เปิดตัวกองทุน MCHEVO ชูลงทุน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมในจีน

ในวันที่ 2 สิงหาคม 2564 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC จัดงานสัมมนาในรูปแบบออนไลน์ เปิดตัว-แนะนำกองทุนเปิด MFC China Evolution Fund (กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไชน่า เอโวลูชั่น) หรือ MCHEVO ที่จะลงทุนใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนวิวัฒนาการของจีน ได้แก่ Consumption, Technology, Industrial, Clean Energy & Electric Vehicles และ Healthcare จีนเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วต่อเนื่องซึ่งกำลังได้รับการจับตามองจากทั่วโลก โดยกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวจะเติบโตรุดหน้าไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของประชากรจีนจำนวนกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน

โดย ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจีน อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความรู้เกี่ยวกับ “ปัจจัยจีน” China Factor สะท้อนความสำคัญของจีนที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจของโลกไม่ว่าจะขยับไปทางไหน ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งโมเดลใหม่จีนไม่ได้เน้นการเติบโตเพียงตัวเลขเศรษฐกิจ แต่เน้นความมั่นคง 3 ด้านคือ Health security, Food Security และ Energy Security  เป็นแต้มต่อของจีน  รวมทั้งนโยบายของภาครัฐที่ผลักดันให้สามารถพัฒนาต่อยอดด้านต่างๆได้ด้วยตัวเอง  ลดการพึ่งพาและนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อยืนบนขาตัวเองให้มากขึ้น ทางการจีนเข้ามาจัดระเบียบตลาดทุน เน้นตัดไฟแต่ต้นลม ไม่เช่นนั้นจะเกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจในระยะยาว เช่น การจัดระเบียบ รร.กวดวิชา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาและลดค่าใช้จ่ายพ่อแม่ผู้ปกครองจีนเพื่อจูงใจให้มีลูกคนที่สาม หวังให้ในอนาคตประชากรจีนมีสัดส่วนคนวัยหนุ่มสาวสมดุลกับคนสูงวัยมากขึ้น รวมไปถึงการจัดการ Ant Financial ที่ปล่อยกู้ง่ายผ่าน Fin Tech แต่สร้างปัญหาหนี้ครัวเรือนที่จะกระทบกับระบบการเงินจีน เมื่อจีนพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศได้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว จะเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ทำให้ตลาดสหรัฐมีความสำคัญลดลงและจีนกลายเป็นตลาดหลักของโลกต่อไป

นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ Head of Investment Strategy บลจ.เอ็มเอฟซี เผยว่า MCHEVO มีจุดเด่น 3 จุดใหญ่ คือ 1) ลงทุนใน 5  ธีมการลงทุน ที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ในการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจจีน การเติบโตจีนสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก ธีม Consumption เป็นจุดขายหลักของจีน รายได้ของชนชั้นกลางยังคงเติบโตต่อเนื่อง ตลาดการบริโภคของจีนจะโตเป็นประมาณ 55-60% ของ GDP ในปี 2030, ธีม Technology จีนจะกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับแอพพลิเคชั่น 5G ทั่วโลก, ส่งผลให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีการเติบโตต่อเนื่อง จีนยังคงสนับสนุนด้าน AI, big data และ digital, ธีมIndustrial ที่สืบเนื่องมาจากเทคโนโลยี 5G นำมาสู่การใช้ robot, automation และ AI เพื่อมาเป็นเครื่องทุ่นแรงในขณะที่มี productivity เพิ่มมากขึ้น, ธีม Clean Energy มุ่งเน้นพลังงานสะอาด จีนมียอดขายรถ EV มากสุดในโลกและกำลังการผลิตพลังงานสะอาดสูงที่สุดในโลก ธีม Healthcare มีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากจำนวนผู้สูงอายุของจีนที่มากขึ้น เม็ดเงินลงทุนในกลุ่ม Healthcare ของจีนยังไม่สูงเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ 2) Active Funds เลือกกองทุนหลักที่บริหารเชิงรุก เลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้มากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เพื่อเปิดโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 3) All market cap ลงทุนในหุ้นเล็กกลางใหญ่เพื่อกระจายและลดระดับความเสี่ยงให้ใกล้เคียงกับตลาด แต่สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว ลงทุนในหุ้นตลาดเล็ก ตลาดกลาง ตลาดใหญ่ ครอบคลุมทุกการลงทุนในจีน (H-share, A-share, US ADR)

การลงทุนเด่นด้วยผ่านการลงทุนใน 2 กองทุนหลักคือ Global X China Innovator Active ETF เชี่ยวชาญด้านหุ้นตลาดกลางถึงใหญ่ รองรับ 5 ธีม, มีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในหุ้นจีนมาก (Phil S. Lee) ดูแลกองทุนที่ได้ morning star 5 ดาว ผู้จัดการกองทุนได้รับการจัดอันดับ AAA โดย Citywire และ T. Rowe Price China Evolution Equity Fund เชี่ยวชาญด้านหุ้นเล็กถึงกลาง, ผู้จัดการกองทุน Wenli Zheng มี track record ที่ยอดเยี่ยม, ร่วมงานกับ T.RowePrice ตั้งแต่ปี 2008, มีความสามารถในการทำ stock selection, bottom up เพื่อหาหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตสูงที่ตลาดมองข้าม

โดยการที่ MCHEVO ลงทุนผสมผสานสองกองทุน เป็นข้อดีเพราะจะทำให้ครอบคลุมการลงทุนในหุ้นที่มีขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ กระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสเปิดรับทุกๆ Market cap บริษัทจดทะเบียนเล็กถึงใหญ่ ไม่พลาดโอกาสในการลงทุนครอบคลุมหุ้นจีนทุกประเภท ทุกตลาด ทั้งสองกองทุนเป็นการลงทุนที่ Active ทั้งคู่ ซึ่งอัตราการเติบโตในหุ้นจีนยังคงสูงที่สุดในโลก, ปัจจัยเสี่ยงเรื่องรัฐบาลจีนมองเป็นปัจจัยในระยะสั้น, ปัจจุบัน valuation ปรับฐานลงมาที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ไม่แพงและเหมาะแก่การลงทุน, หุ้นจีนปรับฐานลงทั้งๆที่ พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน และ earning growth ยังดีอยู่จึงเหมาะแก่นักลงทุนที่ไม่ควรพลาดโอกาสในการลงทุนและได้ผลตอบแทนที่ดีสำหรับการลงทุนในระยะยาวที่จะเติบโตไปพร้อมกับจีน

นอกจากนี้ นายชาญวุฒิ รุ่งแสงมนูญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และผู้จัดการกองทุน บลจ.เอ็มเอฟซี ให้ข้อมูลของกองทุนหลักด้านกระบวนการลงทุน Global X ใช้มุมมองมหภาคในการคัดเลือกธีมการลงทุน (top down) ผสมกับการคัดเลือกหุ้น (bottom up) จากปัจจัยพื้นฐาน ทั้งเชิงคุณภาพและ ปริมาณ ส่วน T Rowe Price มีกระบวนการลงทุนออกแบบมาเพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด โดยไม่อิงกับดัชนี โดยคัดเลือกหุ้นที่ศักยภาพ โดดเด่น เน้นหุ้นที่ปัจจัยสนับสนุนให้สามารถเติบโตสูงและต่อเนื่อง ที่เรียกว่า “Compounder “ พร้อมเสริมด้วยหุ้นที่อยู่ในช่วงเติบโตก้าวกระโดด “Nonlinear Grower” ของวัฎจักรการลงทุน และหุ้นมีเผชิญเหตุการณ์เฉพาะทำให้ราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน “Mispricing” หรือเป็นหุ้นมีปัจจัยเปลี่ยนแปลง หนุนมีโอกาสฟื้นตัว ทั้งสองกองทุนมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี โดยควบคุมสัดส่วนการลงทุนไม่ให้เปิดเผยต่อความเสี่ยงเฉพาะที่สูงเกินไป มีการจายความเสี่ยงที่เหมาะสม และ ทำให้พอร์ตลงทุนโดยรวมที่ประกอบด้วยหุ้นประมาณ 80 ตัว มีความผันผวนใกล้เคียงกับดัชนีหุ้นจีนเช่น MSCI All China พร้อมทั้งแสดงการปรับพอร์ตลงทุนเชิงรุกและยกตัวอย่างหุ้นที่ลงทุน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้ MCHEVO เหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นที่กองทุนรวมไปลงทุน และผู้ที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนตามดัชนีหุ้นจีนทั่วไป เป็นกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ ประเภท Fund of Funds เงินทุนโครงการ 3,000 ล้านบาท ไม่กำหนดอายุโครงการ ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ความเสี่ยงของกองทุนระดับ 6 สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท ซื้อขายได้ทุกวันทำการ และจะเริ่มเปิดซื้อขายระหว่างวันที่ 2 – 10 ส.ค. 2564

ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง หรือหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และหรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร.0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร.043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร. 0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324 – 25 หรือที่ www.mfcfund.com

MFC แนะลงทุนในกองทุนเปิด M-MIDSMALL

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ผู้บริหารจัดการกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี มิด สมอล แค็ป หรือ M-MIDSMALL’ ที่เน้นการลงทุนในตราสารแห่งทุนของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้การบริหารแบบ Active Management ทำให้ ‘M-MIDSMALL’  สร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น นับตั้งแต่ต้นปี 2564  (YTD 2564)  กองทุน M-MIDSMALL ทำผลตอบแทนอยู่ที่ +37.88%  ส่วนดัชนีเปรียบเทียบ SET TRI ผลตอบแทนอยู่ที่ 11.12% และ M-MIDSMALL ยังได้รับ Morningstar Rating Overall  ที่ 5 ดาว  (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2564)

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เผยว่า ปัจจัยที่ทำให้กองทุน M-MIDSMALL น่าลงทุนในช่วงนี้ มาจากการที่ สศช. คาดการณ์ GDP ไทยปี 2564 เติบโตที่ 1.5 – 2.5% (โดยไตรมาส 1/2564 GDP ติดลบไป 2.6%) อย่างไรก็ตาม การกระจายวัคซีนในประเทศที่จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือน มิ.ย. 64 เป็นต้นไป จะสามารถช่วยให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ในประเทศได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2565 โดยการเร่งฉีดวัคซีนในประเทศนั้นจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทาง MFC จึงมีมุมมองว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2564 นี้จะปรับตัวขึ้นแบบ sideway up ตอบรับการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทยและการเปิดประเทศทั่วโลก โดยการที่ภาวะตลาดรวมปรับตัวขึ้นนั้น จึงคาดการณ์ว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กจะปรับตัวขึ้นได้ดีสอดคล้องเช่นกัน

โดยผู้จัดการกองทุน M-MIDSMALL มีกลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอโดยเน้นหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีปัจจัยสนับสนุน (catalyst) เฉพาะตัว ซึ่งแม้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศ โดยกำไรของหุ้นเหล่านี้ก็จะยังสามารถเติบโตได้ดี และราคาหุ้นมีความแข็งแกร่งแม้ในช่วงตลาดปรับฐาน ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจส่งออกและการขนส่งระหว่างประเทศ ยอดการส่งออกสินค้าในไตรมาส 1/2564 ได้ฟื้นตัวกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส ที่ 5.3% แม้ว่าจะยังมีการระบาดในประเทศ รวมถึงหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการปลดล็อคพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงตัวใหม่อย่างกัญชง และหุ้นกลุ่มการเงินที่ประกอบธุรกิจบริหารหนี้เสียและทวงหนี้ จากปริมาณหนี้เสียและหนี้พักชำระในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทางธนาคารพาณิชย์จึงต้องทยอยขายหนี้ออกมาปริมาณมากซึ่งจะช่วยให้หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้เสีย สามารถมีกำไรและเติบโตได้ดี

ด้วยประสบการณ์และกลยุทธ์ในการบริหารกองทุนที่แม่นยำของ MFC ผู้จัดการกองทุน เล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโต และความเหมาะสมของการเข้าลงทุน MFC ประกาศเพิ่มชนิดหน่วยลงทุนอีก 3 ชนิด คือ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไปที่ไม่รับเงินปันผล (M-MIDSMALL-A), ชนิดเพื่อการออม (M-MIDSMALL-SSF) และชนิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (M-MIDSMALL-PVD)  เพื่อเพิ่มโอกาสและทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนที่สนใจการลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและเล็กในตลาดหุ้นไทยและ MAI ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มการเติบโตสูงในระยะปานกลางและระยะยาว

โดย M-MIDSMALL มีหน่วยลงทุนชนิดใหม่ที่โดดเด่นถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการลดหย่อนภาษี โดยเพิ่มชนิดหน่วยลงทุนเพื่อการออม หรือ “M-MIDSMALL SSF” เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก นอกจากลงทุนเพื่อคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ยังได้รับผลประโยชน์ทางด้านภาษีด้วย (M-MIDSMALL-SSF เป็นชนิดหน่วยลงทุนที่เพิ่งเปิดเสนอขายใหม่ ดังนั้นผู้ลงทุนสามารถอ้างอิงข้อมูลของหน่วยลงทุนชิด M-MIDSMALL-D ได้)

ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนชนิดผู้ลงทุนทั่วไปที่ไม่รับเงินปันผล (M-MIDSMALL-A), ชนิดเพื่อการออม (M-MIDSMALL-SSF) และชนิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (M-MIDSMALL-PVD) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564  สำหรับท่านผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุน M-MIDSMALL ก่อนหน้าการเพิ่มชนิดหน่วยลงทุน หน่วยลงทุนของท่านจะอยู่ในหน่วยลงทุนชนิดผู้ลงทุนทั่วไปที่รับเงินปันผล (M-MIDSMALL-D)

กองทุนเปิด M-MIDSMALL เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและเล็กคาดหวังผลตอบแทนที่ดี และสามารถยอมรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 1,000 บาท  ในการสั่งซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป โดยซื้อขายได้ทุกวันทำการ ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง หรือหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร.0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร.043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร. 0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324 – 25 หรือที่ www.mfcfund.com