กำธร วังอุดม ประธานกรรมการ (กลาง) , วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซ้าย) ,สุกัญญา โภคะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บัญชีและการเงิน (ขวา) พร้อมด้วยคณะกรรมการ บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-EGM) โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ อนุมัติการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ด้วยมูลค่าลงทุน 500 ล้านบาท ประเมินอัตราผลตอบแทน( IRR) เบื้องต้นระดับ 10% และจะทำให้รับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าทันที โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องประชุมของบริษัทฯ
ป้ายกำกับ: เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น
SSP เพิ่มทุนขาย PP 50 ล้านหุ้น ต่อยอดธุรกิจโรงไฟฟ้า
บอร์ด SSP อนุมัติขายหุ้นเพิ่มทุนแบบพีพี จำนวน 50 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.93% ราคาหุ้นละ12.10 บาท มูลค่ารวม 605 ล้านบาท จัดสรรให้กับ นายพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี และยูโอบีเคย์เฮียน ไพรเวท ลิมิเต็ด เดินหน้านำเงินต่อยอดธุรกิจโรงไฟฟ้าให้ครบวงจร ฟาก “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ซีอีโอ ระบุการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าทั้งใน และต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการมีกำลังผลิตไฟฟ้าในมือ 400 เมกะวัตต์ภายในปี 2567 สนับสนุนรายได้ และกำไรทำสถิติสูงสุดได้ต่อเนื่อง หวังสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นในอนาคต
นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 มีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จํานวน 50,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจํานวน 1,369,169,683 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 1,419,169,683 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวน 50,000,000 หุ้น คิดเป็น 4.93% ต่อทุนที่ชำระแล้ว ณ วันที่กรรมการมีมติให้เพิ่มทุน มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยจัดสรรให้บุคคลในวงจํากัด (Private Placement) ประกอบด้วย
การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจํานวนไม่เกิน 30,00,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ในราคาเสนอขาย 12.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 363,000,000.00 บาท ให้แก่ ยูโอบีเคย์เฮียน ไพรเวท ลิมิเต็ด (UOB Kay Hian Private Limited) และจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจํานวนไม่เกิน 20,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ในราคาเสนอขาย 12.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 242,000,000.00 บาท ให้แก่ นายพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี ซึ่งภายหลังการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนนักลงทุนดังกล่าวจะเข้าเป็นผู้ถือหุ้นรวม 4.70% ของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ขณะเดียวกันที่ประชุมยังมีมติอนุมัติกําหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2564 เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เวลา 10.00 น. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-EGM) โดยกําหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมในวันที่ 23 สิงหาคม 2564 (Record Date)
กลุ่มนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นในครั้งนี้ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐาน และมองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของบริษัทในอนาคต ส่วนวัตถุประสงค์ของการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน เพื่อใช้เป็นเงินทุนไปต่อยอดการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มปริมาณกำลังการผลิตในมือให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อผลักดันให้ผลงานเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตลอดจนการสร้างผลตอนแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ต่อเนื่อง
บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขยายการลงทุนและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าจํานวนรวมทั้งสิ้น 400 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 จากปีนี้จะอยู่ที่ 200 เมกะวัตต์ ผ่านการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทั้งในรูปแบบการลงทุนพัฒนาโครงการด้วยตัวเอง (Greenfield Project Investment) ตลอดจนการเข้าลงทุนในโครงการที่เปิดดําเนินการแล้ว (Operating Assets) โดยบริษัทฯ มีการเข้าทําการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ รวมถึงพิจารณาข้อเสนอ และเงื่อนไขในการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอยู่หลายโครงการ
ดังนั้น จึงมีความประสงค์ที่จะระดมทุน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสําหรับรองรับการขยายกิจการในอนาคต โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะใช้เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ในการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคิดเป็นงบประมาณในการเข้าลงทุนเป็นจํานวนประมาณ 900 -1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากบริษัทฯ ต้องใช้เงินลงทุนเกินกว่าจํานวนเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะพิจารณาใช้แหล่งเงินทุนอื่น อาทิเช่น การออกและเสนอขายหุ้นกู้ หรือการกู้ยืมเงินทุนจากสถาบันการเงิน ประกอบกับการที่บริษัทฯ พิจารณานักลงทุนที่มีศักยภาพด้านเงินทุน และมีความประสงค์ที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน บริษัทฯ จึงได้เข้าเจรจากับนักลงทุน จนประสบผลสําเร็จในครั้งนี้
“การขายหุ้นให้ PP ครั้งนี้ทำให้บริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการเข้าลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในอนาคต ตามเป้าหมายที่บริษัทฯตั้งไว้ในการขยายการลงทุนและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าจํานวนรวมทั้งสิ้น 400 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและความมั่นคงให้แก่ฐานะการเงินของบริษัท อีกทั้ง ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการดําเนินธุรกิจ อันจะช่วยส่งผลกระทบให้ผลประกอบการของบริษัทฯ แข็งแกร่งในระยะยาว นอกจากนี้ การเพิ่มทุนในลักษณะแบบ PP จะช่วยลดภาระในการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท และยังสามารถดําเนินการได้ทันทีภายหลังได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ” นายวรุตม์ กล่าวในที่สุด
SSP เทกฯ โรงไฟฟ้าชีวมวล 9.9 MW มูลค่าลงทุน 500 ล้าน
ผู้ถือหุ้น SSP ไฟเขียวอนุมัติทุ่มงบ 500 ล้านบาท ซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าชีวมวล จังหวัดนครราชสีมา ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ มั่นใจให้ผลตอบแทนดี คาด IRR 10% ฟากซีอีโอ “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ระบุสามารถรับรู้รายได้ทันที ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่น ขนาด 20 เมกะวัตต์ และเวียดนาม ขนาด 48 เมกะวัตต์เตรียม COD ตามแผน ส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมปี 64 มากกว่า 200 เมกะวัตต์ สนับสนุนผลงานทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนแบบครบวงจร
นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) SSP เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดกำลังการผลิต 9.9 เมกกะวัตต์ โดยการซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท ยูนิ พาวเวอร์ เทค จำกัด (ยูพีที) จากกลุ่มผู้ถือหุ้นของยูพีที รวมถึงสิทธิในการรับชำระหนี้เงินกู้ในส่วนที่ยูพีทียังคงค้างชำระแก่ผู้ถือหุ้นของยูพีทีด้วย มูลค่าลงทุนรวม 500 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเข้าทำรายการเพื่อให้ได้มาซึ่งหุ้นของยูพีที จำนวน 119,070 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 บาท คิดเป็นสัดส่วน 49% ภายในเดือน กรกฎาคม 2564 และคาดว่าจะเข้าทำรายการเพื่อให้ได้ ซึ่งหุ้นของยูพีทีจำนวน 123,930 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 บาท คิดเป็นสัดส่วน 51% ภายในเดือนพฤษภาคม 2565 รวมเป็นการเข้าซื้อหุ้นของยูพีทีทั้งสิ้นจำนวน 243,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 100%
ทั้งนี้ บริษัท ยูนิ พาวเวอร์ เทค จำกัด (ยูพีที) ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล โดยดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดกำลัง 9.9 เมกกะวัตต์ ตั้งอยู่ตำบลสี่คิ้ว อำเภอสี่คิ้ว จังหวัดนครราชสีมา โดยเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 มีระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นจำนวน 20 ปีนับแต่วัน COD
การเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลในครั้งนี้จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งเบื้องต้นได้มีการประเมินอัตราผลตอบแทน( IRR)ในระดับ 10% และคาดว่าจะใช้เวลาคุ้มทุนภายใน 7 ปี โดยราคารับซื้อไฟฟ้ารูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่ 4.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯสามารถรับรู้รายได้และกำไรจากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้ามาทันที ถึงแม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 แต่บริษัทฯยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ โดยช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าในเวียดนาม กำลังการผลิต 48 เมกะวัตต์ เตรียมขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ตามแผน ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมทะลุ 200 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 143 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังคงมองหาโอกาสการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้และกำไรสร้างสถิติสูงสุดใหม่ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
นายวรุตม์ กล่าวอีกว่า การเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลของ SSP ถือเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนแบบครบวงจร อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงมองหาการลงทุนในทุกรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าต่อไป โดยวางเป้าหมายช่วง 3-5 ปีข้างหน้า กำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 400 เมกะวัตต์ ผลักดันผลการดำเนินงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
SSP ขึ้นทำเนียบหุ้นน่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging
SSP สุดปลื้ม! ขึ้นแท่นหุ้นน่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 64 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 24 หลักทรัพย์ ตอกย้ำปัจจัยพื้นฐานแกร่ง โตแรงฝ่าวิกฤติโควิด ฟาก “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” เปิดแผนงานครึ่งปีหลังเตรียม COD โรงไฟฟ้าญี่ปุ่น-เวียดนาม เพิ่ม หนุนผลงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยถึงกรณีที่สถาบันไทยพัฒน์ โดยหน่วยงาน ESG Rating ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ได้ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 โดย SSP อยู่มีรายชื่อหุ้นอยู่ในกลุ่มดังกล่าว ถือว่าเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงหลักการคิดในการบริหารธุรกิจของบริษัทฯ ที่ไม่ได้มองเพียงมิติของผลกำไรจากการดำเนินงานเพียงเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ของความยั่งยืน โดยหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 มีทั้งสิ้น 24 หลักทรัพย์
ทั้งนี้ การพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่น่าลงทุน กลุ่ม ESG Emerging ในปีนี้ นับเป็นปีที่สองของการประเมิน โดยใช้ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ปรากฏในการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG และความริเริ่ม หรือลักษณะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นด้าน ESG ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ หรือการประหยัดต้นทุนของกิจการในรอบปีการประเมิน
นายวรุตม์ กล่าวอีกว่า แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่บริษัทฯยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น และเวียดนาม เตรียมขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ตามแผน ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังคงมองหาโอกาสการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้และกำไรสร้างสถิติสูงสุดใหม่ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
อนึ่ง ผลการดำเนินงานของ SSP ในไตรมาส 1/64 แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 บริษัทฯยังคงรักษาความสามารถทำกำไรได้ในระดับสูง มีกำไรหลักจากการดำเนินงานจำนวน 178.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราส่วนกำไรหลักจากการดำเนินงาน 35.6% ของรายได้รวม สะท้อนการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
