รับดีมานด์ยางขาขึ้น STA ลงทุนขยายกำลังผลิตยางแท่งอีก

บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี หรือ STA คาดภาพรวมดีมานด์ยางธรรมชาติทั่วโลกในปี 2564 เติบโตกว่า 7% จากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 12.5 ล้านตัน รับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจฝั่งอเมริกา จีนและแถบยุโรป หนุนตลาดรถยนต์และการผลิตยางล้อ พร้อมเดินหน้าขยายกำลังการผลิตยางแท่งอีก 1.8 แสนตันต่อปี ใช้งบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท

นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติครบวงจรอันดับ 1 ของโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมยางธรรมชาติในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก นำโดยสหรัฐอเมริกา จีน ประเทศในแถบยุโรป ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติเพื่อผลิตยางล้อเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาเดินทางด้วยรถส่วนตัวเพิ่มขึ้น และความต้องการใช้ยางธรรมชาติเพื่อผลิตถุงมือยางที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจะได้รับปัจจัยบวกด้านราคาจากการที่ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกมีแนวโน้มซัพพลายลดลง จึงทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมยางธรรมชาติเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่ โดยคาดการณ์ความต้องการใช้ยางธรรมชาติทั่วโลกในปี 2564 อยู่ที่ 13.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นกว่า 7% จากปีที่ผ่านมาที่มีความต้องการใช้ประมาณ 12.5 ล้านตัน

จากสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทฯ อยู่ระหว่างพิจารณาปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณการขายยางธรรมชาติในปี 2564 หลังประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 แล้ว โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้เดินหน้าแผนลงทุนขยายกำลังการผลิตยางแท่ง (TSR) ที่โรงงาน 3 แห่ง ในจังหวัดบึงกาฬ พิษณุโลกและสกลนคร ใช้งบลงทุนรวม 1,060 ล้านบาท จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 9% หรือประมาณ 180,000 ตันต่อปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิตยางแท่ง 1.8 – 1.9 ล้านตันต่อปี

“ปัจจุบันเรามีคำสั่งสินค้าล่วงหน้าจากผู้ประกอบการในไทยและต่างประเทศเข้ามาถึงปลายปีนี้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตยางล้อ สะท้อนถึงดีมานด์ยางธรรมชาติในตลาดโลกที่แข็งแกร่ง ส่วนราคาขายก็อยู่ในระดับที่ดี คาดว่าราคายางแท่ง TSR เฉลี่ย ณ ตลาด SICOM ในปี 2564 จะปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างน้อย 20% จากในปีที่ผ่านมาที่มีราคาเฉลี่ยตลอดทั้งปีอยู่ที่ 131 เซนต์ต่อกิโลกรัม โดยในช่วงไตรมาส 2/2564 ยางแท่ง TSR มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 165 เซนต์ต่อกิโลกรัม” นายวีรสิทธิ์ กล่าว

กลุ่มบริษัทศรีตรัง จัดซื้อซิโนฟาร์ม เริ่มฉีดพนักงานสัปดาห์หน้า

กลุ่มบริษัทศรีตรัง (SRI TRANG GROUP) ห่วงใยสุขภาพพนักงานทุกคน จัดซื้อวัคซีนทางเลือกซิโนฟาร์มเพื่อป้องกัน COVID-19 จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ คาดเริ่มฉีดภายในสัปดาห์หน้า ช่วยลดภาระบุคลากรทางการแพทย์และร่วมสนับสนุนภาครัฐเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่ประชาชนในประเทศ พร้อมขอขอบพระคุณราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการจัดสรรวัคซีน 

นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติครบวงจรอันดับ 1 ของโลก เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทศรีตรัง ประกอบด้วย บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) และบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีความห่วงใยในสุขภาพของพนักงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ยังคงมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  กลุ่มบริษัทศรีตรังจึงมีนโยบายเร่งจัดหาวัคซีนทางเลือกให้เพียงพอแก่พนักงานทุกคน เพื่อสร้างความปลอดภัยและร่วมสนับสนุนภาครัฐป้องกันการแพร่ระบาดและเร่งกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ในประเทศเกิดขึ้นโดยเร็ว

ล่าสุดกลุ่มบริษัทศรีตรังได้รับการจัดสรรวัคซีนทางเลือกซิโนฟาร์ม (Sinopharm) จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์   คาดว่าจะสามารถฉีดให้แก่พนักงานของกลุ่มบริษัทศรีตรังที่ปฏิบัติงานอยู่ที่สำนักงานและโรงงานในจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทยได้เพียงพอ รวมทั้งหมดประมาณ 13,000 คน โดยเบื้องต้นได้ประสานโรงพยาบาลในแต่ละพื้นที่เป็นผู้ดูแลการฉีดวัคซีนแก่พนักงานครั้งนี้

จริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก กล่าวว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยด้านสุขภาพแก่พนักงานทุกคน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่คู่ค้า ผู้บริโภคและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายตลอดทั้งซัพพลายเชน โดยวางแผนเร่งฉีดวัคซีนทางเลือกซิโนฟาร์มเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่พนักงานในทุกโรงงานของ STGT โดยเร็ว ซึ่งจะเป็นการลดภาระแก่ภาครัฐและบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติดูแลคนไข้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และสนับสนุนเป้าหมายรัฐบาลในการกลับมาเปิดประเทศภายใน 120 วัน