สำนักงานประกันสังคม พร้อมแล้ว! ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 2 เริ่ม 16 ส.ค. นี้

พญ.นิธยาพร ลิมปะพันธุ์ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม แจ้งผลการเตรียมความพร้อมสำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยคณะทำงานบริหารจัดการและกระจายวัคซีนได้เตรียมจัดศูนย์ฉีดวัคซีน เพื่อให้บริการผู้ประกันตนมาตรา 33 ในการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 หลังจากที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับวัคซีนเข็มแรกจากประกันสังคมแล้ว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้วกว่า 1.3 ล้านคน

พญ.นิธยาพร กล่าวว่า วัคซีนเข็มที่ 2 จะเริ่มฉีดในวันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป เป็นวัคซีนยี่ห้อ AstraZeneca ทั้งหมด โดยแบ่งผู้ประกันตนตามสูตรการฉีด ดังนี้

  • สูตร 1 (AZ+AZ) คือผู้ประกันตนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เป็น AstraZeneca และจะครบกำหนดฉีดเข็ม 2 ภายใน 12-16 สัปดาห์ จะฉีดเข็มที่ 2 เป็นวัคซีนยี่ห้อ AstraZeneca เหมือนเดิม โดยผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ได้รับเข็ม 1 ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ถึง 21 กรกฎาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม – 28 กันยายน 2564
  • สูตร 2 (SV+AZ) แบบฉีดสลับวัคซีน ตามมติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 คือผู้ประกันตนที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกเป็นยี่ห้อ Sinovac จะได้รับเข็ม 2 ภายใน 3-4 สัปดาห์ เป็นยี่ห้อ AstraZeneca ทั้งหมดเช่นกัน โดยผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ได้รับเข็ม 1 ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม – 27 สิงหาคม 2564

และผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกลุ่มจังหวัดภาคผลิตสำคัญ 5 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรสาคร และนครปฐม ที่ได้รับวัคซีนตามสูตร 2 (SV+AZ) ตั้งแต่ 22 กรกฎาคม – 13 สิงหาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 เป็นยี่ห้อ AstraZeneca ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม – 27 สิงหาคม 2564

โดยสำนักงานประกันสังคมได้เตรียมพร้อมศูนย์ฉีดวัคซีนกระจายทั่วพื้นที่ กทม.ทั้ง 12 เขตความรับผิดชอบ รวม 26 จุดฉีด และทั้ง 5 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว จะส่งแจ้งนัดหมายให้ผู้ประกันตนทราบล่วงหน้าผ่าน SMS เข้าโทรศัพท์มือถือให้ผู้ประกันตนทราบโดยเร็วที่สุด

สำหรับผู้ประกันตนที่ฉีดวัคซีนหลังจากช่วงเวลาดังกล่าว สำนักงานประกันสังคมอยู่ระหว่างดำเนินการประมวลผลข้อมูล ซึ่งจะอัพเดทในสัปดาห์หน้า

พญ.นิธยาพร กล่าวว่า ขอให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ทุกท่าน เมื่อทราบกำหนดนัดหมายแล้ว โปรดเตรียมตัวให้พร้อม เหมือนกันกับการฉีดเข็มแรก คือ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ งดการออกกำลังกายหนัก สวมเสื้อที่สะดวกในการฉีด เช่น เสื้อแขนสั้น

ที่สำคัญคือ เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริง) ติดตัวมาด้วยในวันที่ฉีดวัคซีน และมาให้ทันตามกำหนดนัดหมาย เพื่อร่วมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ไปด้วยกัน

หากท่านอยู่ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเข็ม 2 ตามกำหนดข้างต้น แต่ไม่ได้รับ SMS นัดหมาย สามารถตรวจสอบวันนัดหมายฉีดวัคซีน เข็มที่ 2 ได้ที่หน้าเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th อีกช่องทางหนึ่ง หากไม่พบข้อมูล ขอให้รีบแจ้งนายจ้าง หรือฝ่ายบุคคล (human resource: HR) ของบริษัทลูกจ้างด่วน หรือหากมีข้อสงสัย ติดต่อสายด่วน 1506 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

เปิดเงื่อนไข ลูกจ้างติดโควิด-19 เบิกเงินขาดรายได้ 50% ของค่าจ้าง

นางสาวลัดดา แซ่ลี้ โฆษกสำนักงานประกันสังคม ชี้แจงว่า กรณีที่ผู้ประกันตนเป็นผู้ป่วยโฮมไอโซเลชันคือ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยโรคโควิด-19 แล้ว และแพทย์ผู้ดูแลรักษาของสถานพยาบาลพิจารณาอาการเจ็บป่วยแล้ว เห็นควรให้ผู้ประกันตนรายนั้น สามารถแยกกักตัวในที่พักได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย โดยได้รับความยินยอมจากผู้ประกันตนและเจ้าของสถานที่ และรวมถึงกรณีที่ผู้ประกันตนรักษาในสถานพยาบาล และกลับมาแยกกักตัวในที่พักต่อจนครบกำหนดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดนั้น

สำนักงานประกันสังคมจะดูแลค่าใช้จ่ายของผู้ประกันตนที่เจ็บป่วย โดยจ่ายค่าบริการทางการแพทย์แก่สถานพยาบาลและแพทย์ผู้ดูแลรักษา โดยใช้หลักเกณฑ์การจ่ายประเภทผู้ป่วยในตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์ เป็นค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่าดูแลการให้บริการผู้ประกันตนที่ป่วย โดยเป็นค่าใช้จ่ายรวมค่าอาหาร 3 มื้อ การติดตามประเมินอาการ และการให้คำปรึกษา เหมาจ่ายในอัตรา 1,000 บาทต่อวัน ไม่เกิน 14 วัน ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น เช่น ค่าปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนในเลือดและอุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็น ค่าชุด PPE สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ค่ายาที่ใช้รักษา ค่าพาหนะเพื่อรับหรือส่งต่อผู้ป่วยระหว่างที่พัก โรงพยาบาลสนามและสถานพยาบาล และค่าบริการ X-ray ทรวงอก

นอกจากนี้ เมื่อผู้ประกันตนติดเชื้อโควิด-19 และต้องดูแลรักษาในที่พักระหว่างรอเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยในโรงพยาบาล หรือการดูแลรักษาในโรงพยาบาลสนาม หรือการดูแลรักษาในชุมชน หรือการดูแลรักษาในโรงพยาบาลสนามในโรงงานหรือสถานประกอบการ สามารถขอใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลที่รับผิดชอบการรักษาได้ หรือบันทึกภาพหน้าจอจาก Application Line หรือโปรแกรมอื่นใด ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับสถานพยาบาลที่รับการรักษา และสำเนาเวชระเบียนที่ได้จากการบันทึกหน้าจอจาก Application Line หรือโปรแกรมอื่นๆ โดยมีรายละเอียดระบุวันที่เริ่มรักษา จนสิ้นสุดการรักษา รวมไปถึงการให้หยุดพักรักษาตัวต่อ เพื่อใช้ประกอบการเบิกเงินค่าทดแทนการขาดรายได้จากสำนักงานประกันสังคม

โฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวถึงเงื่อนไขการเบิกค่าทดแทนการขาดรายได้นั้น ผู้ประกันตนต้องมีการนำส่งเงินสมทบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ประกอบกับการพิจารณาตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน คือผู้ประกันตนลาป่วย 30 วันแรกจะรับค่าจ้างจากนายจ้าง แต่หากมีความจำเป็นต้องหยุดพักรักษาตัวนานเกินกว่า 30 วัน สามารถเบิกสิทธิประโยชน์กรณีขาดรายได้จากสำนักงานประกันสังคมได้ตั้งแต่วันที่ 31 ของการลาป่วยเป็นต้นไป ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง (จ่ายครั้งละไม่เกิน 90 วันต่อ 1 ปีปฏิทิน แต่ไม่เกิน 180 วัน) ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถยื่นเบิกเงินขาดรายได้ภายใน 2 ปี เมื่อรักษาหายจากอาการเจ็บป่วยแล้ว ให้ติดต่อขอรับประโยชน์ทดแทนได้ที่สำนักงานประกันสังคมได้ทุกแห่งทั่วประเทศตามที่ท่านสะดวก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อสายด่วน 1506 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

ยื่นก่อน ได้ก่อน เงินเยียวยานายจ้าง 9 ประเภทกิจการ ใน 10 จังหวัด

สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ประกาศย้ำ นายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐใน 10 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ที่ยังไม่ยื่นขอรับเงินชดเชยเยียวยา ขอให้ท่านดำเนินการยื่นแบบความประสงค์ขอรับเงินโดยด่วน ขั้นตอนคือเข้าระบบ e-service บนเว็บไซต์ www.sso.go.th ของสำนักงานประกันสังคม กรอกข้อมูล แล้วส่งกลับมาให้สำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสถานประกอบการนั้นตั้งอยู่ กรณีนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลให้แนบสำเนาบัญชีธนาคารกลับมาด้วย ส่วนนายจ้างบุคคลธรรมดาให้ผูกบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชน เพื่อสำนักงานประกันสังคมจะโอนเงินได้อย่างรวดเร็ว

ประกันสังคม ย้ำสมัคร ม.40 แล้ว ชำระเงินก่อน 10 ส.ค. นี้

รายงานข่าวแจ้งว่า สำนักงานประกันสังคม ขยายเวลาให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ใน 13 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 9 กลุ่มกิจการ ที่สมัครมาตรา 40 แล้ว สามารถจ่ายเงินสมทบงวดแรกได้ถึงวันที่ 10 ส.ค.นี้ ที่ เซเว่น บิ๊กซี โลตัส #ธกส #กรุงไทย #กรุงศรี ฯลฯ เพื่อให้สถานะเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมาย พร้อมรับสิทธิเยียวยาจากรัฐ 5,000บาท

ระวัง “มิจฉาชีพ” หลอกขอข้อมูลรับเงินเยียวยาสู้โควิด-19

นางสาวลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการรับสิทธิรับเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อกดาวน์พื้นที่สีแดงเข้ม รวม 13 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ว่า ขณะนี้มีผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวนกว่า 3.1 ล้านคน ที่มีสัญชาติไทย จะได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายครั้งเดียวโดยโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชนเท่านั้น ซึ่งเงินเยียวยาจะเริ่มโอนเงินรอบแรกในวันที่ 4 – 6 สิงหาคม 2564 นี้ ส่วนที่เหลือจะทยอยโอนให้ ทุกวันศุกร์ ของสัปดาห์ถัดไป โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 สามารถตรวจสอบสิทธิรับเงินเยียวยา ผ่านเว็บไซต์ www.sso.go.th</a href=”http:>

นอกจากนี้ ขอย้ำเตือนไปยังผู้ประกันตนมาตรา 33 ว่า ขณะนี้พบมิฉาชีพได้จัดทำ google form และส่งข้อความผ่าน SMS ปลอม ไปสอบถามข้อมูล ส่วนตัว เพื่อหลวกลวงให้ผู้ประกันตนแจ้งความประสงค์รับเงินเยียวยา 2,500 บาท และให้กรอกเลขบัตรประจําตัวประชาชน เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ จนนำไปกดลิงค์เพื่อยืนยัน ซึ่งเป็นการใช้ความสับสนของผู้ประกันตนมาเป็นกลลวง ที่อาจนำมาซึ่งความเสียหาย ทั้งทรัพย์สิน และการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ที่มิฉาชีพจะนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ สำนักงานประกันสังคมจึงขอเตือนให้ผู้ประกันตน โปรดระมัดระวังอย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด หากผู้ประกันตนมีข้อสงสัยติดต่อสอบถามที่สายด่วนสำนักงานประกันสังคม 1506 ตลอด 24 ชม.

ขยายขอบเขตเยียวยา ม.33,ม.39,ม.40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบและให้ความช่วยเหลือกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด (สีแดงเข้ม) ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นไปตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน กลุ่มแรงงาน และผู้ประกอบการอันเนื่องมาจากข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 30)

ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือเป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2564 พร้อมขยายกรอบวงเงินการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเป็น 60,000 ล้านบาท จากเดิม 30,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. ปรับเพิ่มพื้นที่ดำเนินการจากเดิม 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด ได้แก่ กทม. กาญจนบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครนายก นครราชสีมา นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี อยุธยา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยะลา ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สงขลา สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรี และอ่างทอง

2. กลุ่มเป้าหมายให้ความช่วยเหลือ ยังคงครอบคลุมกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการในกิจการที่ได้รับผลกระทบ ทั้งในส่วนที่อยู่ในระบบประกันสังคม (ม.33, ม.39 และ ม.40) และไม่อยู่ในระบบประกันสังคม

3. ประเภทกิจการที่ให้ความช่วยเหลือ คือ กิจการในระบบประกันสังคมจะครอบคลุม 9 สาขาและในกลุ่มผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” ภายใต้โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะในปัจจุบันที่ผ่านการคัดกรองแล้ว และไม่เป็นผู้ถูกตัดสิทธิ์จากกระทรวงการคลัง จำนวน 5 กลุ่ม

4. รูปแบบการให้ความช่วยเหลือเป็นไปตามมติ ครม.   เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 64

5. ระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ กลุ่ม 13 จังหวัดเดิม คือ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สงขลา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา และ ฉะเชิงเทรา ได้รับการเยียวยา 2 เดือน คือเดือน ก.ค.-ส.ค. 64

โดยลูกจ้างผู้ประกันตนมาตรา 33 สัญชาติไทย ที่อยู่ใน 9 กลุ่มกิจการ ได้รับเยียวยา 2,500 บาท สำหรับเดือน ก.ค. 64 และอีก 2,500 บาท สำหรับเยียวยาเดือน ส.ค. 64 รวมเป็น 5,000 บาท ส่วนนายจ้างจะได้รับเงินตามจำนวนลูกจ้าง เพิ่มอีก 1 เดือน

ขณะที่ผู้ประกันตนมาตรา 39 และ มาตรา 40 จะได้รับเงินเพิ่ม 5,000 บาท สำหรับการเยียวยาล็อกดาวน์เดือน ก.ค. 64 และอีก 5,000 บาท สำหรับการเยียวยาล็อกดาวน์เดือน ส.ค. 64

ส่วนกลุ่ม 16 จังหวัดที่เพิ่มเติม คือ กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี อ่างทอง นครนายก ปราจีนบุรี ลพบุรี ระยอง สิงห์บุรี  สระบุรี นครราชสีมา เพชรบูรณ์ และ ตาก ได้รับการเยียวยาสำหรับการล็อกดาวน์ 1 เดือน คือเดือน ส.ค. 64

นายจ้าง ลูกจ้าง ม.33 เฮ!! สปส. โอนเงินเข้าพร้อมเพย์ 4 ส.ค.นี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการจ่ายเงินเยียวยากลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบโควิด-19 ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา ใน 9 ประเภทกิจการ ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร นั้นว่าท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเร่งรัดขยับเวลาการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนไม่ให้เกินวันที่ 6 สิงหาคม โดยจะเริ่มทยอยจ่ายตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมนี้ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะระบบการโอนผ่านพร้อมเพย์สามารถดำเนินการได้วันละ 1 ล้านบัญชีเท่านั้น โดยผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยามีจำนวน 2.87 ล้านคน จะต้องใช้เวลาถึง 3 วันจึงได้สามารถโอนได้ครบภายในกำหนดเวลาวันที่ 6 สิงหาคม ตามเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี และจะทยอยโอนครั้งต่อไปให้กับนายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ทุก ๆ วันศุกร์ จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2564

ด้าน นางสาวลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า วิธีการจ่ายเงินเยียวยาสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท จะโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น ส่วนนายจ้างจะได้รับการเยียวยา จากรัฐบาล ตามจำนวนลูกจ้าง หัวละ 3,000 บาท สูงสุดลูกจ้างไม่เกิน 200 คน โดยนายจ้างบุคคลธรรมดา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเช่นกัน และนายจ้างสถานะนิติบุคคล จะโอนเข้าบัญชีธนาคารตามชื่อนิติบุคคลนายจ้าง

รองโฆษกสำนักงานประกันสังคมคม กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39 และ มาตรา 40 ในขณะนี้ ยังไม่มีกำหนดการจ่ายเงินแต่อย่างใด อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดทำรายละเอียดกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบในภายหลัง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานประกันสังคม ย้ำผู้สมัคร ม. 40 รีบชำระเงินสมทบก่อนสิ้นเดือนก.ค. นี้

สำนักงานประกันสังคม เน้นย้ำ ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่สมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา รวมถึงผู้สมัครใหม่ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม ถึง 31 กรกฎาคม 2564 ซึ่งจะเป็นผู้ประกันตนโดยสมบูรณ์เมื่อท่านชำระเงินสมทบแล้วเท่านั้น ขอให้ชำระเงินสมทบภายในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้

สามารถชำระเงินผ่านทุกช่องทางที่สะดวก เคาน์เตอร์เซอร์วิส (เซเว่น-อีเลฟเว่น)  ผ่าน Mobile Application ShoppyPay  ตู้บุญเติม ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)  ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เคาน์เตอร์เทสโก้โลตัส  เคาน์เตอร์บิ๊กซี เคาเตอร์เซ็นเพย์

โปรดชำระเงินสมทบอย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อสิทธิประโยชน์ของตัวเอง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนโทร. 1506 ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

สปส.เพิ่มค่าทำศพ เป็น 50,000 บาท

สำนักงานประกันสังคม หรือ สปส.เพิ่มค่าทำศพ กองทุนเงินทดแทน เป็น 50,000 บาท โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการขอรับเงินค่าทำศพ คือ ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายหรือสูญหาย ซึ่งสูญหาย หมายความว่า การที่ลูกจ้างหายไปในระหว่างการทำงานหรือปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้าง ซึ่งมีเหตุอันควรเชื่อว่าลูกจ้างถึงแก่ความตาย เพราะประสบเหตุอันตรายที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานหรือปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้างนั้น รวมตลอดถึงการที่ลูกจ้างหายไปในระหว่างเดินทาง โดยพาหนะนั้นได้ประสบเหตุอันตรายและลูกจ้างถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 120 วัน นับแต่วันที่เกิดเหตุ โดยสำนักงานประกันสังคมจะจ่ายให้ผู้จัดการศพของลูกจ้างในอัตรา 50,000 บาท มีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่ 12 ก.ค.64 เป็นต้นไป

‘โฆษกแรงงาน’ ยัน จ่ายเยียวยาคนงานในแคมป์ก่อสร้างแล้วตามสิทธิ

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงกรณีที่ นายไชยวัฒน์ วรรณโคตร เลขานุการและอนุกรรมาธิการ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาสถานการณ์ด้านแรงงานสวัสดิการ คุ้มครองแรงงาน และแรงงานสัมพันธ์ เขียนบทความ เรียบเรียงข้อมูลการชดเชยแรงงานจากคำสั่งปิดแคมป์คนงาน โดยระบุว่า ปิดแคมป์คนงาน 14 วัน เกือบ 7 แสนคน ยังไม่ได้รับชดเชยเยียวยาและไม่ได้ดูแลเรื่องอาหารให้กับคนงานนั้น ในเรื่องนี้นั้น ขอชี้แจงว่า กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมได้จ่ายเงินเยียวยาสุดวิสัยโควิด -19 ร้อยละ 50 ของค่าจ้างให้ลูกจ้าง 4 ประเภทกิจการ ได้แก่ 1) กิจการก่อสร้าง 2) กิจการที่พักแรม บริการด้านอาหาร 3) กิจการศิลปะความบันเทิงนันทนาการ และ 4) กิจการอื่น ๆ ไม่ใช่กิจการก่อสร้างเพียงอย่างเดียว และขณะนี้ สำนักงานประกันสังคมได้วินิจฉัยจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยโควิด-19 ไปแล้วทั้งสิ้น 17,920 ราย เป็นจำนวนเงิน 87,631,033.80 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ก.ค.64) โดยแยกเป็น กิจการก่อสร้าง 16,468 ราย เป็นเงิน 79,801,420.45 บาท ที่เหลือเป็นกิจการร้านอาหาร และภัตตาคาร 1,452 ราย เป็นเงิน 7,829,613.35 บาท
ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคม จะตัดจ่ายทุกวันศุกร์ และนำจ่ายเงินให้ลูกจ้างทุกวันจันทร์ โดยคนงานในกิจการก่อสร้างจ่ายเป็นเงินสด ส่วนกิจการอื่น ๆ ที่เหลือจะโอนเงินเข้าบัญชีลูกจ้างโดยตรง กรณีลูกจ้างที่ยังไม่ได้เงิน สำนักงานประกันสังคม ขอให้เร่งดำเนินการ ดังนี้ 1) ให้นายจ้างรับรองในระบบ e-service ว่ามีลูกจ้างกี่ราย หยุดงานตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน 2) ลูกจ้างยื่นแบบ สปส. 2 – 01/7 ให้แก่นายจ้างส่งต่อให้สำนักงานประกันสังคม เพื่อที่จะให้ประกันสังคมพิจารณาวินิจฉัยจ่ายเงินโดยเร็วต่อไป
ส่วนเรื่องอาหารในแคมป์คนงานก่อสร้างนั้น กระทรวงแรงงาน ได้ขอความร่วมมือนายจ้างสถานประกอบการดูแลเรื่องอาหารแก่คนงานทั้ง 3 มื้อ โดยกระทรวงแรงงานจะสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภค อาทิ ข้าวสาร น้ำดื่ม ไข่ไก่ ปลากระป๋อง ที่ได้รับบริจาคจากภาคเอกชน และนำไปมอบให้สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นศูนย์กลางในการกระจายอาหารไปยังคนงานตามแคมป์ต่างๆ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นมาตรการเสริมที่กระทรวงแรงงานขอความร่วมมือนายจ้างสถานประกอบการ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนและแบ่งเบาค่าใช้จ่ายด้านอาหารให้แก่คนงานอีกทางหนึ่ง