ส.อ.ท. เปิดผลสำรวจการจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์โควิด-19

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแงประทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 8 ในเดือนกรกฎาคม 2564ายใต้หัวข้อ การจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า สถานการณ์ารแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ส่งผลกระทต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งปัญหาารแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้ง ปัญหาขาดแคลแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงานเข้มข้น จนส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงและกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นี้ จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน ม.33 เพื่ลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการ รวมทั้ง รักษาศักภาพในการผลิตและการส่งออกของประเทศ

จากการสำรวจผู้บริหาร ส... (CEO Survey) จำนวน 166 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรมละ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า อัตราการจ้างงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดนั้น ส่วใหญ่ภาคอุตสาหกรรมยังสามารถคงอัตราการจ้างานเท่าเดิม คิดเป็นร้อยละ 53.6 มีการจ้างงานลดลง 10 20% คิดเป็นร้อยละ 31.3 มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10 20% คิดเป็นร้อยละ 10.3และมีการจ้างงานลดลงมากว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 4.8

ในส่วนของผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พบว่า โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนได้รับผลกระทบทำให้ต้องลดกำลังการผลิต น้อยกว่า 30% คิดเป็นร้อยละ 45.2 โรงงานที่ไม่ได้รับผลกระทบ คิดเป็นร้อยละ 26.5 โรงงานที่กำลังการผลิตลดลง 30 50% คิดเป็นร้อยละ 20.5 และโรงงานที่กำลังการผลิตลดลงมากกว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 7.8 มื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ แรงงานบางส่วน้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโรคหรือกักตัว รวมทั้ง การปิดโรงงานชั่วคราวตามข้อกำหนด คิดเป็นร้อยละ 51.8 รองลงมา สถานประกอบการไม่สามารถหาแรงงานสัญชาติไทยได้เพียงพอต่อความต้องการ คิดเป็นร้อยละ 49.4 และมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกพื้นที่ของแรงงานข้ามจังหวัด คิดเป็นร้อยละ 41.6

สำหรับมาตรการที่ภาครัฐควรนำมาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนเงินอุดหนุนในการจ้างแรงงานไทย และขยายโครงการจ้างงานเด็กจบใหม่ คิดเป็นร้อยละ 50.0รองลงมา เป็นการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมทดแทนการใช้แรงงาน คิดเป็นร้อยละ 48.8 และการอนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU เฉพาะแรงงานที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้ว มีการทำประกันสุขภาพ และต้องผ่านการกักตัว 14 วัน เข้ามาทำงาน คิดเป็นร้อยละ 45.8

กรณีที่าครัฐจะมีการเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU ควรมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องใด พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเตรียมความพร้อมระบบคัดกรอง ติดตาม และประเมินสถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าวคิดเป็นร้อยละ 69.9 รองลงมา การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service สำหรับนายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว คิดเป็นร้อยละ 66.9 และารปรับลดขั้นตอน เอกสารที่ไม่จำเป็น และปรับมาดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นร้อยละ 65.1

ทั้งนี้ FTI Poll ยังด้าะลึกถึงมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานประกอบการอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเร่งจัดหาวัคซีนและเร่งฉีดให้กับแรงงาน.33 คิดเป็นร้อยละ 92.8 รองลงมา การสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาลแรงงานที่ติดเชื้อ และสนับสนุนยา อาหาร และเวชภัณฑ์ให้แก่แรงงานที่ติดเชื้อในการรักษาตัวที่บ้น (Home isolation) คิดเป็นร้อยละ 69.9 และการลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือร้อยละ 1 ถึงสิ้นปี 2564 คิดเป็นร้อยละ 66.9

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส... ยังมองว่ามาตรการที่ภาคเอกชนมีความพร้อมและสามารถที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการได้พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การมีระบบคัดกรองแรงงานก่อนเข้าโรงงาน และการเฝ้าระวังผู้ปฏิบัติงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามมาตรการ Bubble & Seal คิดเป็ร้อยละ 83.1 รองลงมา การจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็ร้อยละ68.1 และการปฏิบัติตามมาตรการป้งกันการแพร่ระบาด (D-M-H-T-T-A) คิดเป็ร้อยละ 65.7

ส.อ.ท. เปิดผลสำรวจการจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 8 ในเดือนกรกฎาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “การจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้ง ปัญหาขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น จนส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงและกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นี้ จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน ม.33 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการ รวมทั้ง รักษาศักยภาพในการผลิตและการส่งออกของประเทศ

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 166 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า อัตราการจ้างงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดนั้น ส่วนใหญ่ภาคอุตสาหกรรมยังสามารถคงอัตราการจ้างงานเท่าเดิม คิดเป็นร้อยละ 53.6 มีการจ้างงานลดลง 10 – 20% คิดเป็นร้อยละ 31.3 มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10 – 20% คิดเป็นร้อยละ 10.3 และมีการจ้างงานลดลงมากว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 4.8

ในส่วนของผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พบว่า โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนได้รับผลกระทบทำให้ต้องลดกำลังการผลิตลง น้อยกว่า 30% คิดเป็นร้อยละ 45.2 โรงงานที่ไม่ได้รับผลกระทบ คิดเป็นร้อยละ 26.5 โรงงานที่กำลังการผลิตลดลง 30 – 50% คิดเป็นร้อยละ 20.5 และโรงงานที่กำลังการผลิตลดลงมากกว่า 50% คิดเป็นร้อยละ 7.8 เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ แรงงานบางส่วนต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโรค หรือกักตัว รวมทั้ง การปิดโรงงานชั่วคราวตามข้อกำหนด คิดเป็นร้อยละ 51.8 รองลงมา สถานประกอบการไม่สามารถหาแรงงานสัญชาติไทยได้เพียงพอต่อความต้องการ คิดเป็นร้อยละ 49.4 และมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกพื้นที่ของแรงงานข้ามจังหวัด คิดเป็นร้อยละ 41.6

สำหรับมาตรการที่ภาครัฐควรนำมาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนเงินอุดหนุนในการจ้างแรงงานไทย และขยายโครงการจ้างงานเด็กจบใหม่ คิดเป็นร้อยละ 50.0 รองลงมา เป็นการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมทดแทนการใช้แรงงาน คิดเป็นร้อยละ 48.8 และการอนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU เฉพาะแรงงานที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้ว มีการทำประกันสุขภาพ และต้องผ่านการกักตัว 14 วัน เข้ามาทำงาน คิดเป็นร้อยละ 45.8

กรณีที่ภาครัฐจะมีการเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU ควรมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องใด พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเตรียมความพร้อมระบบคัดกรอง ติดตาม และประเมินสถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว คิดเป็นร้อยละ 69.9 รองลงมา การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service สำหรับนายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว คิดเป็นร้อยละ 66.9 และการปรับลดขั้นตอน เอกสารที่ไม่จำเป็น และปรับมาดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นร้อยละ 65.1

ทั้งนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานประกอบการอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเร่งจัดหาวัคซีนและเร่งฉีดให้กับแรงงาน ม.33 คิดเป็นร้อยละ 92.8 รองลงมา การสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาลแรงงานที่ติดเชื้อ และสนับสนุนยา อาหาร และเวชภัณฑ์ให้แก่แรงงานที่ติดเชื้อในการรักษาตัวที่บ้าน (Home isolation) คิดเป็นร้อยละ 69.9 และการลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือร้อยละ 1 ถึงสิ้นปี 2564 คิดเป็นร้อยละ 66.9

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังมองว่ามาตรการที่ภาคเอกชนมีความพร้อมและสามารถที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการได้ พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การมีระบบคัดกรองแรงงานก่อนเข้าโรงงาน และการเฝ้าระวังผู้ปฏิบัติงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามมาตรการ Bubble & Seal คิดเป็นร้อยละ 83.1 รองลงมา การจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็นร้อยละ 68.1 และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด (D-M-H-T-T-A) คิดเป็นร้อยละ 65.7

ส.อ.ท. เผยตัวเลข มิ.ย 64 ผลิต-ขาย-ส่งออก รถเพิ่มขึ้น

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศในเดือนมิถุนายน 2564 ดังต่อไปนี้

การผลิต

จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมิถุนายน 2564 มีทั้งสิ้น 134,245 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 87.22 จาก​ฐาน​ต่ำ​ของ​ปีก่อน​เนื่องจาก​การ​ระบาด​ของ​โค​วิด-​19​​ แต่ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2564 ร้อยละ 4.23 เพราะผลิตได้ไม่เต็มที่จากการขาดชิ้นส่วนในบางรุ่น

จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 844,601 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 39.34

รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ 49,714 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 92.71

ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 มีจำนวน 296,977 คัน เท่ากับร้อยละ 35.16 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 29.93

รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ 0 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 100 รวมเดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ 29 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 73.39

รถยนต์บรรทุก เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ทั้งหมด 84,531 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 84.20 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ทั้งสิ้น 547,595 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 45.07

รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ทั้งหมด 81,615 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 80.96 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ทั้งสิ้น 531,922 คัน เท่ากับร้อยละ 62.98ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 44.32 โดยแบ่งเป็น

  • รถกระบะบรรทุก 129,758 คัน         เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 13
  • รถกระบะดับเบิลแค็บ 335,608 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 62
  • รถกระบะ PPV 66,556 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 81

รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน – มากกว่า 10 ตัน เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ 2,916 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 269.11 รวมเดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ 15,673 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 76.16

ผลิตเพื่อส่งออก

เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ 74,574 คัน เท่ากับร้อยละ 55.55 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 74.18 ส่วนเดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 486,237 คัน เท่ากับร้อยละ 57.57 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 40.37

รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตเพื่อการส่งออก 22,516 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 74.12 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 143,701 คัน เท่ากับร้อยละ 48.39 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 28.41

รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2564 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 52,058 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 74.21 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 342,536 คัน เท่ากับร้อยละ 64.40 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 46.08 โดยแบ่งเป็น

  • รถกระบะบรรทุก 41,621 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 16
  • รถกระบะดับเบิลแค็บ 265,618 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 56
  • รถกระบะ PPV 35,297 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 14

ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ

เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ 59,671 คัน เท่ากับร้อยละ 44.45 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 106.55 และเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ผลิตได้ 358,364 คัน เท่ากับ ร้อยละ 42.43 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 37.97

รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 27,198 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 111.39 ยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ 153,276 คัน เท่ากับร้อยละ 51.61 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 แล้ว เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.39

รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2564 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 29,557 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 94.24 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ทั้งสิ้น 189,386 คัน เท่ากับร้อยละ 35.60 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 41.26 ซึ่งแบ่งเป็น

  • รถกระบะบรรทุก 88,137 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 06
  • รถกระบะดับเบิลแค็บ 69,990 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 67
  • รถกระบะ PPV 31,259 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 22

รถจักรยานยนต์

เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 216,671 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 141.28 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 173,721 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 129.13 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 42,950 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 207.22

ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,261,176 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 43.73 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 1,005,313 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 47.30 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 255,863 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 31.26

ยอดขาย

ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมิถุนายน 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 61,758 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 15.07 จาก​ฐาน​ต่ำ​ปี​ที่แล้ว​จาก​การ​ระบาด​ของ​โค​วิด​19​ ยอดขาย​อยู่​ใน​ระดับ​ต่ำเนื่องจาก​การ​ระบาด​ของ​โค​วิด​19​ ระลอกสามที่รุนแรงมากขึ้น​ มีการ​จำกัดการทำกิจกรรม​ทาง​เศรษฐกิจ​มากขึ้น​ส่งผล​ให้กำลังซื้อ​ของ​ประชาชน​ลดลง​ สถาบัน​การเงิน​เข้มงวด​ใน​การอนุมัติ​สินเชื่อ​ และ​รถยนต์​บางรุ่น​ผลิตไม่​พอ​กับความต้องการ​เพราะ​ขาดชิ้นส่วน​ และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2564 ร้อยละ 10.40

ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 161,105 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 28.86 และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2564 ร้อยละ 13.55

ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 รถยนต์มียอดขาย 373,193 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ในระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 13.57  ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 872,279  คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 19.17

การส่งออก

รถยนต์สำเร็จรูป 

เดือนมิถุนายน 2564 ส่งออกได้ 83,022 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 65.88 เพราะ​ยอดขาย​รถ​ยนต์​ใน​ประเทศ​ของประเทศ​คู่​ค้า​เพิ่มขึ้น อาทิ ​ออสเตรเลีย​ นิวซีแลนด์​ ญี่ปุ่น​ เวียดนาม​ มาเลเซีย​ ยุโรป ​ และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2564 ร้อยละ 4.46 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 49,278.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 68.54

เครื่อง​ยนต์​และ​ชิ้นส่วน​ก็​ส่งออก​เพิ่มขึ้น​จาก​ประเทศ​คู่​ค้า​เปิด​โรงงาน​ผลิต​รถยนต์​เกือบ​เป็น​ปกติ​แล้ว​ ดังนี้

  • เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 3,000.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 32
  • ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 16,584.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 72
  • อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,219.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 74

รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมิถุนายน 2564 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 71,083.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 97.12

เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 473,489 คัน โดยส่งออกเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ในระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 35.07 มีมูลค่าการส่งออก 270,708.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 44.01

  • เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 18,732.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 16
  • ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 102,649.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน2563 ร้อยละ 66
  • อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 11,906.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 52

รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 403,996.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 48.31

รถจักรยานยนต์

เดือนมิถุนายน 2564 มีจำนวนส่งออก 95,089 คัน (รวม CBU + CKD) เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 136.96 และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2564 ร้อยละ 50.83 โดยมีมูลค่า 7,190.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 54.03

  • ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 1548.36
  • อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 21 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 0.03

รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนมิถุนายน 2564 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ 7,482.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 56.42

เดือนมกราคม มิถุนายน 2564 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 487,115 คัน (รวม CBU + CKD) เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 36.87 โดยมีมูลค่า 41,737.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 34.55

  • ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,223.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 42
  • อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 54.71

รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 43,896.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 35.88

เดือนมิถุนายน 2564 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 78,566.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 92.35

เดือนมกราคม มิถุนายน 2564 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 447,893.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 46.99