แนะลงทุน ETF หุ้นกลุ่มวัคซีนและสุขภาพ เมกะเทรนด์โลกทรงพลัง

จิตตะ เวลธ์ ชี้การระบาดของโควิด-19 ยืดเยื้อ กระตุ้นกระแสความต้องการวัคซีนพุ่งแรง แนะลงทุนใน ETF ธุรกิจสุขภาพ และจีโนมิกส์ กลุ่มเมกะเทรนด์โลกทรงพลัง ผ่าน 2 กองทุน ETF ที่มาพร้อมกับผลตอบแทน 1 ปี 38% และ 21% ด้าน ‘ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์’ ซีอีโอ จิตตะ เวลธ์ ย้ำ การลงทุนใน ETF กลุ่มวัคซีนนี้ เป็นโอกาสครั้งสำคัญ ที่จะเสริมทัพพอร์ตลงทุนให้แข็งแกร่ง ล้อไปกับเมกะเทรนด์โลก

นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (บลจ.) สตาร์ทอัพรายแรกของไทยที่ได้รับอนุญาตบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคล จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้ให้บริการกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ และมีการกลายพันธ์ุของไวรัส ทำให้หลายประเทศทั่วโลกต่างเร่งแสวงหาวัคซีนที่จะมาช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันไวรัสที่กลายพันธ์ุจำนวนมากขึ้น จึงเป็นแรงส่งให้บรรดาบริษัทที่ทำวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีน รวมถึงพัฒนาระบบพันธุกรรมของมนุษย์และสัตว์ที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อโรคภัยไข้เจ็บ การรักษาและการคิดค้นตัวยาและวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะวัคซีนโควิด-19 รวมถึงอนาคตที่ต้องรับมือการผลิตวัคซีนที่เกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้น และเครื่องมือทางการแพทย์อื่นๆ ที่จะมาปฏิวัติการแพทย์ทั่วโลกนั้น ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ธุรกิจแข็งแกร่งยาวอย่างต่อเนื่อง  ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกแห่เข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก เช่น หุ้นของบริษัท Moderna บริษัท Pfizer บริษัท Merck และ บริษัท BioNTech

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงด้วยต้นทุนที่ต่ำ บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด จึงแนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจวัคซีนและสุขภาพที่จะมาปฏิวัติแวดวงการแพทย์ทั่วโลก ผ่าน ETF (Exchange Traded Fund) ที่ได้คัดสรรมาให้แล้ว นั่นคือ iShares Genomics Immunology and Healthcare ETF (IDNA) และ iShares Global Healthcare ETF (IXJ)

โดย IDNA จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE) เป็น Passive Fund ที่อิงไปกับ 2 ดัชนี คือ NYSE FactSet Global Genomics และ Immuno Biopharma Index ลงทุนใน 58 บริษัทชั้นนำทั่วโลกที่ต่อยอดด้านจีโนมิกส์และภูมิคุ้มกันวิทยา มาพัฒนายา วัคซีน เครื่องมือทางการแพทย์ หรือนวัตกรรมการรักษาโรคร้ายแรงต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์ เช่น บริษัท Moderna  บริษัท Merck และ บริษัท BioNTech ที่เป็นกลุ่มบริษัทที่มาแรงมากในยุคโควิด-19  ซึ่งการลงทุนกระจายในหุ้นกลุ่มจีโนมิกส์จะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดผันผวนระยะสั้น และมีทนทานเหมาะสำหรับลงทุนในระยะยาวได้ดี ด้านผลตอบแทนของ IDNA นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 103.13% ผลตอบแทนในรอบ 1  ปีรวมปันผลอยู่ที่ 38.08% ในขณะที่ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที  19 ก.ค. 2564  (YTD) อยู่ที่ 6.23%

ส่วน IXJ นั้น อ้างอิงดัชนี S&P Global 1200 Health Care Index ที่เป็นตัวแทนของ 129 บริษัททั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่มีรากฐานธุรกิจแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ  ในธุรกิจเภสัชกรรม ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เทคโนโลยีชีวภาพและเครื่องมือการแพทย์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก เช่น บริษัท Johnson & Johnson บริษัท Pfizer บริษัท Roche Novartis บริษัท Abbott และ บริษัท UnitedHealth Group ที่เป็นบริษัทจัดการเกี่ยวกับระบบดูแลสุขภาพให้กับลูกค้าทั่วโลก มีผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 354.68% ผลตอบแทนในรอบ 1  ปี รวมปันผลอยู่ที่ 21.69% ในขณะที่ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที  19 ก.ค. 2564 (YTD) อยู่ที่ 9.85%

ทั้งนี้ บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด ได้เลือก IDNA เป็นตัวแทนของธีมจีโนมิกส์ (Genomics) และ IXJ เพื่อธุรกิจสุขภาพ (Healthcare) ในบริการกองทุนส่วนบุคคล Thematic ที่นักลงทุนสามารถเลือกจัดพอร์ตผสมกับธีมการลงทุนอื่นๆ ได้สูงสุด 5 ธีม ไม่ว่าจะเป็นพลังงานสะอาดจีน กัญชา เทคโนโลยีท่องเที่ยว อีคอมเมิร์ซ คลาวด์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอีกนับสิบธีม ซึ่งเน้นการลงทุนในเมกะเทรนด์โลกที่มีการเติบโตสูงในระยะยาว ผ่าน ETF สำหรับแต่ละกลุ่มธุรกิจ คัดสรรโดยเทคโนโลยีระดับโลก มีการจัดสัดส่วนพอร์ตเพื่อลดความผันผวน และดูแลปรับพอร์ตด้วยระบบระบบอัตโนมัติ (Automated Investing) ที่จะคอยดูแลปรับพอร์ตให้สัดส่วนสมดุลอยู่เสมอ โดยไม่ต้องบริหารจัดการด้วยตนเอง แต่ยังสามารถออกแบบพอร์ตให้เข้ากับความต้องการเฉพาะตัวได้ เพื่อให้พอร์ตทำกำไรได้ตามที่ต้องการในระยะยาว

“กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth – Thematic จีโนมิกส์และธุรกิจสุขภาพ คือโอกาสครั้งสำคัญ สำหรับนักลงทุนที่ไม่ควรพลาดในช่วงที่ความต้องการวัคซีนเพิ่มมากขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจในกลุ่มนี้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว โดยกองทุนส่วนบุคคล Thematic มีการบริหารและจัดพอร์ตอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีระดับโลก ทำให้นักลงทุนไม่พลาดการลงทุนในเมกะเทรนด์ที่ทรงพลัง ซึ่งจะเสริมทัพพอร์ตลงทุนในระยะยาว ให้แข็งแกร่ง อย่างสบายใจ” นายตราวุทธิ์ กล่าว 

สำหรับ กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth – Thematic เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง และต้องการลงทุนต่างประเทศโดยที่ไม่ต้องบริหารจัดการด้วยตนเอง แต่ยังสามารถออกแบบพอร์ตให้เข้ากับความต้องการเฉพาะตัวได้ โดยเจาะจงเลือกกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคตมาสร้างพอร์ต สามารถเลือกลงทุนได้สูงสุดถึง 5 ธีมต่อพอร์ต เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และทำกำไรได้ตามที่ต้องการในระยะยาว ขณะเดียวกันก็ยังควบคุมความผันผวน ด้วยการกระจายความเสี่ยงในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ให้มากที่สุด

กองทุนส่วนบุคคล Thematic ของ บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด เริ่มต้นลงทุนเพียง 100,000 บาท พร้อมค่าธรรมเนียมบริหารจัดการเพียง 0.5% ต่อปีเท่านั้น สามารถเพิ่มทุนได้ขั้นต่ำครั้งละ 10,000 บาท สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/2TscC8R หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  LINE @Jittawealth

ไลอ้อน มอบผลิตภัณฑ์ให้ รพ.ตากใบ ร่วมสู้โควิด-19

บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ร่วมกับร้านศรีสมัยซุปเปอร์สโตร์ มอบผลิตภัณฑ์เปา, โคโดโม และฟลอเร่ รวมมูลค่า 100,000 บาท ให้กับโรงพยาบาลตากใบ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นสิ่งของจำเป็นสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และใช้รองรับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 โดยมี นายวชิรวิชญ์ ศิริไชย (ที่ จากซ้าย) เจ้าของร้านศรีสมัยซุปเปอร์สโตร์ เป็นตัวแทนมอบ และมี นายแพทย์สมชาย ศรีสมบัณฑิต (ที่ จากขวา) ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลตากใบ เป็นผู้รับมอบ ณ โรงพยาบาลตากใบ จังหวัดนราธิวาส 

ยอดโควิด-19 วันนี้ ผู้ติดเชื้อเพิ่ม 13,655 ราย

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2564 รวม 13,655 ราย จำแนกเป็น ผู้ติดเชื้อใหม่ 13,110 ราย ผู้ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 545 ราย ผู้ป่วยสะสม 424,269 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้หายป่วยกลับบ้าน 7,921 ราย ผู้หายป่วยสะสม 284,951 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้เสียชีวิต 87 ราย

ยอดโควิด-19 วันนี้ ผู้ติดเชื้อทะลุ 13,000 ราย

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2564 รวม 13,002 ราย จำแนกเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 11,953 ราย ผู้ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 1,049 ราย ผู้ป่วยสะสม 410,614 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้หายป่วยกลับบ้าน 8,248 ราย ผู้หายป่วยสะสม 277,030 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้เสียชีวิต 108 ราย

สมุทรสาคร ล็อคดาวน์! ปิด 27 สถานที่เสี่ยง

คำสั่งจังหวัดสมุทรสาคร ฉบับที่ 70 มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

1. โรงเรียนและสถานศึกษา งดใช้สถานที่ เพื่อจัดการเรียนการสอน (งดเรียนที่โรงเรียน)
2. ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มกันเกิน 5 คน
3. ร้านอาหารเปิดได้ ตี 4 – 2 ทุ่ม (ห้ามทานในร้าน + ห้ามจำหน่ายแอลกอฮอล์ให้ทานในร้าน)
4. ห้าง ศูนย์การค้า เปิดได้เฉพาะแผนก ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา โดยเปิดได้ถึง 2 ทุ่ม
5. โรงแรมเปิดได้ตามปกติ งดการให้บริการประชุม สัมนา
6. ร้านสะดวกซื้อ เปิดได้ตี 4 – 2 ทุ่ม
7. ตลาดสด ตลาดนัด ตลาด เปิดได้ 6 ชั่วโมง (และต้องขออนุมัติเวลาต่อ อปท. ก่อน)
8. กิจการเกี่ยวกับการให้บริการทางการเงิน เปิดได้ภายใต้มาตรการ
9. กิจการเกี่ยวกับสินค้าอุปโภค บริโภค อาหารสัตว์ เครื่องมือช่าง สินค้าเบ็ตเตล็ด เปิดได้ภายใต้มาตรการ
10. โรงพยาบาล ร้านขายยา เปิดได้ภายใต้มาตรการ
11. บริการการสื่อสาร เปิดได้ภายใต้มาตรการ
12. บริการการขนส่ง เดลิเวอรี่ เปิดได้ภายใต้มาตรการ
13. บริการทางพลังงาน เช่น ก๊าซหุงต้ม เปิดได้ภายใต้มาตรการ
14. งดการเดินทางออกนอกเคหสถานที่ไม่จำเป็น
15. ขนส่งสาธารณะ รับผู้โดยสารได้ไม่เกิน 50% ของปกติ
16. ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานเข้า-ออกพื้นที่
17. ปิดไซต์ก่อสร้าง + แคมป์คนงาน
18. ปิด 27 สถานที่ให้บริการ (ตามข้อ 2 ในประกาศด้านล่าง)

มีผลตั้งแต่วันที่ 20/07/64 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง… ยกเว้นข้อ 15 มีผลตั้งแต่วันที่ 21/07/64 เป็นต้นไป

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจังหวัดสมุทรสาคร โทรศัพท์ : 0-3442-5075 Hotline : 62329

PTG มอบคูปองเติมน้ำมัน ร่วมสู้โควิด-19

นางวนิชยา ทองแนบ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หรือ สพฉ. ขอขอบคุณ นายฉลอง ติรไตรภูษิต (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ที่ได้มอบคูปองเติมน้ำมัน PT จำนวน 1,000 ใบ ใบละ 100 บาท รวมมูลค่า 100,000 บาท เพื่อสนับสนุนค่าเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะที่ปฏิบัติภารกิจ รับ-ส่ง ผู้ป่วยโควิด-19 ร่วมกับ สพฉ. ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉิน นำส่งผู้ป่วยโควิด-19 ที่รอเข้ารับการรักษาเป็นจำนวนมากต่อวันไปส่งโรงพยาบาล ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ศธ. ยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุมโควิดทุกพื้นที่

นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดังนี้

ข้อ 1 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ให้ดำเนินการ ดังนี้
1.1 ให้ผู้บริหารของหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายงานให้บุคลากรปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนให้ปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงาน โดยให้คำนึงถึงเป้าหมายการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์สูงสุดของการปฏิบัติงาน เพื่อให้บริการประชาชนเป็นสำคัญ และให้ใช้วิธีการอิเล็กทรอนิกส์ให้มากที่สุด เพื่อลดจำนวนและจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางของบุคลากร รวมทั้งจัดการอบรม สัมมนา หรือการประชุม โดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก เพื่อให้สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา
1.2 สำหรับเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงาน ที่ต้องเดินทางโดยวิธีการขนส่งสาธารณะ ให้ปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่ง และผู้บริหารของหน่วยงานสั่งให้เข้ามาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงาน โดยให้คำนึงถึงเป้าหมายการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์สูงสุดของการปฏิบัติงาน เพื่อให้บริการประชาชนเป็นสำคัญ

ข้อ 2 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่เฝ้าระวังสูง ให้ผู้บริหารของหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ ปรับการมอบหมายงานให้บุคลากรปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย ให้มากที่สุด เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ให้ผู้บริหารของหน่วยงานนั้นพิจารณาอนุญาตให้มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงานได้ โดยให้คำนึงถึงเป้าหมายการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์สูงสุดของการปฏิบัติงาน เพื่อให้บริการประชาชนเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

เตรียมเอกสารรับรองฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ก่อนเข้าขอนแก่น

พ.ต.อ.ธนาวัชร ดีบุญมี ณ ชุมแพ รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสาริกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สนธิกำลังร่วม ฝ่ายปกครอง อ.เมือง จ.ขอนแก่น และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทำการตั้งจุดตรวจตามมาตรการป้องกันโควิด-19 บริเวณริมถนนมิตรภาพ หน้าสวนสาธารณะประตูเมืองขอนแก่น เพื่อตรวจสอบเอกสารการเข้าเมืองโดยรถยนต์ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด

พ.ต.อ.ธนาวัชรกล่าวว่า การตั้งจุดตรวจจุดคัดกรองประชาชนที่เดินทางเข้าพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เป็นจุดตรวจเขตเมืองชั้นในที่จะเน้นการเรียกตรวจรถโดยสารสาธารณะและรถที่มีป้ายต่างจังหวัด หากเป็นประชาชนที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป จะมีรวม 13 จังหวัด คือฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร นครปฐม นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ปัตตานี ยะลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสงขลา จะต้องมีเอกสารรับรองว่าฉีดวัคซีนป้องกันโควิดครบ 2 เข็มแล้ว มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่

เนื่องจากจังหวัดขอนแก่นอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) ตำรวจภูธรภาค 4 และตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น จึงได้สั่งการให้ทุกโรงพัก ใช้มาตรการเข้มข้นดูแลพื้นที่ในจังหวัด ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง)

โดยจุดตรวจที่ทางตำรวจภูธรจังหวัด ขอนแก่นได้กำหนดไว้นั้น เป็นจุดตรวจคัดกรองเดิมบนถนนสายหลัก คือ จุดตรวจนาโน อ.บ้านไผ่ และจุดตรวจ อ.ชุมแพ ดังนั้นจุดตรวจที่ 3 ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อควบคุมพื้นที่เขตเมือง จะเน้นหนักตามมาตรการที่รัฐกำหนด รวมทั้งการให้คำแนะนำประชาชนที่ผ่านเข้ามาในพื้นที่ ตลอดจนการตรวจสอบประชาชนที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงที่จะเข้ามาในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น โดยทุกจุดตรวจ จะมีเจ้าหน้าที่ประจำตลอด24 ชม. เพื่อให้พื้นที่ของจังหวัดมีความปลอดภัยตามมาตรการฯ

ทีเอ็มบีธนชาต ส่งมาตรการพักชำระหนี้ 2 เดือน

ทีเอ็มบีธนชาต ส่งมาตรการพักชำระหนี้ 2 เดือน บรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ เริ่มลงทะเบียนวันที่ 19 ก.ค. –  15ส.ค. 64

กรุงเทพฯ 19 ก.ค. 2564 – ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) เดินหน้ามาตรการ “ตั้งหลัก” เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการเงินเพิ่มเติมแก่ลูกค้าทุกกลุ่มของธนาคาร ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยล่าสุด ธนาคารออกมาตรการพิเศษตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการยกระดับมาตรการป้องกันการควบคุมโรค ตามคำสั่งของ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โดยพักการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 2 เดือน ให้กับลูกค้าบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบุคคล สินเชื่อรถยนต์ ทีทีบีไดรฟ์ และลูกค้าสินเชื่อเอสเอ็มอี  ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ประกอบด้วย ลูกค้าที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการ ทั้งในพื้นที่ควบคุมฯ และนอกพื้นที่ควบคุมฯ ที่ต้องปิดกิจการจากมาตรการของทางการ และมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ สำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยอ้อม ซึ่งเป็นลูกค้าที่ยังเปิดกิจการได้ แต่รายได้ลดลงจากมาตรการควบคุมการระบาดของภาครัฐ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและช่วยให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นได้ในสถานการณ์วิกฤต โดยธนาคารมีแนวทางช่วยเหลือ ดังนี้

มาตรการสำหรับลูกค้าบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบุคคล ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรง สามารถพักชำระค่างวด ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย นาน 2 เดือน หลังจากได้รับการอนุมัติเข้าร่วมโครงการ โดยหลักเกณฑ์เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด และสำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยอ้อม ธนาคารจะมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยพิจารณาจากความเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เช่น การลดยอดผ่อนชำระเหลือ 70% ของยอดผ่อนชำระปกติ หรือ พักชำระเงินต้นโดยผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ย เป็นเวลา 6 เดือน หรือเปลี่ยนยอดคงค้างในบัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสด เป็นยอดผ่อนชำระ 48 เดือน เป็นต้น

มาตรการสำหรับลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ ทีทีบีไดรฟ์  โดยในกลุ่มรถยนต์ใหม่ รถยนต์ใช้แล้ว รถแลกเงิน และเล่มแลกเงิน (รถแลกเงินแบบลดต้นลดดอก) สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบรุนแรงหรือต้องปิดกิจการ หรือไม่สามารถให้บริการได้ ตามคำสั่งของ ศบค. ธนาคารจะมีมาตรการพิเศษ พักชำระค่างวดสูงสุดไม่เกิน 2 งวด สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ธนาคารจะพิจารณาตามความเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เช่น พักชำระค่างวด ลดค่างวด และขยายเวลาผ่อนชำระ เป็นต้น และในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยอ้อม ธนาคารจะพิจารณา ลดค่างวด หรือขยายเวลาผ่อนชำระ หรือมาตรการอื่น ๆ

นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าสินเชื่อเล่มแลกเงิน (รถแลกเงินแบบลดต้นลดดอก) ที่ได้รับผลกระทบ ธนาคารมีมาตรการให้พักชำระค่างวด หรือลดค่างวดผ่อนชำระสูงสุด 30% และคิดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 22% เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน

มาตรการสำหรับลูกค้าสินเชื่อเอสเอ็มอี ที่มีวงเงินกู้ระยะยาว วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี(O/D) และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน ธนาคารจะพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุด นาน 2 เดือน

ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การพิจารณาเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด ซึ่งธนาคารมีความห่วงใยลูกค้าทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ โดยพร้อมจะช่วยเหลือและยืนหยัดเคียงข้างไปกับลูกค้า เพื่อก้าวข้ามสถานการณ์โควิด-19 ไปด้วยกัน และสามารถต่อยอดสร้างชีวิตทางการเงินที่ดี ทั้งในวันนี้และอนาคต

ลูกค้าที่สนใจศึกษาข้อมูลมาตรการช่วยเหลือของธนาคารและต้องการสมัครเข้าร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม – 15สิงหาคม 2564 โดย

  • ลูกค้ารายย่อยลงทะเบียนผ่านโครงการ “ตั้งหลัก” ในเว็บไซต์www.ttbbank.com/tang-luk
  • ลูกค้าเอสเอ็มอี (นิติบุคคล) และลูกค้าธุรกิจ ลงทะเบียน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ เจ้าหน้าที่บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจ หรือ ศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจ ทีทีบี โทร. 0 2643 7000 กด 1 กด 2

อีเมล: [email protected] (ระบุข้อมูล: ชื่อบริษัท/เลขจดทะเบียนนิติบุคคล (13 หลัก)/ชื่อ-นามสกุลผู้ติดต่อ/เบอร์โทรศัพท์มือถือ)

  • ลูกค้าเอสเอ็มอี (บุคคลธรรมดา) ลงทะเบียน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ทีเอ็มบีธนชาต คอนแทค เซ็นเตอร์โทร. 1428 กด 3 กด 2

โมเดอร์นา วัคซีนทางเลือกที่หลายคนรอคอย

หลังจากรอมาเนิ่นนาน ประเทศไทยก็กำลังจะมีวัคซีนชนิด mRNA ฉีดกับเขาแล้ว ตามข่าวที่โรงพยาบาลเอกชนหลายเจ้าเริ่มเปิดจองวัคซีน ‘โมเดอร์นา’ (Moderna) ในฐานะของ ‘วัคซีนทางเลือก’ กันเมื่อช่วงที่ผ่านมา

ตามคำบอกเล่า เชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่สมควรรู้ว่าร่างกายรับวัคซีนยี่ห้ออะไรมาก็จริง แต่อย่างน้อยด้วยผลการศึกษาหลายๆ ฉบับ ล้วนชี้ไปทางเดียวกันว่าวัคซีนที่ผลิตต่างวิธี หรือวัคซีนคนละยี่ห้อ ต่างก็มีวิธีป้องกันรวมถึงกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นคงจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากเราจะทำความเข้าใจกระบวนการของ mRNA ให้ดี ก่อน(อาจจะ)ได้ฉีดจริงในอนาคต

วัคซีนทางเลือกที่กำลังจะเข้าไทย หรือวัคซีนโมเดอร์นา เป็นวัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี mRNA (Messenger Ribonucleic Acid) โดยมีวิธีจัดการกับเชื้อ อธิบายง่ายๆ คือการส่งโปรตีนสังเคราะห์ที่มีลักษณะเป็นหนามขนาดเล็กตามชื่อคือ mRNA เข้าสู่ร่างกาย จากนั้นเจ้าโปรตีนนี้จะไปกระตุ้นให้เซลล์ของมนุษย์เพิ่มจำนวนตัวมันเอง เพื่อไปก่อกวนระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้ภูมิคุ้มกันเรียนรู้จะกำจัดหนามดังกล่าวออกไป ซึ่งต่อไปเมื่อมีไวรัสหนามหรือเชื้อโควิด-19 เข้ามา ร่างกายก็จะจดจำและจัดการกับเชื้อไวรัสได้ดีขึ้นนั่นเอง

อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกถกกันมาก คือความใหม่ของเทคโนโลยี mRNA ที่หลายคนกังวลว่าอาจส่งผลข้างเคียงรุนแรงในอนาคต แต่จริงๆ mRNA ก็เป็นเทคโนโลยีที่ถูกคิดค้นและใช้งานมาร่วม 10 ปีแล้วในการใช้เพื่อหยุดยั้งเชื้ออีโบล่า หรือหากจะพูดถึงผลข้างเคียงอย่างเดียว วัคซีนโมเดอร์นาเองก็มีผลข้างเคียงคล้ายกับวัคซีนยี่ห้ออื่น คืออาการไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย ที่แย่หน่อยคืออาการเมื่อยล้าและเจ็บหน้าอกชนิดไม่รุนแรง ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณของภาวะอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่กรณีนี้ก็พบเพียง0.00126% หรือ 12.6 รายต่อวัคซีนหนึ่งล้านโดส ที่สำคัญส่วนใหญ่ที่เจอก็หายดีและใช้ชีวิตกันตามปกติแล้ว

ข้อดีที่เด่นชัดที่สุดของวัคซีน mRNA ก็คือความโดดเด่นในแง่ประสิทธิภาพที่สูงลิ่ว โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าวัคซีนโมเดอร์นา สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 94.1% และป้องกันการติดเชื้อได้ 86.4% สำหรับผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ทั้งยังลดความรุนแรงของโรคและลดโอกาสการเสียชีวิตจากโรคได้ถึง 100% แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือประสิทธิภาพในการป้องกันสายพันธุ์อันยุ่งเหยิงของไวรัสนี้ได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น สายพันธุ์อัลฟา (พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร), บีต้า (พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้), แกมมา (พบครั้งแรกในบราซิล) และเดลต้า (พบครั้งแรกในอินเดีย)

แน่นอนว่าประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้มากถึง 94.1% ย่อมส่งผลถึงความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หรือ Herd immunity ได้อย่างแน่นอน เห็นได้จากตัวอย่างไกลๆ ในประเทศเยอรมนี, สหรัฐอเมริกา,อิสราเอล หรือฮังการี ที่ผู้คนถอดแมสใช้ชีวิตแบบ Old Normal อย่างแพร่หลายแล้ว แต่ในประเทศไทยที่มีความคืบหน้าด้านวัคซีนที่ค่อนข้างช้า(จนถึงช้ามาก) อาจเกิดคำถามว่าวัคซีนที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้มากน้อยแค่ไหน หรืออาจเลยไปอีกคำถามหนึ่ง ว่าตนเองจะสามารถกลับลำมาฉีด mRNA เป็นเข็มที่ 3 ต่อจากวัคซีนที่เคยได้รับมาแล้ว ได้หรือไม่?

คำตอบสั้นๆ คือ ‘ฉีดได้’ แต่คำอธิบายค่อนข้างยาวเสียหน่อย คือการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเป็นเข็มที่ 3 นั้น อาจต้องมีระยะห่างที่เหมาะสมขึ้นกับว่าได้รับวัคซีนตัวไหนมา ในกรณีที่ฉีด แอสตร้าเซนเนกา มาครบ 2 โดส ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าร่างกายจะมีภูมิมากพอให้เว้นระยะรับเข็มที่ 3 ออกไปได้ราว 6-12 เดือน แต่ในอีกทางหนึ่งเมื่อประเทศกำลังรับมือกับสายพันธุ์เดลต้าที่มีความรุนแรงค่อนข้างมาก เราจึงมีลุ้นร่นระยะการรับ mRNA เป็นเข็ม 3 ได้เร็วขึ้น 1-2 เดือน เพื่อเร่งให้ภูมิสูงขึ้นพอจะรับมือกับสายพันธุ์เดลต้าได้ ส่วนในกรณีที่ผ่านการฉีด ซิโนแวค มานั้น ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดใดๆ มารับรอง ทางเลือกเดียวคือต้องเว้นระยะออกไป 3-6 เดือนก่อน แล้วรอข้อมูลทางวิชาการมารับรองในภายหลัง

ข้อสุดท้ายที่อยากบอกถึงโมเดอร์นาและ mRNA คือวัคซีนตัวเลือกนี้เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป (ต่ำกว่านี้ไม่แนะนำ) ส่วนใหญ่แล้วปลอดภัยกับคนทุกกลุ่ม ยกเว้น กลุ่มผู้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน, ผู้ป่วยติดเชื้อ HIVรวมถึงสตรีที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ ที่อาจต้องปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิดก่อนฉีด หรือหากเคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนหน้านี้ ก็จำเป็นต้องเว้นระยะหลังติดเชื้ออย่างน้อย 3-6 เดือนก่อนรับวัคซีน และแน่นอน ไม่ว่าเราจะอยู่ในเงื่อนไขใด การพิจารณาความเห็นจากแพทย์คือเรื่องสำคัญสุดเสมอ

ศึกษารายละเอียดวัคซีนโมเดอร์นาเพิ่มเติมก่อนฉีดจริงได้ที่ www.praram9.com/moderna-vaccine หรือจองวัคซีนทางเลือกโมเดอร์นา กับโรงพยาบาลพระรามเก้า ได้ทาง Line Official@Praram9hospital หรือ https://lin.ee/vR9xrQs หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1270