด หลังคลอด และที่บ้าน ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจะทำให้เด็กแรกเกิดมีโอกาสติดเชื้อไปด้วย ฉะนั้น โรงพยาบาลเด็ก หนึ่งในด่านหน้าที่รับดูแลเด็กแรกเกิดที่ป่วยจึงได้ริเริ่มโครงการ “เด็กแรกเกิดต้องรอด” เพื่อเตรียมสถานที่และอุปกรณ์สำหรับรองรับการดูแลทารกแรกเกิดที่มีอาการป่วยด้วยโรคโควิด-19 หรือคลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ

นายแพทย์เสรี ตู้จินดา ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก

นายแพทย์เสรี ตู้จินดา ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก กล่าวว่า สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี หรือในชื่อเดิมคือ รพ.เด็ก เป็น รพ.รัฐบาลแห่งเดียวในประเทศไทยที่รับดูแลแต่ผู้ป่วยเด็กเท่านั้น มีแผนกต่างๆสำหรับเด็กครบถ้วนเช่นเดียวกับโรงพยาบาลผู้ใหญ่ ให้การดูแลตั้งแต่ทารกแรกเกิดจนถึง 15-18 ปี โดยหน่วยทารกแรกเกิด สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านทารกแรกเกิดของกรมการแพทย์ ให้การดูแลทารกที่คลอดที่ รพ.ราชวิถีทุกราย ทั้งทารกปกติที่อยู่กับมารดา และทารกที่มีอาการป่วยซึ่งจะได้รับการส่งต่อมารับการรักษาที่สถาบันฯ   นอกจากนี้ ยังให้การดูแลรักษาทารกวิกฤต หรือมีปัญหาซับซ้อนที่ส่งต่อมาจาก รพ.ทั่วประเทศ โดย รพ.ราชวิถี ซึ่งเป็นรพ.ศูนย์ขั้นสูงระดับตติยภูมิ และให้การดูแลและรับส่งต่อมารดาที่มีความเจ็บป่วยซับซ้อนเช่นเดียวกัน ปัจจุบันสถิติมารดาคลอดประมาณ 400–500 รายต่อเดือน พบจำนวนมารดาที่เป็นโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 10 รายในเดือนพฤษภาคม เป็น 29 รายในเดือนมิถุนายน และในเพียงแค่ 11 วันแรกของเดือนกรกฎาคมนี้ พบมารดาที่ติดเชื้อแล้วถึง 16 ราย รวมพบเป็น 55 ราย

นายแพทย์เสรี กล่าวเพิ่มเติมว่า “มารดาที่เป็นโรคโควิด 19 ต้องได้รับการดูแลในห้องหรือเต็นท์ความดันลบ ทั้งก่อนคลอด ขณะคลอดและหลังคลอด รวมทั้งห้องผ่าตัดความดันลบหากจำเป็นต้องผ่าคลอด ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยจากการแพร่กระจายเชื้อสู่ทารกและบุคลากรผู้ดูแล จากมารดาป่วยด้วยโรคโควิด-19 ทั้งหมด 55 ราย ใน รพ.ราชวิถี ได้รับการผ่าตัดคลอดประมาณครึ่งหนึ่ง ซึ่งมารดาหลายคนมีภาวะปอดบวมอย่างรุนแรง ซึ่งยากต่อการรักษากว่าผู้ป่วยอื่น ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จำเป็นต้องใช้ยาหลายชนิดในการดูแลรักษา ซึ่งอาการของมารดาจะส่งผลกระทบต่อทารก และมารดาที่ติดเชื้อมักมีอาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด หรือทำให้อาการของมารดา และ/หรือ ทารกทรุดลง จำเป็นต้องผ่าตัดคลอดฉุกเฉิน  ส่งผลให้ทารกส่วนหนึ่งต้องคลอดก่อนกำหนด หรือมีภาวะขาดออกซิเจน ต้องได้รับการกู้ชีพหลังคลอด ใช้เครื่องช่วยหายใจ และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นของทั้งมารดาและทารก  หลังคลอดทารกที่มีอาการ โดยเฉพาะทารกที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจจำเป็นต้องอยู่ในห้องความดันลบ แยกจากทารกอื่นเพื่อลดโอกาสแพร่กระจายเชื้อ จนกว่าจะทราบผลตรวจที่อายุ  48 ชั่วโมง ทั้งนี้ จากรายงานการติดเชื้อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ มีโอกาสติดเชื้อจากมารดาค่อนข้างน้อย ประมาณ 1-3% แตกต่างกันตามรายงานในแต่ละที่ จากการที่สถาบันฯ ดูแลทารกทั้งหมด 55 ราย พบว่าอาจติดเชื้อจากมารดาตั้งแต่ในครรภ์ 1 รายซึ่งเป็นทารกส่งต่อมาจาก รพ.อื่น และทารกอีก 5 ราย ติดเชื้อจากคนในครอบครัวหลังคลอด นั่นคือสิ่งที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้และอาจเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากได้ ถ้าสถานการณ์การแพร่ระบาดยังไม่น้อยลง”

นายแพทย์อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

ด้าน นายแพทย์อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวถึงสภาวการณ์ปัจจุบันว่า “ในภาวะปกติ เตียงของทารกที่สถาบันฯ ซึ่งมีจำนวน 70 เตียงรองรับผู้ป่วยเต็มจำนวนเกือบตลอดเวลา แต่สถานที่ไม่พร้อมที่จะรองรับผู้ป่วยโควิด 19 ได้หากเกิดการระบาดขึ้น ทางหน่วยทารกแรกเกิดจึงได้เตรียมห้องความดันลบสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิดจำนวน 2 ห้องไว้ตั้งแต่การระบาดระลอกแรกเมื่อปลายปี 2563 ซึ่งได้รับความกรุณาอย่างยิ่งจากทีมวิศวกรจุฬาฯรุ่น 75 และชุมชนคนอินเดียในประเทศไทย (Thai-Indian community) ทำให้เราสามารถให้การดูแลทารกได้อย่างดีในช่วงแรก แต่จากสถานการณ์ขณะนี้ พบว่าเตียงในห้องความดันลบที่เรามีอยู่ไม่พอต่อการรองรับผู้ป่วย  ในบางช่วงมีทารกต้องใช้ห้องในเวลาเดียวกันมากกว่าที่จะรองรับได้  รวมทั้งทารกที่ติดเชื้อโควิด-19 จะใช้เวลาอยู่ใน รพ.เป็นเวลานาน 10-14 วัน ทำให้ไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่มได้อีก ซึ่งจะเป็นปัญหามากในอนาคตอันใกล้  อีกทั้ง จากจำนวนทารกแรกเกิดที่ป่วยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  เราจำเป็นต้องขยายเตียง ICU และ semi- ICU เพิ่มขึ้นอย่างเร่งด่วนเพื่อสามารถให้การดูแลทารกป่วยด้วยโควิด-19 ได้ จำนวน 6-8 ราย ในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม นอกจากภาระดูแลทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นโควิด 19 ทั้งที่ รพ.ราชวิถี  และสถาบันฯ เอง เรายินดีที่จะช่วยแบ่งเบาภาระ รพ.ที่ไม่สามารถดูแลทารกที่ติดเชื้อโควิด-19 ได้

ดังนั้น หลายท่านอาจได้ยินชื่อ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีหรือรพ.เด็ก เป็นครั้งแรก แต่หลายท่านอาจรู้จักเราในฐานะที่เป็นที่พึ่งแห่งหนึ่งในการดูแลเด็กเสมอมา ในวิกฤตปัจจุบันเด็กก็มีโอกาสเจ็บป่วยได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะทารกแรกเกิดมีความเปราะบางยากต่อการดูแล ขอโอกาสให้เด็กและทารกสามารถเข้าถึงการรักษา ด้วยการบริจาคของท่านเพียงคนละเล็กน้อย จะสามารถสร้างโอกาสชีวิตให้กับอนาคตของชาติ เราจะร่วมกันสู้เพื่อผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน” นายแพทย์อดิศัย กล่าวปิดท้าย

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถร่วมบริจาคเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ สำหรับเด็กทารกแรกเกิดที่แม่ติดเชื้อจากโควิด-19 ได้ที่ชื่อบัญชี สมทบทุนมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 051-2-09873-5 โดยระบุ “เด็กแรกเกิดต้องรอด” (ใบเสร็จรับเงินสามารถลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า) โดยส่งหลักฐานการโอนเงิน พร้อมชื่อ-สกุล เบอร์โทร เพื่อรับใบเสร็จรับเงิน ที่ LINE OA: @thaichf24 หรืออีเมล [email protected] สอบรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.02-354-8321 หรือ 090-663-1479

ยอดโควิดวันนี้! ผู้เสียชีวิตพุ่ง 98 ราย

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม 2564 รวม 9,186 ราย จำแนกเป็น
ติดเชื้อใหม่ 9,107 ราย ผู้ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 79 ราย ผู้ป่วยสะสม 343,352 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้หายป่วยกลับบ้าน 5,543 ราย
ผู้หายป่วยสะสม 238,701 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน)
ผู้เสียชีวิต 98 ราย

54 หน่วยงานได้รับจัดสรรวัคซีนซีโนฟาร์ม

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกาศว่า การจัดสรรวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์มให้หน่วยงานราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นครั้งที่ 1 ที่ยื่นความประสงค์มาในระบบขอรับการจัดสรรและส่งเอกสารรับรอง พร้อมแบบฟอร์มแผนการกระจายวัคซีนครบถ้วนแล้ว ดังนี้

1) องค์กรที่ได้รับการจัดสรรมีจำนวน 54 แห่ง เป็นจำนวนประชากรที่ได้รับจัดสรรในระยะที่ 1 นี้จำนวน 375,320 คน ตามลำดับความจำเป็นของกลุ่มกิจกรรมและกลุ่มเปราะบางในท้องถิ่น

2) ลำดับความสำคัญกลุ่มที่ได้รับการจัดสรรคือ
• กลุ่มองค์กรการศึกษา
• กลุ่มองค์กรการกุศล
• กลุ่มองค์กรด้านการแพทย์และการสาธารณสุข
• กลุ่มผู้พิการ
• กลุ่มผู้ด้อยโอกาส/ชุมชนแออัด
• ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป/ผู้ป่วยติดเตียง
• พระ/นักบวช

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจ/กิจกรรมอื่นๆ และองค์กรอื่นที่ส่งแผนการจัดกลุ่มมาสมบูรณ์ตามเวลาจะได้รับการจัดสรรตามกลุ่มกิจกรรมความจำเป็น ความรุนแรงของการระบาดและปริมาณวัคซีนที่มีมาในลำดับต่อไป

สามารถดาวน์โหลดรายชื่อองค์กรที่ได้รับการจัดสรรทางเว็บไซต์ https://www.chulabhornhospital.com/page.php?name=1533 และตรวจสอบสถานะการขอรับการจัดสรรวัคซีน ทาง https://vaccine.cra.ac.th/

สำหรับขั้นตอนการดำเนินการหลังจากได้รับการจัดสรร

1. ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จะส่งอีเมลไปยัง “ผู้บริหารสูงสุด” ของหน่วยงานที่ลงทะเบียนไว้ (โปรดตรวจสอบใน Junk mail ด้วย) ซึ่งท่านเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่จะได้รับอีเมลเพื่อรับทราบ จำนวนที่ได้รับการจัดสรร ยอดการโอนเงิน พร้อม Username และ Password ของท่านและผู้ประสานงาน สำหรับล็อคอินเข้าใช้งานระบบองค์กรท่าน (ผู้บริหารสูงสุดเท่านั้นที่จะเป็นผู้ลงนามสัญญาข้อตกลงได้ผ่าน Username และ Password ส่วนตัวท่านผู้บริหาร) ทางเว็บไซต์ https://vaccine.cra.ac.th เพื่อรับทราบจำนวนวัคซีนที่ได้รับการจัดสรรและยอดการโอนเงิน โปรดโอนเงินค่าวัคซีนเต็มจำนวน (รวมจำนวนที่บริจาค) ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม เวลา 16.00 น. หากไม่โอนเงินตามเงื่อนไข ราชวิทยาลัยฯ จะนำจำนวนวัคซีนนั้นไปจัดสรรให้องค์กรอื่นต่อไป

2. หน่วยงานประสานกับโรงพยาบาลในท้องถิ่นที่ขึ้นทะเบียนให้บริการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มกับทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และนัดหมายวันให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนในท้องถิ่น เพื่อทางราชวิทยาลัยจะได้จัดส่งวัคซีนไปยังโรงพยาบาลที่ท่านเลือกตามจำนวนโควต้าที่ได้รับการจัดสรรก่อนวันรับการฉีดอย่างน้อย 2 วันล่วงหน้า โดยท่านและโรงพยาบาลสามารถนัดวันฉีดวัคซีนเริ่มได้ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป
(ตรวจสอบโรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดท่านได้ทาง https://www.chulabhornhospital.com/page.php?name=1529 )

3. หน่วยงานองค์กรเตรียมรายชื่อบุคคลที่จะเข้ารับวัคซีนตามกลุ่มที่ได้รับการจัดสรร เพื่ออัพโหลดเข้าระบบของทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งท่านต้องทำการโหลดให้แล้วเสร็จล่วงหน้าก่อนวันนัดฉีดอย่างน้อย 2 วัน (โดยท่านไม่สามารถปรับเปลี่ยนรายชื่อหรือแก้จำนวนในระบบในช่วงเวลา 2 วันก่อน และ 2 วันหลังนัดรับการฉีดวัคซีนขององค์กร)โดยกลุ่มที่ได้รับการจัดสรรในลำดับแรก ได้แก่
• กลุ่มองค์กรการศึกษา
• กลุ่มองค์กรการกุศล
• กลุ่มองค์กรด้านการแพทย์และการสาธารณสุข
• กลุ่มผู้พิการ
• กลุ่มผู้ด้อยโอกาส/ชุมชนแออัด
• ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป/ผู้ป่วยติดเตียง
• พระ/นักบวช

ส่วนหน่วยงานที่ยังไม่ได้รับการจัดสรร เนื่องจากส่งเอกสารไม่ครบถ้วน (ไม่ได้จัดลำดับความสำคัญของกลุ่มด้อยโอกาส) หรือไม่ได้ส่งแผนการกระจายวัคซีน สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ทาง https://vaccine.cra.ac.th กดปุ่ม “สำหรับ อปท ยื่นแบบฟอร์มแผนการจัดลำดับกลุ่มการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในท้องถิ่น” และส่งเข้ามาได้ทางอีเมล : [email protected] ภายในวันศุกร์ 16 กรกฎาคม 2564 หากเลยกำหนดเวลา ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ขอตัดสิทธิ์เพื่อนำโควต้าวัคซีนไปกระจายจัดสรรให้กับผู้ที่มีความจำเป็นอื่นต่อไป

ขอนแก่น เตรียมตั้ง คอมมูนิตี้ ไอโซเลชั่น ภายในแคมป์คนงานก่อสร้าง

แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสำนักงานควบคุมโรคที่ 7 ลงพื้นที่ตรวจคัดกรองโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานก่อสร้าง กว่า 150 คน บริเวณหน้าแคมป์แรงงานก่อสร้างแห่งหนึ่ง ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ถนนมะลิวัลย์ เพื่อตรวจเชิงรุกค้นหาผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มเติม หลังจาก ได้รับรายงานผลการตรวจยืนยันเมื่อคืนที่ผ่านมา ว่ามีแรงงานที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุด ที่เข้ารับการกักตัว 14 วัน มีผลการตรวจเป็นบวก ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 28 คน

นายศุภชัย ลีเขาสูง นายอำเภอเมืองขอนแก่น เปิดเผยว่า แคมป์แรงงานแห่งนี้ มีแรงงานทั้งชาวไทย และแรงงานชาวต่างชาติ รวมกว่า 200 คน โดยเป็นแรงงานชาวไทย ประมาณ100 คน และแรงงานเมียนมาร์และกัมพูชา รวมประมาณ 100 คน ที่ทำงานก่อสร้างในเขตใจกลางเมืองขอนแก่น เบื้องต้นได้รับการยืนยันจากนายจ้างว่า ได้มีการควบคุมการทำงานในพื้นที่จำกัด โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ นอกจากการตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อเพิ่ม ยังเป็นการทำงานเชิงรุกเพื่อวางแผนสกัดกั้นโรค ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้วางแผนปรับแคมป์แรงงานแห่งนี้ เป็น คอมมูนิตี้ ไอโซเลชั่น เป็นที่แรกของจังหวัดขอนแก่น เพื่อลดปัญหาของจำนวนเตียงที่มีอย่างจำกัด รวมทั้งมีกลุ่มแรงงานจำนวนมาก และพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อส่วนใหญ่ อยู่ในระยะไม่แสดงอาการเจ้าหน้าที่จึงได้ประเมินเบื้องต้นว่า จะไม่เคลื่อนย้ายแรงงานออกนอกพื้นที่แต่จะจัดทีมแพทย์พยาบาล ลงมาประเมินอาการทุกวัน

สำหรับจังหวัดขอนแก่น ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ต่อเนื่อง โดยผลยืนยันล่าสุดเมื่อวานนี้ จำนวน 83 คน โดย ครึ่งหนึ่ง เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ประสงค์เดินทางกลับมารักษาตัวที่ภูมิลำเนา ซึ่งทำให้ตอนนี้ จังหวัดขอนแก่น ยังจัดอยู่ในพื้นที่ควบคุม ซึ่งคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด ได้มีมติเห็นชอบให้ทุกอำเภอในจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่แต่ละอำเภอ ไม่น้อยกว่าอำเภอละ 1 แห่งและมีการจัดตั้งโลคอล คอรันทีนทั้ง 26 อำเภอ รวม 150 แห่ง รองรับผู้ที่จะเข้ากักกันตัวได้ประมาณ 1,920 คน

นายบุญฤทธิ์ พาณิชย์รุ่งเรือง รองนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น กล่าวว่า ขณะนี้เทศบาลนครขอนแก่น โดยฝ่ายสำนักการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ได้เข้ามาดูแลในการตรวจควบคุมโรคภายในแคมป์คนงานก่อสร้าง โดยจะมาดูแลเรื่องความเหมาะสมของสถาน ซึ่งจากการประเมินพบว่า มีความเหมาะสมและสามารถปรับปรุงได้ในบางส่วน โยจะจัดส่ง ชุด อปพร.มาดูแลด้านความปลอดภัยบริเวณโดยรอบแคมป์คนงาน และสิ่งที่สำคัญคือการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในชุมชนโดยรอบ สร้างการรับรู้และเข้าใจร่วมกันเพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก โดยการสื่อสารกับคนในชุมชนโดยเฉพาะ อสม.เพื่อให้มีการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน

ด้าน นายแพทย์นิทิกร สอนชา หัวหน้ากลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลขอนแก่น กล่าวว่า การดำเนินการด้านการควบคุมโรค ของโรงพยาบาลขอนแก่น นั้น ในเบื้องต้นจากการที่ได้ประสานกับผู้ควบคุมแคมป์คนงานมีความเห็นว่าจะจัดทำเป็น Community Isolation โดยดำเนินการแยกกักในกลุ่มคนงาน เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อในแคมป์ค่อนข้างสูง พร้อมทั้งสถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลขณะนี้เกินอัตรากำลังที่จะรับได้ซึ่ งคนงานส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่ไม่มีอาการไปจนถึงมีอาการน้อยมาก จากการตรวจประเมินร่วมกับทีมด้านบริบทพื้นที่ภายในแคมป์คนงานก่อสร้าง ซึ่งมีการกั้นพื้นที่เป็นสัดส่วนที่ดีมาก สามารถแยกกลุ่มป่วยออกจากกลุ่มปกติได้อย่างชัดเจน มีความพร้อมทั้งระบบที่พัก ระบบห้องน้ำ ซึ่งขาดเพียงระบบการบริหารจัดการขยะ ซึ่งขณะนี้ได้มีการประสานกับเทศบาลนครขอนแก่น ในการที่จะเข้ามาจัดบริหารจัดการด้านขยะภายในแคมป์คนงาน โดยโรงพยาบาลขอนแก่นจะมีการเฝ้าติดตามอาการของผู้ติดเชื้อที่อยู่ภายในแคมป์ซึ่งจะได้มีการประสานกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลด้านสุขภาพอนามัยของแรงงานภายในแคมป์คนงาน เพื่อให้ช่วยประสานในเรื่องการวัดไข้ การดูแลเรื่องความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดเพื่อติดตามประเมินอาการ ในกรณีที่หากมีอาการแย่ลงจะมีระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ที่จะนำคนไข้เข้าไปยังโรงพยาบาล แต่หากอาการยังอยู่ในเกณฑ์ปกติจะให้การดูแลเบื้องต้น ในจุดที่ทำการแยกกักตัวไปจนครบ 14 วัน และจะมีการประเมินซ้ำอีกครั้งก่อนที่จะให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

Cr.https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG210714134138932

เห็นชอบจัดหาวัคซีนโควิดปีหน้า 120 ล้านโดส

นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถานบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติว่า 2 เรื่องสำคัญที่ที่ประชุมฯ พิจารณาและมีมติออกมา คือ 

1.กรอบการจัดหาวัคซีนโควิด 19  ในปีหน้า 2565 แก่ประชาชน อีก 120 ล้านโดส โดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ให้หาทั้งวัคซีนรูปแบบ mRNA ไวรัลเวกเตอร์ ซับยูนิตโปรตีน และรูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ระบาด จำนวนซับพลายของวัคซีนและให้คำนึงต่อวัคซีนที่ตอบสนองต่อการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่จะมีขึ้นต่อไป โดยให้มีการจัดหาให้เพียงพอ ให้กับประชากรผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงวัคซีน และเป็นการฉีดเพิ่มเติมกรณีต้องได้รับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในปีถัดไป รวมทั้งสำรองวัคซีนไว้ใช้ในกรณีที่เกิดการระบาดด้วย

นอกจากนี้ ยังมีมติให้กรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เร่งจัดหาวัคซีนสำหรับปี 2564 นี้ ให้ได้ตามเป้าหมาย 100 ล้านโดส

เรื่องที่ 2. คือการพิจารณาตัวร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้ ม.18 แห่ง พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ.2561 ในการกำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ซึ่งที่ประชุม ได้อภิปรายเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง พิจารณาทั้งผลกระทบและความเป็นไปได้ รวมทั้งองค์ประกอบอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาต่อไปข้างหน้า จนมีเห็นชอบในหลักการ ที่จะให้มีการออกประกาศนี้ โดยมอบให้ฝ่ายเลขานุการ คือ สถาบันวัคซีนแห่งชาติและกรมควบคุมโรคพิจารณาทบทวน ในเนื้อหาของร่างประกาศนี้ ทั้งผลกระทบและประโยชน์ด้านต่างๆที่ จะมีต่อประเทศและของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ให้พิจารณาให้รอบคอบ และให้ไปเจรจาอย่างเต็มที่กับผู้ผลิตวัคซีนเพื่อให้ส่งวัคซีนให้กับประเทศไทย ในจำนวนวัคซีนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ระบาดของโรคภายในประเทศไว้ก่อน เมื่อได้ผลประการใดให้รายงานกลับมาที่ประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เพื่อให้ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบกับร่างประกาศนั้นต่อไป

ปิดอีก 3 โรงเรียนใน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

นายดำรง ปันทวัง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านจอมแจ้งมิตรภาพที่ 193 นายสาคร ชูเกียรติ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลแม่สะเรียง (บ้านโป่ง) นายเรืองศักดิ์ ขาวสะอาด ผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 33 (บ้านทุ่งพร้าว) ในเขตพื้นที่ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ออกประกาศ ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2564 ปิดโรงเรียนเนื่องด้วยเหตุพิเศษ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ตั้งแต่วันที่ 15 – 21 กรกฎาคม 2564

สำหรับโรงเรียนบ้านจอมแจ้งมิตรภาพที่ 193 ปิดเนื่องจากมีผู้ปกครองนักเรียนมีความใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) จากชุมชนบ้านทุ่งพร้าว หมู่ 4 ตำบลแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อดังกล่าว โรงเรียนจึงได้คำนึงถึงความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนที่อาจเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ได้

ส่วนที่โรงเรียนอนุบาลแม่สะเรียง (บ้านโป่ง ) และโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 33 (บ้านทุ่งพร้าว) พบว่ามีการเดินทางและเคลื่อนย้ายของราษฎรที่มีความเสี่ยงจากพื้นที่เสี่ยงสูงเข้าสู่ภูมิลำเนาและไม่มีการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด ประกอบกับโรงเรียน มีจำนวนนักเรียนไป-กลับ และพักนอนเป็นจำนวนมาก หากเกิดการติดเชื้ออาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสแบบกลุ่มก้อนภายในโรงเรียนอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น ทั้ง 3 โรงเรียนจึงขอประกาศปิดโรงเรียนตามวันและเวลาดังกล่าวข้างต้น พร้อมทั้งขอความร่วมมือคณะครู บุคลากร นักเรียน และผู้ปกครอง ปฏิบัติตามรายละเอียดดังนี้

1. ให้สังเกตอาการของตนเองตามประกาศการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) และปฏิบัติตนตามมาตรการการป้องกันอย่างเคร่งครัด หากมีภาวะหรืออาการบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ให้รีบแจ้งข้อมูลให้ครูประจำชั้น เจ้าหน้าที่ อสม. รพ.สต. โรงพยาบาล ที่ใกล้เคียงโดยทันที

2. ให้นักเรียนทุกคนหยุดมาโรงเรียนและเรียนอยู่ที่บ้านในช่วงระหว่างวันที่ 15 – 21 กรกฎาคม 2564 รวมระยะเวลา 7 วัน โดยให้ครูประจำชั้นประสานงานในการแจ้งทำความเข้าใจกับนักเรียนและผู้ปกครองให้รับทราบ

3. โรงเรียนบ้านจอมแจ้งมิตรภาพที่ 193 ไม่อนุญาตให้นักเรียนประจำพักนอน กลับภูมิลำเนาของตนเอง

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15-21 กรกฎาคม 2564 ทางโรงเรียนจะประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง หากมีการเปลี่ยนแปลงประการใด โรงเรียนจะแจ้งให้ทราบโดยเร็วที่สุด

Cr.https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG210714143009960

เร่ง! ฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสทีมด่านหน้า

การระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดจากสายพันธุ์เดลต้า เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ เกิดความปลอดภัยมากขึ้น จึงต้องได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีกครั้ง

สำหรับการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Booster dose) นั้น บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบแล้ว มากกว่า 3 เดือน จึงควรได้รับวัคซีนกระตุ้นทันที ภายในเดือน ก.ค. นี้

รัฐบาลคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าเป็นสำคัญ และจะธำรงรักษาระบบบริการสาธารณสุขของประเทศไทยไว้ให้มั่นคง

สร้าง รพ.สนาม 2,000 เตียง ที่ดอนเมือง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สร้าง รพ.สนาม 2,000 เตียง ที่อาคารคลังสินค้า 4 สนามบินดอนเมือง รับผู้ป่วยโควิดเขียว

#กองทัพอากาศ #กรมธนารักษ์ ร่วมกับการท่าอากาศยานดอนเมือง มอบพื้นที่ราชพัสดุ อาคารคลังสินค้า 4 #สนามบินดอนเมือง สร้าง #โรงพยาบาลสนาม พลังแผ่นดิน 3 เป็นโรงพยาบาลสนามระดับ 1 รองรับผู้ป่วย #โควิด19 ที่มีอาการไม่รุนแรง (สีเขียว) ได้ 2,000 เตียง ดูแลโดย #โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ

ปัจจุบันอาคารหลังนี้ เป็นอาคารที่ไม่ได้ใช้งาน มีขนาดพื้นที่ประมาณ 13,000 ตารางเมตร ตัวอาคารเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ตั้งอยู่ห่างจากอาคารผู้โดยสารหลัก (อาคาร 1 และอาคาร 2) ประมาณ 2.5 กม. ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารและชุมชนโดยรอบ

เมื่อปรับเป็นพื้นที่เป็นโรงพยาบาลสนามแล้ว จะเพิ่มระบบการรักษาความปลอดภัย กำหนดเส้นทางการเข้า-ออก ทั้งเส้นทางที่ปลอดเชื้อ และเส้นทางกรณีฉุกเฉิน รวมถึงระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบระบายอากาศ การกำจัดสิ่งปฏิกูล ซึ่งก่อนการเปิดให้บริการจะต้องได้รับการตรวจและรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานสาธารณสุขและกรุงเทพมหานคร

Cr.เฟซบุ๊ค รัชดา-ธนาดิเรก

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลับมาทะลุ 9,000 ราย

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันพุธที่ 14 กรกฎาคม 2564 รวม 9,317 ราย จำแนกเป็น ผู้ติดเชื้อใหม่ 9,188 ราย ผู้ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 129 ราย ผู้ป่วยสะสม 334,166 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้หายป่วยกลับบ้าน 5,129 ราย ผู้หายป่วยสะสม 233,158 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) และผู้เสียชีวิต 87 ราย ติดตามรายละเอียดได้ในการแถลงข่าว เวลา 12.30 น.