ไขกุญแจความสำเร็จสร้างเครือข่ายเอสเอ็มอีไทยฝ่าโควิด-19

สสว. ร่วมกับ ม.ศิลปากร เดินหน้าสร้างความเข้มแข็งชูการสร้างเครือข่ายเอสเอ็มอีไทยกลุ่มดิจิทัล คอนเทนท์ หนึ่งจิ๊กซอร์สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ  จัดกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content ภายใต้โครงการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์ SME ประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 พร้อมเปิดเวที Business Matching เพื่อนำเสนอผลงานต่อนักลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายผู้ประกอบการในคลัสเตอร์อื่น รวมทั้งกลุ่มผู้ซื้อและกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ  คาดเกิดการสร้างรายได้ในอุตสาหกรรมจากกิจกรรมฯ ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทและคาดต่อยอดรายได้ให้กับผู้ประกอบเพิ่มขึ้นอีก

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นการเร่งพัฒนายกระดับเอสเอ็มอีไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างขีดความสามารถทางทำธุรกิจในระดับสากลมาก ซึ่งกลุ่มเอสเอ็มอีนับเป็นฐานเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของประเทศที่ทาง สสว. ให้การส่งเสริมและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง  ล่าสุดได้จัดกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content ภายใต้โครงการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์SME ประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยศิลปากร เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญของการรวมกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มดิจิทัล คอนเทนท์ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอร์สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยฝีมือและผลงานคุณภาพระดับสากลของผู้ประกอบการไทยกลุ่มดิจิทัล คอนเทนท์ทำให้สามารถสร้างเม็ดเงินในอุตสาหกรรมฯ ได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท อ้างอิงข้อมูลจากการสำรวจและคาดการณ์ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลกับสถาบันไอเอ็มซีมีการคาดการณ์ว่าในปี 2565 มูลค่าอุตสาหกรรม อยู่ที่ 45,094 ล้านบาทและเติบโต 15%  ซึ่งมีการเติบโตทั้งในส่วนแอนิเมชั่น เกมและคาแรคเตอร์

“ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกทรุดตัวลงอย่างหนัก สสว. ได้เล็งเห็นความสำคัญของการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อการกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการและใช้แนวคิดในการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์มาเป็นเครื่องมือเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการเฉพาะกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีความต้องการความช่วยเหลือที่แตกต่างกันจำเป็นต้องมีแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาเฉพาะสำหรับเอสเอ็มอีแต่ละกลุ่ม โดยเน้นการกระตุ้นความเชื่อมโยงกันระหว่างผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เน้นการพัฒนาผู้ประกอบการในคลัสเตอร์ให้มีศักยภาพเพื่อแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมไปถึงการพัฒนาช่องทางการตลาดในเชิงรุกผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ พร้อมกับสร้างการรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์ของไทยให้กับ ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ โดยการพัฒนา Digital Content Cluster และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เข้มแข็ง มุ่งให้เกิดการขยายสัดส่วนมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมของเอสเอ็มอีต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ  ดังนั้นการสร้างกลุ่มหรือคลัสเตอร์ทำให้เกิดความเข้มแข็งและอยู่รอดได้” นายวีระพงศ์ มาลัย กล่าว

ทางด้าน ผศ.ดร. ณัฐพร กาญจนภูมิ คณบดี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ม.ศิลปากร กล่าวว่า ม.ศิลปากร เป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านศิลปะและการออกแบบ มีนโยบายในการส่งเสริมสนับสนุน และประสานความร่วมมือด้านงานบริการวิชาการระหว่างหน่วยงาน องค์กร เพื่อถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ระหว่างบุคลากรทางสายวิชาการและสายวิชาชีพ เพื่อให้ได้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วน  ซึ่ง ม.ศิลปากร ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและสร้างเครือข่ายดิจิทัลคอนเทนต์ ร่วมกับ สสว. ในกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content ครั้งนี้ นับเป็นบทบาทที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งในฐานะภาคการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมดิจิทัล คอนเทนท์  สำหรับคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เปิดหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาบุคลากรทางด้านดิจิทัล คอนเทนท์มากว่า 17 ปี โดยมีความเชื่อมั่นว่าการสร้างบุคคลากรที่สามารถบูรณาการความรู้ด้านการออกแบบและสร้างสื่อ เทคโนโลยีด้านดิจิทัลและธุรกิจการตลาดผสมผสานเข้าด้วยกันนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรมฯ ได้

สำหรับการจัดกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content ภายใต้โครงการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์ SME ปี 2564 ถือเป็นโอกาสสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ในการสร้างความร่วมมือของหน่วยงานรัฐสองหน่วยงาน ระหว่าง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กับ มหาวิทยาลัยศิลปากร รวมถึงการไปร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก อาทิ สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT)  สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA)  รวมทั้งพันธมิตรในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ได้นำผลงานของผู้ประกอบการในเครือข่ายดิจิทัลคอนเทนต์ไปต่อยอด ทั้งด้านการผลิต และการจัดจำหน่ายอี-คอมเมิร์ซ  ทั้งนี้การดำเนินงานจัดกิจกรรมประจำปีนี้เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนและจะมีต่อเนื่องจนถึงกันยายนนี้ ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันองค์ความรู้ครอบคลุมกลุ่มผู้ประกอบการ 3 เครือข่าย ประกอบด้วย

  1. เครือข่ายผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมการออกแบบและซื้อขายลิขสิทธิ์ และสินค้าตัวละคร (Character Design, Licensing and Merchandising)
  2. เครือข่ายผู้ประกอบการด้านการสร้างคอนเทนท์แอนิเมชั่น การรับผลิตแอนิเมชั่น และให้บริการด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ (Animation IP, Animation & CG Service)
  3. เครือข่ายผู้ประกอบการด้านภาพกราฟฟิกเคลื่อนไหวและสื่อใหม่ (Motion Graphics and New Media)

นอกจากนี้กิจกรรมพัฒนา คลัสเตอร์ Digital Content ยังประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ อาทิ การแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ร่วมกันแบบบูรณาการของ 3 คลัสเตอร์ การเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ประกอบการ ส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการไปสู่ตลาดต่างประเทศให้มีโอกาสในการนำเสนอสินค้า เป็นต้น

“กลุ่มคลัสเตอร์ Digital Content จึงเป็นกลุ่มคลัสเตอร์หนึ่งที่ทาง สสว. ให้ความสำคัญและสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในการพัฒนาศักยภาพเอสเอ็มอีและคลัสเตอร์ดิจิทัล คอนเทนท์ให้มีความเข้มแข็งจะต้องอาศัยการร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานภาคีต่างๆ หลายหน่วยงาน ซึ่งที่ผ่านมากิจกรรมนี้ได้สนับสนุนให้ประกอบการในคลัสเตอร์ดิจิทัล คอนเทนท์ ได้มีเวทีและโอกาสในการนำเสนอผลงานต่อนักลงทุน สื่อ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงไปยังเครือข่ายผู้ประกอบการในคลัสเตอร์อื่น รวมทั้งกลุ่มผู้ซื้อและกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่กิจกรรม Business Matching ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสามารถกระตุ้นและต่อยอดให้เกิดมูลค่าในอุตสาหกรรมไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท” นายวีระพงศ์ มาลัย กล่าวปิดท้าย

โลตัส ผนึก สสว. – SME D Bank ดันสินค้า SME ขึ้นห้าง

โลตัส จับมือ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ผนึกกำลังส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ SME ไทย ให้คำปรึกษา มอบองค์ความรู้ และบริการด้านการเงินให้กับผู้ประกอบการ SME พร้อมทั้งเปิดโต๊ะเจรจาธุรกิจการค้ากับจัดซื้อของโลตัสโดยตรง เพิ่มโอกาสการวางจำหน่ายสินค้าในห้างค้าปลีก และแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยมีแผนจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจการค้าทุกวันศุกร์ที่ 3 ของเดือน ส่งเสริมให้ SME ไทย มีช่องทางการจำหน่ายและประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ แข่งขัน และเติบโต ให้ผู้ประกอบการ SME ไทยมีรายได้ยั่งยืน

นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบุคคลและความยั่งยืน โลตัส กล่าวว่า โลตัส ให้การสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย SME มาอย่างต่อเนื่องผ่านการรับซื้อสินค้าเพื่อจำหน่ายในสาขาและช่องทางออนไลน์ของเรา รวมถึงการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและผู้ประกอบการ SME ให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน เรามีแผนงานที่ชัดเจนในการเพิ่มปริมาณการรับซื้อสินค้าเกษตรและสินค้า SME อย่างน้อย 10% ทุกปี เป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อบูรณาการการสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย โลตัส ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ สสว. และ SME D Bank เพื่อเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามแผนงานที่เราได้วางไว้ ซึ่งการร่วมมือกับทั้งสององค์กรนอกจากจะช่วยให้เราได้เข้าถึงผู้ประกอบการที่มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ยังช่วยให้เราสามารถส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ SME ไทยได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ผ่านความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านของแต่ละองค์กร ช่วยให้ผู้ประกอบการได้เข้าใจ และเข้าถึงตลาดผู้บริโภค และการประชาสัมพันธ์ได้มากยิ่งขึ้น โดยเรามีแผนงานที่จะจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจการค้าทุกวันศุกร์ที่ 3 ของเดือน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SME ได้นำแสนอสินค้าให้กับทีมงานจัดซื้อของโลตัสได้โดยตรง เพิ่มโอกาสการวางจำหน่ายสินค้าในห้างค้าปลีก และแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบัน

ที่ผ่านมา โลตัส สสว. และ SME D Bank ได้จัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจการค้าแบบออนไลน์โดยมีจำนวนผู้ประกอบการเข้าร่วมรวม 154 ราย และกำลังอยู่ในการเจรจาความเป็นไปได้ในการจัดซื้อสินค้าเพื่อวางจำหน่าย 114 ราย โดยในกิจกรรมเจรจาการค้าครั้งที่สอง ในวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านนี้ โลตัสได้มีการตกลงซื้อขายกับผู้ประกอบการ จำหน่ายสบู่เหลวสมุนไพรจากสารสกัดของใบพลู เนื่องจากผู้ประกอบการ SME รายนี้มีความพร้อมในการจัดส่งผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน และมีการวางกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่ชัดเจน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำหรับเกณฑ์การพิจารณาของโลตัส นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการหลายรายที่โลตัสให้ความสนใจและอยู่ในระหว่างการเจรจา จากหลากหลายหมวดหมู่สินค้าอาทิ กลุ่มสินค้าอาหารแห้ง กลุ่มสินค้าอาหารสดและอาหารพร้อมทาน กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ เป็นต้น

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน มีผลกระทบเป็นอย่างมากกับผู้ประกอบการ SME รายย่อย เราจึงอยากเชิญชวนผู้ประกอบการ SME ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม นำเสนอสินค้ากับโลตัส เพื่อเปิดโอกาสในการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่สาขาของโลตัส ได้ที่ www.TescoLotus.com/SME โดยโลตัสพร้อมช่วยเหลือในการพัฒนาสินค้า ผลักดันสินค้าให้ได้มาตรฐาน และให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการ SME เป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยต่อไป

นาย วีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า “จากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแข่งขันอย่างสูง บวกกับการระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ และเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ซึ่งพบว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่เกิดจากการผู้ประกอบการเหล่านั้นมีการปรับระบบและวิธีการทำงาน และหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพก็คือการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ เช่น การใช้แพลตฟอร์ม  หรืออาจจะมีพันธมิตรการค้าใหม่

นโยบายของ สสว. ในปี 2564 จึงมุ่งเน้น 1) เพิ่มผลิตภาพ และลดต้นทุน 2) เพิ่มช่องทางการตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ในรูปแบบ Online และ Offline 3) เชื่อมโยงแหล่งเงินทุน ทั้งผ่านกองทุน สสว. และเครือข่ายพันธมิตร เช่น ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME D Bank ซึ่งการลงนามความร่วมมือในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียน SMEs ผู้รับบริการภาครัฐ กับบริษัทบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์ม หรือพันธมิตรการค้าที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการในการกระจายสินค้าไปสู่มือผู้บริโภคทั่วประเทศ

ความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการแล้ว ยังเป็นการเติมเต็มสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของ สสว. ในการเจาะตลาดโมเดิร์นเทรดอย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย เนื่องจากจากจำนวนสาขาของโลตัสที่มีมากกว่า 2,000 สาขา บวกกับสินค้าของกลุ่มผู้ประกอบการใหม่ (Early Stage) วิสาหกิจรายย่อย (Micro) วิสาหกิจขนาดย่อม (Small) ทั่วประเทศ ที่มีหลากหลาย จะได้มีโอกาสจับคู่เจรจาธุรกิจกับโลตัส สิ่งเหล่านี้จะเป็นการขยายช่องทางการค้าของผู้ประกอบการให้เติบโตและเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติโควิด โดยช่องทางการจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการ อาจเป็นที่โลตัสทั่วประเทศ หรือตามความเหมาะสมตามความต้องการของตลาดและผู้ประกอบการ

นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า “SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อเอสเอ็มอีไทย  นอกจากภารกิจหลักในการสนับสนุนด้านเงินทุนแล้ว อีกภารกิจสำคัญ คือ การยกระดับและพัฒนาให้เอสเอ็มอีไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการเติมความรู้ สนับสนุนการสร้างมาตรฐาน และส่งเสริมการตลาด เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยอย่างรุนแรง SME D Bank จึงมุ่งประสานหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อจะหาทางช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทยให้สามารถประคับประคองธุรกิจ ก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้

ดังนั้น ความร่วมมือกับ โลตัส และ สสว. ครั้งนี้ จึงมีความสำคัญมากในการช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งกลุ่มลูกค้า SME D Bank และผู้ประกอบการทั่วไป  สามารถขยายช่องทางตลาดผ่านเครือข่ายของโลตัส ซึ่งมีศักยภาพการตลาดสูงมาก ช่วยให้สินค้าของเอสเอ็มอีสามารถส่งตรงถึงมือผู้บริโภค เป็นการเพิ่มรายได้ เพิ่มยอดขาย รักษาการจ้างงาน รวมถึง ได้รับความรู้ สสว. ช่วยให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปได้ ขณะเดียวกัน เมื่อเอสเอ็มอีที่ผ่านการคัดเลือกจำเป็นต้องขยายกำลังผลิต  หรือปรับปรุงมาตรฐานโรงงานผลิต รองรับการขยายตลาด ทาง SME D Bank เข้ามาเติมเต็ม ด้วยการจัดเตรียมสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษไว้รองรับ เช่น สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash กู้ได้ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3% ต่อปีใน 2 ปีแรก  ผ่อนนานสูงสุด 5 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุด 12 เดือน ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.875% ต่อปี นาน 3 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท และสินเชื่อฟื้นฟู อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ได้รับการยกเว้นดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุด 12 เดือน เป็นต้น

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ หรือแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อ ติดต่อได้ที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ SME D Bank รวมถึงสาขา SME D Bank ทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ เช่น LINE Official Account: @SMEDevelopmentBank , เว็บไซต์ธนาคาร (https://www.smebank.co.th/) และแอปพลิเคชัน SME D Bank ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android เป็นต้น หรือสอบถาม Call Center 1357