เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล โชว์สัดส่วนชำระค่าสินค้าแบบไม่ใช้เงินสดมีกว่า 60%

เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ผู้บริหารท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ทในเครือเซ็นทรัล รีเทล เผยนักช้อปยุคโควิด-19 ปรับพฤติกรรมใช้ชีวิตวิถีใหม่ หลีกเลี่ยงการใช้เงินสด เข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment)  เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค ส่งผลยอดชำระค่าสินค้าแบบไม่ใช้เงินสดผ่าน e-Payment โตก้าวกระโดด คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของยอดการชำระค่าสินค้า 

นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทล กล่าวว่า “จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค ที่เรียกว่า Touchless Society คือ ไม่สัมผัสกับของใช้สาธารณะ สิ่งของต่าง ๆ ชำระค่าสินค้าแบบไร้การสัมผัส  ซึ่งพบว่า e-Payments ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินสดของผู้บริโภค จากข้อมูลธนาคารแห่งประไทยแม้คนไทยยังนิยมใช้เงินสด แต่การใช้  e-Payment มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นและเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในปี 2563 สถิติเฉลี่ยแล้ว คนไทยใช้ e-Payment มากถึง 151 ครั้งต่อคนต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าจากปี 2559 ทั้งนี้หนึ่งในปัจจัยหลักที่เป็นตัวเร่งมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนเลี่ยงการสัมผัส ลดการใช้เงินสด เปลี่ยนพฤติกรรมในการชำระค่าสินค้า    จนเป็นเทรนด์ใหม่ของผู้บริโภคเข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment)

จากสถิติดังกล่าว บริษัทฯ เล็งเห็นและคาดการณ์เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ที่ไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่เป็นเทรนด์ของทั่วโลก จึงได้มีการเก็บข้อมูลการชำระค่าสินค้าผ่าน e-Payment ของลูกค้าท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ปี 2562 ก่อนการระบาดโควิด จนถึงปัจจุบันในปี 2564 เมื่อพิจารณาสัดส่วนการชำระค่าสินค้าพบว่า ลูกค้าเลือกชำระผ่าน e-Payment สูงถึง 60%  เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีการใช้จ่ายผ่าน e-Payment  50 %   จากสัดส่วนการชำระค่าสินค้าโดยไม่ใช้เงินสดที่เติบโตมากขึ้น ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากระบบชำระเงินที่ใช้เงินสดเป็นหลักไปสู่การชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เพราะเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้รับมากกว่าการใช้เงินสด เช่น การชำระผ่านแอปพลิเคชั่น Dolfin ที่มีส่วนลดพิเศษ,  รับ Cash Back เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตต่าง ๆ การสะสมคะแนน  รวมถึงการชำระด้วย e-Gift Card หรือโปรโมชั่นอื่น ๆ เฉพาะสมาชิกบัตรเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังพบสถิติที่น่าสนใจเพิ่มเติม ได้แก่ ลูกค้าท็อปส์ที่ใช้ e-Payment มากที่สุดอยู่ในกลุ่มอายุ 35-44 ปี รองลงมาคือ อายุ 45-54 ปี และ 25-34 ปีตามลำดับ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ ถือเป็นลูกค้าหลักของการใช้จ่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่แล้ว จากข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่า การใช้ e-Payment นั้นครอบคลุม   ทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 45-54 ปี ที่เริ่มคุ้นเคยกับการใช้จ่ายโดยไม่ใช้เงินสดมากขึ้น ปัจจุบัน “ท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท” รองรับการชำระเงินผ่าน e-Payment หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น QR Payment ผ่าน Mobile Banking และพร้อมเพย์, RFID Ship Card, e-Wallet ต่างๆ อาทิ Dolfin, Rabbit LINE Pay, Alipay, WeChat Pay รวมไปถึงการชำระเงินผ่านมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญและมองหาสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่าถึงทุกการใช้จ่าย ยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่น ชำระค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่น Dolfin ครบ 800 บาท รับคูปองส่วนลดทันที 50 บาท ตั้งแต่วันที่ 1-30 กันยายน 2564 หรือ สมาชิกเดอะวัน เพียงมียอดซื้อสินค้าครบ 800 – 1,499 บาทต่อใบเสร็จ และเลือกชำระผ่าน e-Payment รับคูปองส่วนลด 100 บาทสำหรับการซื้อสินค้าในครั้งถัดไป นอกจากนั้นระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (ContactlessPayment) จะเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่องเพราะผู้บริโภคเกิดความคุ้นเคย ทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น”

นายสเตฟาน กล่าวเพิ่มเติมถึงการคาดการณ์เทรนด์ในอนาคตของธุรกิจค้าปลีกหลังสถานการณ์ โควิด-19 ว่า “ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป Touchless Society จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจ ทั้งระบบ Online Business และ Financial Business โดยสัดส่วนของการใช้ e-Payment จะเพิ่มเป็นร้อยละ 80  แอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนจะเข้ามามีบทบาทแทน Credit card และ Physical card โดยผู้บริโภคเกือบทั้งหมดจะหันมาใช้ e-Wallet หรือ e-Payment แทน ซึ่งสะดวกและปลอดภัยมากกว่าเดิม  ใบเสร็จรับเงินจะถูกส่งให้ลูกค้าโดยตรงผ่านโทรศัพท์มือถือแทนการออกใบเสร็จฯ ที่เป็นกระดาษ รวมไปถึงคูปองส่วนลดต่างๆ และในอนาคต ลูกค้าสามารถใช้โทรศัพท์มือถือสแกนบาร์โค้ดบนผลิตภัณฑ์ได้เอง แล้วจึงนำมารวมยอดชำระที่เคาน์เตอร์ ผ่านระบบ e-Payment ซึ่งระบบนี้จะช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวเพื่อชำระเงินค่าสินค้า  ซึ่งท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและการบริการอยู่เสมอ ให้สามารถตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันรวมไปถึงอนาคต เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดและรักษาไว้ซึ่งการเป็นผู้นำซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.tops.co.th ,เฟซบุ๊ก TopsThailand หรือ แอปพลิเคชั่นไลน์ @TopsThailand

ท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท มอบส่วนลด 10% แก่บุคลากรทางการแพทย์

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าด่านหน้าที่สำคัญที่สุดและปฏิบัติภารกิจภายใต้ความเสี่ยงก็คือบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณและตอบแทนการเสียสละ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล มอบส่วนลด 10% โดยไม่มีขั้นต่ำ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ สำหรับการซื้อสินค้าราคาปกติที่ ท็อปส์เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ แฟมิลี่มาร์ท ทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม-31 สิงหาคม 2564  โดยบุคลากรทางการแพทย์สามารถรับสิทธิ์ได้ง่าย ๆ  

    • สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่มีรายชื่อในระบบฐานข้อมูลเดอะวัน จะได้รับ SMS การได้รับสิทธิ์ และสามารถแจ้งหมายเลขเดอะวันหรือเบอร์โทรศัพท์ที่จุดแคชเชียร์เมื่อชำระค่าสินค้าเพื่อรับส่วนลดทันที 
    • บุคคลากรทางแพทย์ที่ยังไม่เคยลงทะเบียน เพียงแสดงบัตรประจำตัวบุคลากรทางการแพทย์เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ที่จุดบริการลูกค้า 
นอกจากการมอบส่วนลดพิเศษในการซื้อสินค้าแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท ได้สนับสนุนภารกิจต่อสู้กับ COVID-19 ของบุคลาการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ “CRC รวมพลัง กู้วิกฤตโควิด-19” ส่งมอบสิ่งของจำเป็น อาหาร และเวชภัณฑ์ ให้กับโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ การสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ กิจกรรม“ทำด้วยใจ ไฟท์โควิด-19: Help Thai Fight Covid-19” ระดมทุนเพื่อต่อยอดการวิจัยและพัฒนากระบวนการรักษา และป้องกันโรคที่เกิดจากโควิด-1ท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท จะขอเป็นกำลังสำคัญและสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางแพทย์ เพราะเราเชื่อว่าทุกวิกฤตจะผ่านพ้นไปได้หากเราทุกคนร่วมมือกั

ฉลอง 45 ปี ทูตไทย-เวียดนาม ในงาน Vietnamese Goods Week in Thailand – Udon Thani 2021

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัล นายเอ็มมานูเอล คูรง องกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทล พร้อมด้วย นางเจิ่น ธิ แทงห์ หมี ที่ปรึกษาการพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย และ นายวันชัย จันทร์พร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ร่วมกันเปิดงาน Vietnamese Goods Week in Thailand – Udon Thani 2021 ภายใต้ธีมงาน A Flavour of Vietnam จัดโดย บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ร่วมกับ สำนักงานฝ่ายพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย ในโอกาสฉลองครบ 45 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เวียดนาม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือ สร้างโอกาสทางการค้าและพัฒนาเศรษฐกิจของสองประเทศ โดยคัดสรรสินค้าคุณภาพที่เหมาะกับตลาดประเทศไทยกว่า 150 รายการมาจำหน่าย ณ ชั้น เซ็นทรัล อุดรธานี 

เช็คได้ที่นี่! ร้านใดบ้างในเครือเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ร่วมโครงการยิ่งใช้ ยิ่งได้

บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผู้นำธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน ร่วมสนับสนุนมาตรการเยียวยาโควิด-19 จากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภคในประเทศช่วงครึ่งปีหลัง ส่งร้านค้าในเครือ ท็อปส์, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ แฟมิลี่มาร์ท และ มัทสึโมโตะ คิโยชิ กว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ เข้าร่วมโครงการยิ่งใช้ ยิ่งได้ เชิญชวนคนไทยใช้จ่ายค่าสินค้าผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (G-Wallet) บนแอพพลิเคชันเป๋าตัง ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2564 ช้อปมากคุ้มมาก รับ E-Voucher รวมสูงสุด 7,000 บาท ตลอดโครงการ

นอกเหนือจากการเพิ่มมูลค่าการจับจ่ายสินค้าอุปโภค-บริโภคให้กับลูกค้าเพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยการจัดลดราคาสินค้า พร้อมโปรโมชั่นพิเศษมากมาย ท็อปส์, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และแฟมิลี่มาร์ท ได้เปิดรับการใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าแก่ผู้ที่ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ในโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ซึ่งจะเป็นการใช้จ่ายผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (G-Wallet) บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง เพื่อรับบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (E – Voucher) สูงสุด 7,000 บาท โดยร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้แก่ ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ เดลี่, เฮลธิฟูล, ลุคส์, มัทสึโมโตะ คิโยชิ ทุกสาขา และ แฟมิลี่มาร์ทสาขาที่ร่วมโครงการ โดยจะติดตั้งแอปพลิเคชั่น “ถุงเงิน” สำหรับอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้สิทธิ์

สำหรับ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็น 1 ใน 4 มาตรการที่ภาครัฐจัดขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายภายในประเทศช่วงครึ่งปีหลัง โดยประชาชนทั่วไปสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 21  มิถุนายน 2564 โดยมีเป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 4 ล้านสิทธิ์ ผ่าน www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือ แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”  และใช้จ่ายชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน G-Wallet ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2564 เพื่อรับ E-Voucher สูงสุด 7,000 บาทต่อคน โดยใช้จ่ายสูงสุด 60,000 บาทต่อคน (ยอดใช้จ่ายที่นำมาคำนวณสิทธิ E-Voucher ไม่เกิน 5,000 บาท/คน/วัน) ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับ E-Voucher ในรูปแบบของสิทธิเข้า G-Wallet โดยแบ่งการใช้จ่ายดังนี้ จำนวนเงิน 1-40,000 บาท ได้คืน 10% สูงสุด 4,000 บาท  จำนวนเงิน 40,001-60,000 บาท ได้คืน 15% สูงสุด 3,000 บาท และจะได้รับ E-Voucher ทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไป ซึ่ง E-Voucher สามารถใช้สิทธิได้ถึง 31 ธันวาคม 2564 (ไม่สามารถกดเป็นเงินสด หรือโอนเงินออกได้ จะต้องนำไปใช้จ่ายกับร้านค้าในโครงการเท่านั้น)