ตำรวจภูธร ภาค3 รับ-ส่งผู้ติดเชื้อโควิด -19

ตำรวจภูธรภาค 3 จัดกำลังตำรวจสนับสนุน รับ- ส่ง ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไปยังโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม สถานพยาบาล หรือ ศูนย์พักคอย ซึ่งเป็นภารกิจที่เกิดขึ้นจากความห่วงใยพี่น้องประชาชนของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีการระบาดได้รับความเดือดร้อน จึงมีข้อสั่งการไปยัง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณาจัดข้าราชการตำรวจช่วยเหลือ รับ-ส่ง ผู้ติดเชื้อโควิด -19

พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์ รอง ผบช.ภ.3 และโฆษกตำรวจภูธรภาค 3 กล่าวว่าในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 มีตำรวจรวม 520 นาย ยานพาหนะ 179 คัน เข้าร่วม ซึ่งตำรวจจิตอาสาทุกนาย จะได้รับการฝึกทั้งการสวมชุด PPE และปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T ในการป้องกันโควิด -19 ที่สำคัญตำรวจที่เข้าร่วมทุกนายต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว 2 เข็ม

ส่วนพาหนะที่ใช้มีทั้ง รถควบคุมผู้ต้องหา และ รถตู้ ซึ่งแยกมาใช้ในการรับ-ส่งผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะ ไม่ใช้ร่วมกับภารกิจอื่นเลย

รวมทั้งต้องฆ่าเชื้อ ทั้ง ก่อน และ หลังใช้ทุกครั้ง ซึ่งในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 มีภารกิจทั้งรับ-ส่ง ผู้ติดเชื้อโควิด -19 สู่ สถานพยาบาล รวมทั้งส่งผู้ที่หายป่วยจากโควิด-19 กลับภูมิลำเนา

โดยสามารถติดต่อขอใช้บริการผ่านสายด่วน 1668 1669 1330 แต่ถ้าติดขัดให้โทร 191 หรือหมายเลขโทรศัพท์ของสถานีตำรวจในพื้นที่ซึ่งการให้บริการ รับ – ส่ง ผู้ติดเชื้อโควิด -19 ครอบคลุมทั้งในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1 ถึง ภาค 9

จับหนุ่มนักพนัน บุกชิงทรัพย์ร้านสะดวกซื้อ

พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ ผบก.น.5 พร้อมตำรวจโรงพักคลองตันร่วมกันจับกุม นายซูกิปรี อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ร้านสะดวกซื้อ สาขาพัฒนาการ 38 และบริเวณสามแยกหมู่บ้านแหลมทอง พร้อมของกลาง อาวุธมีดพับ เสื้อผ้าที่สวมใส่วันก่อเหตุ จักรยานยนต์และของกลางอื่นๆ

สืบเนื่องจากมีคนร้ายบุกเข้าไปก่อชิงทรัพย์ร้านเซเว่นทั้งสองแห่ง ได้ทรัพย์สินไปจำนวนหนึ่ง โดยกล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ ภายหลังตำรวจพบจักรยานยนต์ที่ใช้หลบหนีจอดอยู่กลางซอย อ่อนนุช 46 แยก 1 เจ้าหน้าที่จึงเรียกมาสอบถามและพบว่า นายซูกิปรี รับเป็นเจ้าของจึงคุมตัวไป

สอบสวน เบื้องต้นให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ก่อเหตุชิงทรัพย์ร้านสะดวกซื้อจริง เนื่องจากต้องการทรัพย์สินไปใช้หนี้การพนันออกนไลน์ ปกติมีอาชีพรับจ้างแต่ตอนโควิด-19 ระบาดทำให้ขาดรายได้ จึงหันไปเล่นการพนันแต่ปรากฏว่าเสียจนหมดตัว ค้างจ่ายค่าที่พักหลายเดือน และยังโดนตามทวงหนี้สุดท้ายจึงตัดสินใจก่อเหตุดังกล่าว

ทางตำรวจได้แจ้งข้อหาชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยมีหรือใช้อาวุธมีด โดยมอมหน้าหรือทําด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจําหน้าได้ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทําความผิด เพื่อการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ตำรวจติดโควิด-19 ยืนยันเลือกรักษาตัวภูมิลำเนาตัวเอง

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกรณีโซเชียลมีเดียแชร์ข้อมูลซึ่งผิดไปจากความจริงว่า ตำรวจสน.บางคอแหลม สังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 8 ติดเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่สามารถรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจได้ และถูกส่งกลับไปรักษาที่บ้านเกิด จ.ยโสธร

กรณีนี้ พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 8 ชี้แจงว่า ได้มอบหมายให้ ผกก.สน.บางคอแหลม ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วสรุปได้ความว่า ข้าราชการตำรวจที่ติดเชื้อโควิด-19 คือ ร.ต.ต.ไสว ทองปิด รอง สว.จร.สน.บางคอแหลม รวมทั้งภรรยาของร.ต.ต.ไสวก็ติดเชื้อโควิดเช่นกัน

เมื่อทราบเรื่องผกก.สน.บางคอแหลม ได้ประสานไปที่โรงพยาบาลตำรวจ ต่อมาได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาลว่าสามารถรับผู้ป่วยได้ 1 ที่ และจะได้เข้ารับการรักษาในวันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2564 แต่ระหว่างนั้นภรรยาของร.ต.ต.ไสว มีอาการหนักกว่า และไม่สามารถรักษาตัวพร้อมกันที่โรงพยาบาลตำรวจด้วยกันได้ เนื่องจากเตียงไม่พอ ประกอบกับทางญาติได้ประสานกับโรงพยาบาลยโสธร ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของผู้ป่วยทั้งคู่ แจ้งว่าสามารถเข้ารับการรักษาได้ โดยทางโรงพยาบาลได้ส่งรถมารับในวันที่ 25 กรกฎาคม 64 เวลา 23:00 น. และวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 เวลา 08:00 น. ร.ต.ต.ไสวและภรรยา ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลยโสธรเป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้ ที่ผ่านมากองบังคับการตำรวจนครบาล 8 ได้จัดสวัสดิการซื้อประกันภัยการติดเชื้อโควิด ประเภท เจอ จ่าย จบ ให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัดทุกนาย

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข่าวที่ปรากฎในโซเชียลมีเดีย สร้างความไม่สบายใจให้กับร.ต.ต.ไสว จึงได้ส่งข้อความในไลน์สน.บางคอแหลม ระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง จึงอยากให้แก้ไขหรือลบโพสต์ เพราะตั้งแต่ตนติดโควิด ผู้บังคับบัญชาในสายงานที่ สน. ได้ประสานโรงพยาบาลตำรวจให้ได้ 1 เตียง แต่ตนกับภรรยาติดเชื้อโควิดทั้งคู่ จึงเลือกไม่ไปคนเดียว และได้ให้ญาติที่ต่างจังหวัดประสานหาเตียงว่างที่โรงพยาบาลยโสธร และได้กลับไปรักษาตัวที่ภูมิลำเนาทั้ง 2 คน

รวบแก๊งหลอกลงทุนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล

รวบแก๊งมังกรทำ Hybrid scam หลอกผู้เสียหายชาวไทยหลายราย ลงทุนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้

1.นายฮู สัญชาติจีน อายุ 39 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.223/2564
2.นายกวินทร์ฯ อายุ 42 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.196/2564 3.น.ส.วารินทร์ฯ อายุ 40 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.197/2564 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”

สืบเนื่องจาก ได้รับร้องเรียนจากผู้เสียหายชาวไทยเบื้องต้น 15 ราย กรณีคนร้ายชาวต่างชาติเข้ามาตีสนิทผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Instagram, Tinder, Hello talk สอนภาษาต่างประเทศ เมื่อได้ทำความรู้จักและสนิทสนมกับมากขึ้น คนร้ายจะแอบอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตลาดสกุลเงินดิจิทัล ชักชวนให้ลงทุนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล อาทิ BTC USDT BNB เป็นต้น ผ่านทางแอพพลิเคชั่น BLACK STONE, ZON XIN , Grayscale , PKEX , BLACK ROCK เป็นต้น

โดยอ้างว่าหากซื้อขายตามคำแนะนำของคนร้าย จะได้ผลตอบแทนที่สูง ผู้เสียหลงเชื่อจึงได้ซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลไปตามคำแนะนำของคนร้าย ในคราวแรก ๆ ได้ผลตอบแทนตามที่กล่าวอ้าง แต่ต่อมาภายหลัง ไม่ได้ผลตอบแทนแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งเมื่อผู้เสียหายมีความประสงค์จะถอนเงินออกจากระบบ ซึ่งแสดงยอดเงินที่ตนเองมีอยู่ ก็ไม่สามารถถอนได้ และจะถูกคนร้ายชักจูง หลอกลวงให้โอนเงินเพิ่มเข้าไปในระบบ ซึ่งเมื่อโอนเข้าไปแล้วก็ไม่สามารถนำเงินออกจากระบบได้

ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกหลอกลวง จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามท้องที่เกิดเหตุต่างๆ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุมได้ทำการสืบจนทราบว่ากลุ่มคนร้าย มีทั้งชาวจีนและชาวไทยพักอาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยกลุ่มคนร้ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำโดยกลุ่มชาวจีน จะสั่งหรือจ้างให้คนไทยไปตระเวนซื้อสมุดบัญชีธนาคารจำนวนมาก เมื่อมีเงินจากผู้เสียหายโอนเข้ามาแล้ว จะใช้ให้คนไทยไปตระเวนกดเงินออกจากบัญชี เพื่อนำเงินสดมาให้ตน และจากนั้นจะนำเข้าไปซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลต่างๆ เพื่อให้ยากต่อการสืบสวนติดตาม

เบื้องต้นนำตัว 3 คนร้ายส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดยขณะจับกุมสามารถยึดเงินสดจำนวน 640,000 บาท สมุดบัญชีธนาคาร พร้อมบัตรกดเงินสด จำนวนหลายบัญชี และอายัดทรัพย์สินรถยนต์จำนวน 2 คัน รวมมูลค่า 8,000,000 บาท

ภายหลังการจับกุมได้ทำการสืบสวนต่อทราบว่ายังมีชาวจีนอยู่ในขบวนการดังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง จะได้สืบสวนขยายผลต่อไป

เยาวชนชายหญิงยกพวกตีกัน ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว

พ.ต.อ.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พ.ต.อ.พรเทพ เพ็ชรรักษ์ ผกก.สภ.บางบัวทอง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน นำหมายค้นของศาลจังหวัดนนทบุรีเข้าตรวจค้นยังบ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

หลังสืบทราบว่าบ้านพักหลังนี้เป็นที่รวมตัวกันของกลุ่มออฟไลน์และนครปาร์ควิว ที่นัดหมายยกพวกไปปะทะกับกลุ่มหลังบาง ช่วงกลางดึกวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา บริเวณหน้าศูนย์การค้าเดอะสแควร์ ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

โดยมีผู้เห็นเหตุการณ์สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นทั้งสองกลุ่ม กำลังขี่ รถ จยย.ไล่ขว้างระเบิดใส่กัน จนเสียงดังสนั่นในช่วงเวลาเคอร์ฟิว

จากการเข้าตรวจค้นภายในบ้านพักพบกลุ่มผู้ก่อเหตุ 12 คน เป็นเยาวชนวัยรุ่นชาย 6 คน หญิง 6 คน พร้อมของกลาง จำนวน 8 รายการ ประกอบด้วยวัตถุระเบิดปิงปอง จำนวน 2 ลูก ประทัดบอลที่ผ่าเอาดินปืนออกแล้ว จำนวน 16 ลูก ตะปูเข็ม 1.5 ซม.จำนวน 1 ห่อ ก้อนหิน 5 ก้อน เทปพลาสติกสีดำ 1 ม้วนรถจักรยานยนต์ 1 คัน และเสื้อคลุมแขนยาวสีน้ำเงิน-ขาว ในวันเกิดเหตุ

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนหน้านี้สมาชิกของแก็งออฟไลน์ 2 คน ถูกแก็งหลังบาง อุ้มขึ้นรถ จยย.ไปทำร้ายร่างกายแล้วปล่อยให้เดินกลับบ้าน ทำให้นายตี๋หัวหน้าแก็งออฟไลน์โกรธและไม่พอใจ จึงโทรท้าทายและนัดหมายให้แก็งหลังบางมาเจอกันที่หน้าสถานีรถไฟฟ้าคลองบางไผ่ในคืนดังกล่าว ก่อจะก่อเหตุขี่ รถ จยย.แล้วใช่ระเบิดปิงปองที่ทำเองไล่ขว้างปาใส่กันแล้วแยกย้ายกันหลบหนี

เบื้องต้นทางตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันทำวัตถุระเบิดและร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค อันเป็นความผิดตามกำหนดออกตาความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 28

นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนกลุ่มผู้ต้องหาแก็งค์ออฟไลน์อีกจำนวน 10 คน ที่ร่วมกันก่อเหตุปาระเบิดในคืนดังกล่าวในตอนนี้ ส่วนผู้ต้องหา 12 รายที่ควบคุมตัวได้ในบ้านพักหลังนี้ พบว่ามีบางคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุปาระเบิดในคืนดังกล่าวด้วย ซึ่งจะต้องแจ้งข้อหาเพิ่มเติมต่อไป

104 รายฝ่าฝืนเคอร์ฟิวคืนที่สอง

พล.ต.ต.ยิ่งยศ  เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีวิทยุสั่งการ ลงวันที่ 10 ก.ค.2564 สั่งการและกำชับการปฏิบัติไปยังทุกหน่วยงานในสังกัด ให้ปฏิบัติตามประกาศข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 ก.ค.64 ในการควบคุม ระงับ ยับยั้ง การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยเฉพาะพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยให้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด ฝ่ายปกครอง เพื่อตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตรวจตราห้ามมิให้บุคคลออกนอกเคหสถานในห้วงระหว่างเวลา 21.00-04.00 น. นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติสรุปภาพรวมผลการปฏิบัติการตั้งจุดตรวจ ประจำวันที่ 14 ก.ค.2564 (ผลคืนวันที่ 13 ก.ค. 64) ดังนี้

1. พื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล

  • ฐานความผิดออกนอกเคหสถาน จำนวน 17 ราย

2. พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1                 

  • ฐานความผิดออกนอกเคหสถาน จำนวน 29 ราย

3. พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 7                 

  • ฐานความผิดออกนอกเคหสถาน จำนวน 14 ราย

4. พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 9                 

  • ฐานความผิดออกนอกเคหสถาน จำนวน 44 ราย

รวมทั้งสิ้นจำนวน 104 ราย

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังได้กำชับเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายยึดการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด หากพื้นที่ใดมีการปล่อยปละละเลย ก็จะพิจารณาความบกพร่องทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาดต่อไป นอกจากนี้หากพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งมายังสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติหมายเลข 191 และ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

cr.https://www.policetv.tv/archives/18960?fbclid=IwAR1iWW_cK08HKu3Rz_eQrUDFl6a102-7Bat-oKbehRuo_t3PVPgwU-MvokM

ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวคืนแรกรวม 299 คน

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่าตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2564 มีวิทยุสั่งการและกำชับการปฏิบัติไปยังทุกหน่วยงานในสังกัด ให้ปฏิบัติตามประกาศข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 ก.ค.64 ในการควบคุม ระงับ ยับยั้ง การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) โดยเฉพาะพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยให้ประสานงานกับ ผู้ว่าราชการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด ฝ่ายปกครอง เพื่อตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตรวจตราห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 21.00-04.00 น. นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติสรุปภาพรวมผล การปฏิบัติการตั้งจุดตรวจ ประจำวันที่ 13 ก.ค.2564 ในฐานความผิดออกนอกเคหสถาน พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด รวม 299 ราย โดยแบ่งออกตามพื้นที่ดังนี้

  1. พื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล 57 ราย
  2. พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 187 ราย
  3. พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 7 7 ราย
  4. พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 9 48 ราย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังได้กำชับ เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายยึดการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด หากพื้นที่ใดปล่อยปละละเลย ก็จะพิจารณาความบกพร่องทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาดต่อไป

นอกจากนี้หากพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งมายังสายด่วน 191 และ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง