แพ็คพริ้นท์ 2022 โชว์เทคโนโลยีการพิมพ์และการบรรจุภัณฑ์อนาคต

นายเกอร์นอท ริงลิ่ง ประธานเมสเซ่ฯ

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยบริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย สมาคมการพิมพ์ไทย สมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย และสมาคมบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกไทย เปิดมหกรรมการพิมพ์ บรรจุภัณฑ์นานาชาติ และบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกครั้งยิ่งใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชีย หรือ “Pack Print International 2022 and Corrutec Asia 2022” ชูไฮไลท์นวัตกรรมแห่งโลกอนาคตจากกว่า 200 บริษัทยักษ์ใหญ่จาก 28 ประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการในหลากอุตสาหกรรมพร้อมนำนวัตกรรมใหม่ ๆ ไปใช้กับการแข่งขัน อีกทั้งยังมุ่งยกระดับการพิมพ์ การบรรจุภัณฑ์ และการผลิตกระดาษลูกฟูกรับนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่อรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 22 ตุลาคม 2565 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค

คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานในพิธีเปิด กล่าวว่า การรวมตัวจัดมหกรรมการพิมพ์ บรรจุภัณฑ์นานาชาติ และบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกครั้งยิ่งใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชีย ดำเนินมากว่า 20 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่ของการพิมพ์ บรรจุภัณฑ์ และกระดาษลูกฟูกได้ตระหนักถึงการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้มากขึ้น รวมทั้งชี้ให้ต่างชาติมั่นใจถึงนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนเศรษฐกิจ เช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เมืองและเครือข่ายนวัตกรรม การส่งเสริมการลงทุน โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมุ่งผลักดันให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมในงานได้มีโอกาสเลือกนวัตกรรมที่ตรงกับความต้องการจากทั่วโลกได้ในงานนี้ เช่น เทคโนโลยี AI บิ๊กดาต้า ระบบอัตโนโมติ ความปลอดภัย ดิจิทัล การยืดอายุสินค้า การรักษาสิ่แวดล้อม

คุณเกอร์นอท ริงลิ่ง กรรมการผู้จัดการบริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย กล่าวว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในส่วนภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทยกำลังกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนความต้องการบรรจุภัณฑ์ การพิมพ์ และการใช้กระดาษลูกฟูกให้เติบโตมากขึ้น โดยนอกจากในด้านสิ่งแวดล้อมแล้วยังคาดว่าภาพรวมการเติบในระดับเอเชียจะมีทิศทางใหม่ ๆ ที่ผู้ประกอบการไทย จะนำไปใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจได้ดี

“ปฐม”เชื่อมั่น“เกรียงไกร”เหมาะสมนั่งตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

คุณปฐม สุทธาธิกุลชัย อดีตนายกสมาคมการพิมพ์ไทย 4 สมัย กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยว่า ทุกฝ่ายพร้อมให้การสนับสนุนคุณเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมฯ วาระปี 2565-2567 ต่อจากคุณสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาฯคนปัจจุบันที่จะหมดวาระลงในปลายเดือนมีนาคม ศกนี้  ซึ่งมีกำหนดให้มีการประชุมใหญ่และเลือกตั้งกรรมการชุดใหม่ในวันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ณ ห้างสรรพสินค้าไอคอนสยาม

บทบาทที่ผ่านมาของคุณเกรียงไกร ในฐานะอดีตนายกสมาคมการพิมพ์ไทย 3 สมัย เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ได้สร้างคุณูปการให้แก่อุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยไว้มาก ซึ่งคนทั่วไปรู้จักกันดี และยิ่งมีโอกาสได้ไปช่วยงานการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ ในฐานะรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รับหน้าที่เป็นประธานสายงานส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรม 45 กลุ่มและ 11 คลัสเตอร์ ทำให้เห็นบทบาทและความสามารถมากยิ่งขึ้น

เกรียงไกร เธียรนุกุล

“อุตสาหกรรมการพิมพ์ไทย จะต้องคึกคักและมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอย่างแน่นอน เพราะการเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ย่อมจะต้องสามารถผลักดันกิจกรรมต่าง ๆ ได้คล่องตัว  เพราะคุณเกรียงไกรเกิดและเติบโตมาจากอุตสาหกรรมการพิมพ์ย่อมต้องเข้าใจพื้นฐานความต้องการได้เป็นอย่างดี ยิ่งในสภาพการณ์ปัจจุบันที่เกิดผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทำให้โรงพิมพ์ล้มหายตายจากไปกว่าครึ่งในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา  ผมคนหนึ่งล่ะที่คิดว่า คุณเกรียงไกร จะเป็นผู้ที่จะมาช่วยอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยได้ไม่มากก็น้อย” คุณปฐมกล่าว

ส.อ.ท. เผยตัวเลข มิ.ย 64 ผลิต-ขาย-ส่งออก รถเพิ่มขึ้น

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศในเดือนมิถุนายน 2564 ดังต่อไปนี้

การผลิต

จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมิถุนายน 2564 มีทั้งสิ้น 134,245 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 87.22 จาก​ฐาน​ต่ำ​ของ​ปีก่อน​เนื่องจาก​การ​ระบาด​ของ​โค​วิด-​19​​ แต่ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2564 ร้อยละ 4.23 เพราะผลิตได้ไม่เต็มที่จากการขาดชิ้นส่วนในบางรุ่น

จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 844,601 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 39.34

รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ 49,714 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 92.71

ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 มีจำนวน 296,977 คัน เท่ากับร้อยละ 35.16 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 29.93

รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ 0 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 100 รวมเดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ 29 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 73.39

รถยนต์บรรทุก เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ทั้งหมด 84,531 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 84.20 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ทั้งสิ้น 547,595 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 45.07

รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ทั้งหมด 81,615 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 80.96 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ทั้งสิ้น 531,922 คัน เท่ากับร้อยละ 62.98ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 44.32 โดยแบ่งเป็น

  • รถกระบะบรรทุก 129,758 คัน         เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 13
  • รถกระบะดับเบิลแค็บ 335,608 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 62
  • รถกระบะ PPV 66,556 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 81

รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน – มากกว่า 10 ตัน เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ 2,916 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 269.11 รวมเดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ 15,673 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 76.16

ผลิตเพื่อส่งออก

เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ 74,574 คัน เท่ากับร้อยละ 55.55 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 74.18 ส่วนเดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 486,237 คัน เท่ากับร้อยละ 57.57 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 40.37

รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตเพื่อการส่งออก 22,516 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 74.12 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 143,701 คัน เท่ากับร้อยละ 48.39 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 28.41

รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2564 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 52,058 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 74.21 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 342,536 คัน เท่ากับร้อยละ 64.40 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 46.08 โดยแบ่งเป็น

  • รถกระบะบรรทุก 41,621 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 16
  • รถกระบะดับเบิลแค็บ 265,618 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 56
  • รถกระบะ PPV 35,297 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 14

ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ

เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตได้ 59,671 คัน เท่ากับร้อยละ 44.45 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 106.55 และเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ผลิตได้ 358,364 คัน เท่ากับ ร้อยละ 42.43 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 37.97

รถยนต์นั่ง เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 27,198 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 111.39 ยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ 153,276 คัน เท่ากับร้อยละ 51.61 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 แล้ว เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.39

รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมิถุนายน 2564 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 29,557 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 94.24 และตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ผลิตได้ทั้งสิ้น 189,386 คัน เท่ากับร้อยละ 35.60 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 41.26 ซึ่งแบ่งเป็น

  • รถกระบะบรรทุก 88,137 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 06
  • รถกระบะดับเบิลแค็บ 69,990 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 67
  • รถกระบะ PPV 31,259 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 22

รถจักรยานยนต์

เดือนมิถุนายน 2564 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 216,671 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 141.28 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 173,721 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 129.13 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 42,950 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 207.22

ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,261,176 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 43.73 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 1,005,313 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 47.30 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 255,863 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 31.26

ยอดขาย

ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมิถุนายน 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 61,758 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 15.07 จาก​ฐาน​ต่ำ​ปี​ที่แล้ว​จาก​การ​ระบาด​ของ​โค​วิด​19​ ยอดขาย​อยู่​ใน​ระดับ​ต่ำเนื่องจาก​การ​ระบาด​ของ​โค​วิด​19​ ระลอกสามที่รุนแรงมากขึ้น​ มีการ​จำกัดการทำกิจกรรม​ทาง​เศรษฐกิจ​มากขึ้น​ส่งผล​ให้กำลังซื้อ​ของ​ประชาชน​ลดลง​ สถาบัน​การเงิน​เข้มงวด​ใน​การอนุมัติ​สินเชื่อ​ และ​รถยนต์​บางรุ่น​ผลิตไม่​พอ​กับความต้องการ​เพราะ​ขาดชิ้นส่วน​ และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2564 ร้อยละ 10.40

ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 161,105 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 28.86 และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2564 ร้อยละ 13.55

ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 รถยนต์มียอดขาย 373,193 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ในระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 13.57  ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 872,279  คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 19.17

การส่งออก

รถยนต์สำเร็จรูป 

เดือนมิถุนายน 2564 ส่งออกได้ 83,022 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 65.88 เพราะ​ยอดขาย​รถ​ยนต์​ใน​ประเทศ​ของประเทศ​คู่​ค้า​เพิ่มขึ้น อาทิ ​ออสเตรเลีย​ นิวซีแลนด์​ ญี่ปุ่น​ เวียดนาม​ มาเลเซีย​ ยุโรป ​ และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2564 ร้อยละ 4.46 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 49,278.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 68.54

เครื่อง​ยนต์​และ​ชิ้นส่วน​ก็​ส่งออก​เพิ่มขึ้น​จาก​ประเทศ​คู่​ค้า​เปิด​โรงงาน​ผลิต​รถยนต์​เกือบ​เป็น​ปกติ​แล้ว​ ดังนี้

  • เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 3,000.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 32
  • ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 16,584.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 72
  • อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,219.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 74

รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมิถุนายน 2564 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 71,083.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 97.12

เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 473,489 คัน โดยส่งออกเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ในระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 35.07 มีมูลค่าการส่งออก 270,708.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 44.01

  • เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 18,732.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 16
  • ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 102,649.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน2563 ร้อยละ 66
  • อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 11,906.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 52

รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 403,996.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 48.31

รถจักรยานยนต์

เดือนมิถุนายน 2564 มีจำนวนส่งออก 95,089 คัน (รวม CBU + CKD) เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 136.96 และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2564 ร้อยละ 50.83 โดยมีมูลค่า 7,190.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 54.03

  • ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 1548.36
  • อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 21 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 0.03

รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนมิถุนายน 2564 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ 7,482.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2563 ร้อยละ 56.42

เดือนมกราคม มิถุนายน 2564 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 487,115 คัน (รวม CBU + CKD) เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 36.87 โดยมีมูลค่า 41,737.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 34.55

  • ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,223.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 42
  • อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 54.71

รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 43,896.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 ร้อยละ 35.88

เดือนมิถุนายน 2564 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 78,566.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 92.35

เดือนมกราคม มิถุนายน 2564 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 447,893.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 46.99

เสนอ 4 แนวทางต่อนายกรัฐมนตรี ช่วยภาคธุรกิจ

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย หาแนวทางช่วยเหลือ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ โดยเตรียมยื่นเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเร่งด่วน เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถขับเคลื่อนไปได้ในสถานการณ์วิกฤตครั้งนี้

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม 2564 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า “สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย มีความเป็นห่วงผู้ประกอบการ SMEs ที่กำลังเผชิญปัญหาในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยได้เสนอแนวทางต่อภาครัฐไปแล้วหลายอย่างโดยเฉพาะด้านการเงิน แต่ก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่ ดังนั้น ทั้ง 2 หน่วยงานมีความเห็นร่วมกันในการที่จะเสนอท่านนายกรัฐมนตรีพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือ SMEs เพิ่มเติม 4 แนวทาง ดังนี้

1. ให้พิจารณาเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันความเสียหายผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 60 เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาในช่วงนี้ได้มากขึ้น
2. พิจารณาให้ผู้ประกอบการที่เป็นลูกหนี้สถาบันการเงินที่เข้าเกณฑ์ NPL ที่เกิดขึ้นในช่วงโควิดจนถึง 3 ปี นับจากสิ้นสุดช่วงโควิด ไม่มีประวัติข้อมูลที่บ่งบอกถึงประวัติการชำระหนี้หรือสินเชื่อใน Credit Bureau (บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด)
3. ขอให้พิจารณาผ่อนคลายเงื่อนไขการปล่อยกู้ตามประกาศ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เขียนไว้ว่า “ให้สภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการที่ยังพอมีศักยภาพ” โดยให้เป็นดุลยพินิจของสถาบันการเงิน ซึ่งการเข้มงวดกับคำว่าศักยภาพที่ยึดโยงกับรายได้ในอนาคตที่ไม่แน่นอนจากสถานการณ์วิกฤติไม่ปกติจะเป็นอุปสรรคลำดับแรก ที่สถาบันการเงินจะยังไม่พิจารณาปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มผู้ประกอบการที่เป็น NPLs จากผลกระทบของ COVID-19
4. ให้ความช่วยเหลือในเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนด้านสาธารณสุข โดยการจัดหา Rapid Test ให้กับผู้ประกอบการ SMEs

นอกเหนือจากแนวทางข้างต้น นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ทางสมาคมฯ ได้ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินแนวทางเร่งด่วนในการช่วยเหลือ SME เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจให้สามารถประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นช่วงโควิด  โดยเริ่มจากขอความร่วมมือจากบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพให้ชำระค่าสินค้าและบริการล่วงหน้าบางส่วน  ขยายระยะเวลาเรียกเก็บหนี้  ลดระยะเวลาชำระหนี้  และเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ลูกจ้าง/พนักงาน โดยจ่ายเงินเดือนทุก 15 วัน นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือจากบริษัทจดทะเบียนเพื่อระดมความช่วยเหลือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในการจัดทำ Rescue Box สำหรับผู้ป่วยโควิดที่แยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) หรือผู้ป่วยโควิดที่แยกกักตัวในชุมชน (Community Isolation) และขอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มธุรกิจเพื่อประคองเศรษฐกิจของประเทศ อาทิ ภาคส่งออก ภาคก่อสร้าง และโรงงานต่างๆ ด้วย”

สำหรับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้จัดตั้งกองทุน ส.อ.ท. ช่วยไทยสู้ภัยโควิด-19 เพื่อให้ความช่วยเหลือในเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนด้านสาธารณสุข ทั้งการจัดหา Rapid Testให้กับผู้ประกอบการ SMEs และประชาชน, สร้างห้องความดันลบ, จัดหาวัคซีนเพิ่มเติมและสภาอุตสาหกรรมฯ ยังจะเข้าไปสนับสนุนโครงการ Rescue Box สำหรับผู้ป่วยโควิดของสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทยเพิ่มเติมโดยจัดหาสิ่งของที่จำเป็นและยาเข้าไปสมทบ หรือการช่วยเหลืออื่นๆ ที่ภาคสาธารณสุขมีความจำเป็น นอกจากนี้ ยังหารือแนวทางความช่วยเหลือเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจ อาทิ การผลักดันโครงการFaster Payment ให้บริษัทที่เข้าร่วมโครงการจะลดระยะเวลา Credit term ให้แก่คู่ค้าของบริษัทโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ในระยะเวลา 30 วันต่อไปจนถึงสิ้นปี ความร่วมมือกันในการจัดทำสินเชื่อ Supply Chain Factoring เพื่อช่วย SMEs โดยจะหารือร่วมกับสถาบันการเงินเพื่อให้เกิดขึ้นให้ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทด้วยการสนับสนุนสินค้าที่ได้ขึ้นทะเบียน Made in Thailand แล้วด้วย”

นอกจากนี้ ยังได้หารือกันถึงความร่วมมืออื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ ส่งเสริม SME ให้จัดทำบัญชีเดียวผ่านการเสริมรากฐานทักษะความรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ และเพิ่มศักยภาพ SME เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเติบโตระยะยาวซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องผ่าน LiVE Platform  การช่วยเหลือแรงงานที่ตกงานจากสถานการณ์ COVID-19 และความร่วมมือในกองทุนนวัตกรรม โดยจะได้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำรายละเอียดอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในมาตรการเร่งด่วนเพื่อให้ทันกับสถานการณ์วิกฤติในปัจจุบัน แต่ในระยะยาวก็จะได้จัดทำแนวทางพัฒนาและช่วยเหลือ SMEs ด้านอื่นๆ เพิ่มเติม