มอบทุนวิจัยพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ – เทคโนโลยีอัจฉริยะนำสู่ Smart City

เอแอลที ร่วมมือ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดทำโครงการร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะ หรือ Smart Technology ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบของสภาพแวดล้อมและอาคารอัจฉริยะพร้อมมอบทุนงานวิจัย นวัตกรรม Smart City เพื่อนำไปต่อยอดประยุกต์ใช้ได้จริงในระดับชุมชน สู่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะในอนาคต

นายปริญญ์ ชากฤษณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Technology) เพื่อศึกษาวิจัยและพัฒนาพื้นที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และผังเมือง ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบของสภาพแวดล้อมและอาคารอัจฉริยะ

โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อร่วมกันจัดหาและสนับสนุนทรัพยากร สำหรับใช้ในการดำเนินงานด้านวิชาการและงานวิจัย แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีเสริมสร้างความรู้ ข้อมูลทางวิชาการ จัดฝึกอบรมและสัมมนา รวมทั้งร่วมกันพัฒนาและดำเนินงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ โดยครอบคลุม ในด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ หรือ Smart Environment ขนส่งอัจฉริยะ หรือ Smart Mobility และพลังงานอัจฉริยะ หรือ Smart Energy

สำหรับความร่วมมือ ในครั้งนี้จะสร้างสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมกับการศึกษาวิจัย การเรียนรู้ให้กับนักศึกษา นักวิชาการ ควบคู่และผสมผสานกับการปฏิบัติจริงและสามารถนำการออกแบบและเทคโนโลยี พัฒนาต่อยอดไปในด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีและพาณิชยกรรม เพื่อการพัฒนารูปแบบเมืองอัจฉริยะต่อไปในอนาคต

“ขณะนี้บริษัท ได้ร่วมกับคณะฯ คัดเลือกงานวิจัยที่คิดค้นนวัตกรรม ที่เกี่ยวกับงานวิจัย Smart City หลังจากนั้นบริษัทจะนำงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดควบคู่ไปกับงานด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของบริษัท เพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน” นายปริญญ์กล่าว

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาสาฬห์ สุวรรณฤทธิ์ คณะบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การร่วมมือกับ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) จัดทำโครงการร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Technology) โดย ALT ให้การสนับสนุนระบบ Modular Data Center ที่ ALT พัฒนาขึ้นมา พร้อมระบบติดตั้งอุปกรณ์ และข้อมูลองค์ความรู้ ด้านนวัตกรรม โทรคมนาคมและโครงข่ายการสื่อสารอัจฉริยะซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินแล้วเสร็จ และพร้อมใช้งาน

นอกจากนี้ยังร่วมกันสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะโดยให้ทุนสนับสนุนงานวิจัย 3 ทีม ภายใต้ 3 หัวข้อคือ Smart Environment ขนส่งอัจฉริยะ หรือ Smart Mobility และพลังงานอัจฉริยะ หรือ Smart Energy งานวิจัยที่เข้าเกณฑ์ในการพิจารณาต้องเป็นโครงการมีผลลัพธ์ ที่มีผลกระทบที่เกิดประโยชน์ในวงกว้าง มีความเป็นไปได้ทางด้านเทคนิค การใช้เทคโนโลยี และการปฏิบัติ รวมทั้งความเป็นไปได้ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และต่อยอดผลงานสู่การนำไปใช้ได้จริง

“เป้าหมายงานวิจัยอยากได้ต้นแบบของ Innovation ที่สร้าง Impact ได้ในอนาคต ในระดับอาคาร ชุมชน ย่าน หรือเมือง งานวิจัยทั้ง 3 หัวข้อ อาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ หรือ Innovation เชิงระบบและการบริการ มีความต้องการใช้งานในสถานการณ์จริง เป็นนวัตกรรมที่สามารถ Scalable ได้ สามารถนำงานวิจัยไปพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้ได้ในเชิงธุรกิจ ตอบสนองเป้าหมายในการ Smart City ของ ALT และภาครัฐในอนาคต” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาสาฬห์ กล่าว

 

 

 

ALT ชู 4 เทรนด์ธุรกิจด้านโทรคมนาคมช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ

ALT เปิด 4 เทรนด์ธุรกิจมาแรงกลุ่มโทรคมนาคมและพร้อมเป็นผู้นำเทรนด์ทั้ง 4 “พลังงานอัจฉริยะ – เมืองอัจฉริยะ – แพลตฟอร์มอัจฉริยะ – โครงข่ายครบวงจร” ชี้เป็นเมกะ เทรนด์ของโลกธุรกิจสมัยใหม่ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนการทำงานขององค์กรทั้งรัฐและภาคเอกชน เพื่อยกระดับการบริการด้วยระบบดิจิทัล ช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุด ลดต้นทุน พร้อมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน)หรือ ALT เปิดเผยว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ ALT Group จะเน้นการให้บริการที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนให้มีความคล่องตัว ยกระดับการให้บริการด้วยระบบดิจิทัล ช่วยลดต้นทุน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมองว่าเทรนด์ธุรกิจด้านโทรคมนาคมที่กำลังมาแรงในขณะนี้ ประกอบด้วย

  1. เทรนด์ด้านพลังงานอัจฉริยะ
  2. เมืองอัจฉริยะ
  3. แพลตฟอร์มอัจฉริยะ
  4. โครงข่ายครบวงจร

โดยในส่วน เทรนด์ที่ 1 เทรนด์ด้านพลังงานอัจฉริยะ เป็นการประยุกต์ใช้พลังงานสีเขียวและนำเทคโนโลยีมาบริหารจัดการพลังงาน พลังงานทดแทนและบริหารการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดรวมไปถึงการอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชน โดยใช้เทคโนโลยีด้านพลังงานใหม่ เช่น Smart Grid ซึ่งเป็นโครงข่ายไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาบริหารจัดการ ควบคุมการผลิต ส่ง และจ่ายพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งให้บริการกับผู้เชื่อมต่อกับโครงข่ายผ่านมิเตอร์อัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Smart Meter หรือมิเตอร์อัจฉริยะมิเตอร์ เครื่องวัดพลังงานไฟฟ้าชนิดใหม่ที่ถูกพัฒนามาเพื่อแทนที่มิเตอร์แบบเดิมที่มีอยู่ (แบบจานหมุน) เพื่ออำนวยความสะดวก โดยไม่จำเป็นต้องส่งพนักงานมาอ่านค่าหน่วยไฟฟ้าและผู้ใช้ไฟฟ้าก็สามารถอ่านหรือคำนวณค่าใช้จ่ายของการใช้พลังงานได้เอง และประโยชน์ที่เด่นชัดคือ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมิเตอร์อัจฉริยะจะสามารถแจ้งเหตุ ไปยังส่วนกลางทันที ดังนั้นจึงตรวจสอบหาจุดที่เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้ระบบทำงานผิดพลาดได้ไวกว่าเดิม ลดการเกิดความเสียหายและสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชน

พลังงานเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าแหล่งผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ โดยกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จาก Solar Cell นั้น จะเป็นไฟฟ้ากระแสตรง ผ่านตัวแปลงซึ่งเราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันที อนาคตสามารถเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่เพื่อใช้งานภายหลัง เป็นแหล่งพลังงานสะอาดและไม่สร้างมลภาวะแก่สิ่งแวดล้อมและไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Co2) เหมือนกับแหล่งพลังงานอื่นๆ

สถานีชาร์จไฟฟ้า ทำหน้าที่เป็นตัวชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้กับแบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า โดยสามารถแบ่งการชาร์จออกเป็น 2 ประเภท คือ Normal Charge และ Quick Charge

สำหรับ เทรนด์ที่ 2 เมืองอัจฉริยะ เป็นการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติ เพื่อแก้ปัญหาในด้านต่างๆ ของเมือง รวมทั้งมีความแม่นยำสูง เช่น การเดินทางและการขนส่งอัจฉริยะ การใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย และสิ่งแวดล้อมที่จะสร้างความปลอดภัย ให้แก่ประชาชนในชีวิตประจำวัน

ส่วน เทรนด์ที่ 3 แพลตฟอร์มอัจฉริยะ การสร้างแพลตฟอร์มในด้านต่างๆ ที่สามารถรองรับและอำนวยความสะดวกแก่ผู้รับบริการ ให้มีความยืดหยุ่นและหลากหลายเข้ากับสถานการณ์ สามารถปรับเปลี่ยนโซลูชั่นได้ตามความต้องการ ซึ่งจะผลักดันระบบต่างๆให้เป็นดิจิทัลสามารถใช้ในทุกๆ อุตสาหกรรม เช่น การคมนาคมขนส่ง การประกันภัย และอื่นๆเป็นต้น

เทรนด์ที่ 4 โครงข่ายแบบครบวงจร พัฒนาและขยายธุรกิจครอบคลุมด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าโดยนำโครงสร้างพื้นฐานที่ ALT มีในปัจจุบัน มาพัฒนาและต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดครอบคลุม ในทุกพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะบริเวณ EEC ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับ Operators ต่างๆ และยังเป็นการลดความซ้ำซ้อนในการลงทุน

“เทรนด์ธุรกิจทั้ง 4 กลุ่มที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ ALT Group มีส่วนช่วยให้องค์กรทั้งรัฐและภาคเอกชน สามารถยกระดับการให้บริการ และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดตามความต้องการของผู้รับบริการ เพราะในอนาคตเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในทุกๆ อุตสาหกรรม ทุกโครงการของ ALT จะมีบทบาทช่วยอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย” นางปรีญาภรณ์ กล่าว

ALT เปิดแผนรุกธุรกิจขาย – ติดตั้ง – ลงทุนโซลาร์รูฟท็อป

เอแอลทีเปิดแผนรุกธุรกิจจำหน่ายและติดตั้ง โซล่าร์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) ครบวงจร  เน้นให้บริการ ภาครัฐและผู้ประกอบการโรงงานขนาดกลาง ที่มียอดใช้ไฟฟ้าต่อเดือน 25,000 หน่วย หรือมีค่าไฟเฉลี่ย 1 แสนบาท/เดือนขึ้นไป โดยใช้เทคโนโลยี – นวัตกรรม มาช่วยบริหาร จัดการพลังงานอย่างชาญฉลาด ช่วยลดต้นทุนการใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 15%  รวมทั้งยัง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม​  ตามแนวคิด Smart Energy

นางสาวปรียาพรรณ ภูวกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ว่า  จะหันมารุกธุรกิจการให้บริการจัดจำหน่ายและติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา หรือ  Solar Rooftop  ให้กับภาครัฐและผู้ประกอบการโรงงานขนาดกลาง เพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ

ทั้งนี้ การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป หรือการใช้พลังงานที่มาจากแสงอาทิตย์ ทำให้ลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งภายนอก มีการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่ได้จากธรรมชาติมากขึ้น มีระบบโครงข่ายอัจฉริยะเพื่อการบริหารจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ  โดยใช้มิเตอร์อัจฉริยะ ระบบไมโครกริด ทั้งนี้แนวคิด Smart Energy ถือเป็นส่วนสำคัญของ เมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City  ที่ใช้ประโยชน์จากการนำนวัตกรรมที่ทันสมัยและ เทคโนโลยีที่ชาญฉลาด มาทำงานร่วมกับระบบสื่อสารโทรคมนาคมประสิทธิภาพสูงที่ ALT มีความเชี่ยวชาญ จึงทำให้การออกแบบ และบริหารจัดการ ระบบ Smart City มีความคุ้มค่า เกิดประโยชน์ และประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน

การให้บริการดังกล่าว เป็นการร่วมมือของ 3 บริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท อินโนว่า เทเลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (INN) ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายแผง Q CELLS  แผงโซล่าเซลล์ชั้นนำของโลก บริษัท กรุ๊ป เทค โซลูชั่นส์ จำกัด (GTS) ผู้ให้บริการติดตั้ง และดูแลรักษา ระบบโซล่าเซลล์ และ ALT ผู้ลงทุนในรูปแบบ Private PPA (Private Power Purchase Agreement)

ทั้งนี้ Private PPA (Private Power Purchase Agreement) คือ ข้อตกลงการซื้อขายพลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตได้จาก Solar Rooftop ที่ติดตั้งบนหลังคาโรงงาน หรืออาคารของผู้ประกอบการธุรกิจ   โดยผู้ประกอบการฯไม่ต้องลงทุนแต่อย่างใด

โดยรูปแบบ Private PPA (Private Power Purchase Agreement)  นี้  ALT จะเป็นผู้ลงทุนในอุปกรณ์  การติดตั้ง รวมถึงดูแลรักษาระบบให้ทั้งหมด  ซึ่งผู้ประกอบการจ่ายค่าไฟฟ้า (ที่ผลิตจากแผงโซลาร์) รายเดือนตามระยะสัญญา 15 ปี โดยอัตราค่าไฟฟ้าจะลดลงกว่า 15% และมั่นใจได้ว่าอำนาจในการผลิตไฟฟ้าที่ใช้งานเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นพลังงานสะอาด และดีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นการใช้พลังงานอัจฉริยะ โดยผู้ประกอบการฯ ไม่ต้องลงทุนแต่อย่างใด