เริ่มแล้ว! จัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ ถึง รพ.ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้เริ่มทยอยจัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ล็อตที่ได้รับสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยส่งไปยังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อฉีดเป็น Booster dose (เข็ม ) ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ทำงานด่านหน้าในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19

ด้าน นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะทำงานด้านบริหารจัดการการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 กรณีวัคซีนโควิดไฟเซอร์ กล่าวว่า ทั่วประเทศจะได้รับวัคซีนครบทุกจังหวัด เพื่อเร่งฉีดเป็นกระตุ้นเข็ม 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ทำงานด้านหน้า ซึ่งจะมีการทยอยส่งไปให้เบื้องต้น จะส่งไปเป็นจำนวน 50% ของบุคลากรที่ได้ลงชื่อตามความสมัครใจไว้ในแต่ละโรงพยาบาล คาดว่าจะมีการดีเดย์ฉีดพร้อมกันทั่วประเทศใน 2-3 วันนี้ แต่พื้นที่ไหนที่ได้รับวัคซีนแล้ว มีความพร้อมก็สามารถฉีดก่อนได้ทันที ส่วนเรื่องโปร่งใสของข้อมูลการฉีดวัคซีนไฟเซอร์นั้น แต่ละโรงพยาบาลจะสามารถเช็กรายชื่อบุคลากรที่มีความประสงค์รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ได้ ส่วนประชาชนทั่วไปก็สามารถตรวจสอบข้อมูลนี้ได้ เพราะทุกโดสที่ฉีดจะต้องมีการรายงานผลเข้ามาที่ MOPH IC ของกระทรวงสาธารณสุข

กลาโหม ปฏิเสธร่วมกับภาคเอกชนสั่งซื้อไฟเซอร์

กระทรวงกลาโหม ปฏิเสธร่วมกับภาคเอกชนสั่งซื้อวัคซีนไฟเซอร์ ยันไม่เคยติดต่อตรง ไฟเซอร์ (ประเทศไทย )

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวปฏิเสธถึง กรณีมีการให้ข่าวจากภาคเอกชนว่า จะมีการลงนามในสัญญาร่วมกับ กห.สั่งนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ว่า

ขอยืนยันว่า ขณะนี้ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานในสังกัด ยังไม่มีแผนหรือความตกลงร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนใดๆในการสั่งซื้อหรือนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์แต่อย่างใด และที่ผ่านมา กห.ก็ยังไม่เคยติดต่อตรงกับ บ.ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ต่อเรื่องดังกล่าว

เผยแนวทางฉีควัคซึน Pfizer ให้บุคลากรทางการแพทย์

กระทรวงสาธารณสุข แจงแนวทางการให้วัคซีนไฟเซอร์แก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า 7 แสนโดสแบ่งฉีดเป็นบูสเตอร์โดส ฉีดเป็นเข็มที่สอง และผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อน ส่วนผู้ฉีดสูตรผสม, ฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม และผู้ที่ฉีดเข็มสามไปแล้ว จะขึ้นทะเบียนติดตามพิจารณาฉีดเมื่อมีข้อมูลวิชาการและวัคซีนเข้ามาเพิ่มเติม

นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และประธานคณะทำงานด้านบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 (Pfizer) กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 จำนวน 1,503,450 โดส คณะกรรมการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 (Pfizer) ได้พิจารณาจัดสรรวัคซีนไปยังบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ครอบคลุมทั้งผู้ปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยโควิด 19 โดยตรงและผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 ทั่วประเทศ จำนวน 7 แสนโดส, ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ที่อยู่ในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด 645,000 โดส, ชาวต่างชาติ ที่เป็นผู้สูงอายุ 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย รวมถึงคนไทยที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา150,000 โดส, เพื่อศึกษาวิจัย 5,000  โดส และสำหรับควบคุมการระบาดจากสายพันธุ์เบต้า 3,450 โดส  ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดลำดับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในระยะนี้ หากมีวัคซีนเพิ่มเติมหรือส่วนต่างจากการจัดสรรจะมีการจัดสรรอีกครั้ง ทั้งนี้ หากมีรายชื่อตกหล่นหรือยังไม่ได้รับวัคซีนขอให้แจ้งมายังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ในกทม.แจ้งยังสำนักอนามัย เพื่อกระจายวัคซีนไปยังหน่วยฉีดต่อไป

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ในฐานะประธานคณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคกล่าวว่า วันนี้สถานทูตสหรัฐอเมริกาได้ส่งมอบวัคซีนไฟเซอร์บริจาค จำนวน 1,503,450 โดส อย่างเป็นทางการที่ทำเนียบรัฐบาล สำหรับการจัดสรรวัคซีนนั้นที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564 มีมติ เรื่องคำแนะนำการให้วัคซีนโควิด 19 ไฟเซอร์ในบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 7 แสนโดส โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมาย คือ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าจากทั่วประเทศทุกคน รวมทั้งนักศึกษา และเจ้าหน้าที่ที่ต้องสัมผัสผู้ป่วยโควิด 19 จากการปฏิบัติงานเช่น แผนกผู้ป่วยนอก แผนกผู้ป่วยใน คลินิกทางเดินหายใจ ห้องฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยวิกฤต รพ.สนาม เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่กักกัน กลุ่มอาสาสมัครกู้ภัย พนักงานเก็บศพ หรือปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 อื่นๆ ตามการพิจารณาของสถานพยาบาลหรือหน่วยงานต้นสังกัด โดยมีหลักการให้วัคซีนดังนี้ บุคลากรที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคหรือซิโนฟาร์ม ครบ 2 เข็ม พิจารณาให้วัคซีนไฟเซอร์กระตุ้น 1 เข็ม

บุคลากรที่ได้รับวัคซีนมาแล้ว 1 เข็ม พิจารณาให้วัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 โดยกำหนดระยะห่างระหว่างโดสตามชนิดของวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นหลัก ผู้ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน พิจารณาให้วัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ และผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด 19 และไม่เคยได้วัคซีนมาก่อน พิจารณาให้วัคซีนไฟเซอร์ 1 เข็ม โดยมีระยะห่างจากวันที่พบการติดเชื้ออย่างน้อย 1 เดือน

นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เคยได้รับวัคซีนซิโนแวคเข็มแรกและแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 หรือสูตรสลับไขว้, วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม, วัคซีนซิโนแวค 2 เข็มและได้รับเข็มกระตุ้นด้วยแอสตร้าเซนเนก้า 1 เข็ม คณะอนุกรรมการฯ ยังไม่แนะนำให้วัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มกระตุ้น เนื่องจากการฉีดทั้ง 3 แบบ ยังมีภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับที่สูงเพียงพอ โดยให้ขึ้นทะเบียนรายชื่อไว้ เมื่อมีข้อมูลวิชาการสนับสนุน และมีวัคซีนที่เข้ามาเพิ่มขึ้น คณะกรรมการฯ จะพิจารณาฉีดให้ต่อไป เพื่อให้บุคลากรด่านหน้ามีภูมิคุ้มกันเพียงพอ ปฏิบัติหน้าที่อย่างมั่นใจ ให้ประชาชนปลอดภัย ระบบดูแลรักษาผู้ป่วยไม่หย่อนลง

ด้านพล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนแพทยสภา และทั้ง 7 สภาวิชาชีพขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการวัคซีนฯ  ที่แสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง พิจารณาบริบทของประเทศไทย และรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน เพื่อช่วยกันปกป้องวงการแพทย์ให้ได้รับความปลอดภัย  ทั้ง แพทย์ พยาบาลผู้ปฏิบัติหน้าลงพื้นที่เชิงรุก บุคลากรทุกระดับ รวมถึงประชาชน ที่ต้องต่อสู้กับโควิด 19 ซึ่งการดำเนินงานอยู่ภายใต้หลักฐานทางวิชาการ นำไปสู่การวางแผนการและกระจายวัคซีนไฟเซอร์ด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เกิดความคุ้มค่า ส่วนบุคลากรที่เพิ่งได้รับการฉีดบูทสเตอร์โดสนั้น กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยและได้ติดตามหากมีข้อมูลทางวิชาการยืนยัน มั่นใจได้ว่าจะได้รับการฉีดไฟเซอร์ในอนาคตแน่นอน ซึ่งจะทำให้เกิดความปลอดภัย สำหรับสมาชิกแพทยสภาที่ลงทะเบียนรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในเข็ม 3 หากจะปรับเปลี่ยนสามารถแจ้งความประสงค์ได้ในเฟซบุคของแพทยสภา

ถึงไทยแล้วเช้านี้!! วัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสที่บริจาคโดยสหรัฐฯ

สถานเอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย​ ระบุ​ วัคซีนไฟเซอร์​ จำนวน​ 1.5​ ล้านโดส​ ที่บริจาคโดยสหรัฐฯ เดินทางถึงประเทศไทยแล้วเช้านี้

หลังจากที่เมื่อวานนี้ (29 ก.ค. 64) มีรายงานความคืบหน้าวัคซีนไฟเซอร์ ล็อต 1.5 ล้านโดส ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาบริจาคให้ไทยว่า ได้ขึ้นเครื่องบินและกำลังเดินทางมายังประเทศไทยคาดจะมาถึงพรุ่งนี้เวลาประมาณ 04.00 น.

ทั้งนี้นายแพทย์โอภาส การ์ยกวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เคยกล่าวว่า เมื่อมาถึงจะนำไปเก็บในคลังวัคซีน ที่เตรียมไว้เก็บได้ในอุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส จากนั้นจะมีกระบวนการสอนเรื่องการผสมวัคซีน เพราะวัคซีนไฟเซอร์ไม่เหมือนวัคซีนที่เราเคยใช้ ตั้งแต่อุณหภูมิจัดเก็บที่ต้อง -70 องศาเซลเซียส เมื่อขนส่งลงหน่วยฉีดต้องเอาไปเก็บที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส วัคซีนจะอยู่ได้ไม่นาน เพียง 4 สัปดาห์จึงต้องเร่งฉีดให้เร็วและเนื่องจากเป็นวัคซีนเข้มข้นต้องนำมาผสมน้ำเกลือตามสัดส่วนก่อน

โดย 1 ขวดฉีดได้ 6 คน ด้วยเหตุนี้ต้องจัดเตรียมทั้งการคลัง การเก็บรักษา การผสมวัคซีนและการนัดหมาย โดยจะอบรมเจ้าหน้าที่ในจุดฉีดที่เป็นโรงพยาบาลทั่วประเทศอีกครั้งพรุ่งนี้ในระบบออนไลน์ เมื่ออบรมเรียบร้อยจัดกลุ่มเป้าหมายจะมีคณะกรรมการพิจารณาตามนโยบายของ ศบค. ซึ่งจะมีการแจ้งและส่งไปวัคซีนให้ตามที่กำหนด ส่วนจะกระจายไปจุดไหนและให้กลุ่มไหนบ้างจะแจ้งให้ทราบระยะต่อไป ส่วนที่อเมริกาจะบริจาคเพิ่มเติมอีก 1 ล้านโดสนั้น ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องนี้ต้องรอให้ทางอเมริกาประกาศยืนยันก่อน

cr.ภาพ สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์ ต้น ส.ค. นี้

นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวงและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงว่าจากกรณีที่มีการเผยเเพร่ในโลกออนไลน์เรื่องการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เพียง 200,000 โดส กระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน เป็นข้อมูลที่ไม่จริง ซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องบุคลากรทางการเเพทย์และบุคคลากรด้านหน้าทุกคนที่มีความเสี่ยง จะได้รับการฉีดไฟเซอร์ จำนวน 5 แสนโดส เพื่อกระตุ้นเป็นเข็มสาม คาดว่าจะฉีดภายในต้นเดือนสิงหาคมนี้ และขณะนี้มีบุคลากรทางการแพทย์บางส่วน ได้รับวัคซีนเข็มสามเป็นแอตร้าเซนเนก้าแล้ว และพบข้อมูลหลังฉีดไปแล้วมีภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้น

ส่วนการเดินหน้าวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส มีแผนจะเริ่มฉีดเดือนตุลาคม- ธันวาคมนี้ โดยฉีดให้ฟรี ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช่จ่ายใดๆ โดยเน้นเร่งฉีดในกลุ่มเสี่ยงและพื้นที่เสียงอย่างทั่วถึงและครอบคลุมให้มากที่สุด โดยการกระจายวัคซีนดังกล่าว มีคณะทำงานทุกภาคส่วน ย้ำประชาชนจะได้รับวัคซีนกลุ่มดังกล่าว เพื่อควบคุมการระบาคและขณะนี้พบว่ามีการแอบอ้าง หลอกลวงเรียกเก็บเงิน การให้ข่าวปลอม ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินคดีดังกล่าวให้ถึงที่สุด

ที่ปรึกษาระดับกระทรวง และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ย้ำอีกว่า การฉีดวัคซีนจะเรียงลำดับความเสี่ยงและในพื้นที่เสี่ยง การจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ จะไม่มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับกลุ่มพิเศษหรือกลุ่ม VIP ก่อน จะเน้นฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้แน่นอน

เผยแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้า

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้า ที่ได้รับบริจาคจากต่างประเทศ พร้อมดำเนินการส่งมอบวัคซีนไปยังพื้นที่ต่างๆตามที่ ศบค. กำหนด โดยเน้นฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย เช่น บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งแผนการบริหารจัดการวัคซีนอาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

วันนี้ (11 กรกฎาคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับแจ้งข่าวการบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 1.5 ล้านโดส และได้รับบริจาควัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว จำนวน 1.05 ล้านโดส เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทย โดยกรมควบคุมโรค เตรียมดำเนินการกระจายวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไปยังพื้นที่เป้าหมายตามแนวทางที่ ศบค. กำหนด คือ พื้นที่ที่มีการระบาด และพื้นที่ที่เปิดให้ท่องเที่ยว โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะเป็นผู้บริหารจัดการในพื้นที่ต่างจังหวัด ส่วนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะบริหารจัดการผ่านโรงพยาบาลในพื้นที่ และกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ประสานหลักในการฉีดวัคซีนให้กับชาวต่างชาติ

สำหรับแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดส จะฉีดให้กับ 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 (Booster Dose จำนวน 1 เข็ม)  2.ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง  3.ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุและโรคเรื้อรัง  4.ผู้ที่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไฟเซอร์ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา นักกีฬา นักการทูต โดยจะฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์ ยกเว้นกรณีบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า Booster Dose 1 เข็ม ทั้งนี้ การจัดสรรวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เข็ม 3 จะมีการพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ในวันจันทร์ที่ 12 ก.ค. 64 นี้

ส่วนแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 1.05 ล้านโดส นั้น จะฉีดให้กับ 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง  2.ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุและโรคเรื้อรัง  3.ผู้ที่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา นักกีฬา นักการทูต เป็นต้น

นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนการบริหารจัดการวัคซีนอาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลักเพื่อลดความสับสน  ทั้งนี้ ขอความร่วมมือบุตรหลาน พาผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรคเรื้อรังไปรับการฉีดวัคซีน เพื่อลดความรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตในสถานการณ์ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย รวมถึงให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด 19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากาก 100% เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ลดกิจกรรมนอกบ้านที่ไม่จำเป็น เมื่อกลับถึงบ้านต้องทำความสะอาดร่างกายทันที เพื่อลดโอกาสการนำเชื้อเข้ามาติดต่อสู่คนในครอบครัว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422