โมเดอร์นา วัคซีนทางเลือกที่หลายคนรอคอย

หลังจากรอมาเนิ่นนาน ประเทศไทยก็กำลังจะมีวัคซีนชนิด mRNA ฉีดกับเขาแล้ว ตามข่าวที่โรงพยาบาลเอกชนหลายเจ้าเริ่มเปิดจองวัคซีน ‘โมเดอร์นา’ (Moderna) ในฐานะของ ‘วัคซีนทางเลือก’ กันเมื่อช่วงที่ผ่านมา

ตามคำบอกเล่า เชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่สมควรรู้ว่าร่างกายรับวัคซีนยี่ห้ออะไรมาก็จริง แต่อย่างน้อยด้วยผลการศึกษาหลายๆ ฉบับ ล้วนชี้ไปทางเดียวกันว่าวัคซีนที่ผลิตต่างวิธี หรือวัคซีนคนละยี่ห้อ ต่างก็มีวิธีป้องกันรวมถึงกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นคงจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากเราจะทำความเข้าใจกระบวนการของ mRNA ให้ดี ก่อน(อาจจะ)ได้ฉีดจริงในอนาคต

วัคซีนทางเลือกที่กำลังจะเข้าไทย หรือวัคซีนโมเดอร์นา เป็นวัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี mRNA (Messenger Ribonucleic Acid) โดยมีวิธีจัดการกับเชื้อ อธิบายง่ายๆ คือการส่งโปรตีนสังเคราะห์ที่มีลักษณะเป็นหนามขนาดเล็กตามชื่อคือ mRNA เข้าสู่ร่างกาย จากนั้นเจ้าโปรตีนนี้จะไปกระตุ้นให้เซลล์ของมนุษย์เพิ่มจำนวนตัวมันเอง เพื่อไปก่อกวนระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้ภูมิคุ้มกันเรียนรู้จะกำจัดหนามดังกล่าวออกไป ซึ่งต่อไปเมื่อมีไวรัสหนามหรือเชื้อโควิด-19 เข้ามา ร่างกายก็จะจดจำและจัดการกับเชื้อไวรัสได้ดีขึ้นนั่นเอง

อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกถกกันมาก คือความใหม่ของเทคโนโลยี mRNA ที่หลายคนกังวลว่าอาจส่งผลข้างเคียงรุนแรงในอนาคต แต่จริงๆ mRNA ก็เป็นเทคโนโลยีที่ถูกคิดค้นและใช้งานมาร่วม 10 ปีแล้วในการใช้เพื่อหยุดยั้งเชื้ออีโบล่า หรือหากจะพูดถึงผลข้างเคียงอย่างเดียว วัคซีนโมเดอร์นาเองก็มีผลข้างเคียงคล้ายกับวัคซีนยี่ห้ออื่น คืออาการไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย ที่แย่หน่อยคืออาการเมื่อยล้าและเจ็บหน้าอกชนิดไม่รุนแรง ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณของภาวะอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่กรณีนี้ก็พบเพียง0.00126% หรือ 12.6 รายต่อวัคซีนหนึ่งล้านโดส ที่สำคัญส่วนใหญ่ที่เจอก็หายดีและใช้ชีวิตกันตามปกติแล้ว

ข้อดีที่เด่นชัดที่สุดของวัคซีน mRNA ก็คือความโดดเด่นในแง่ประสิทธิภาพที่สูงลิ่ว โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าวัคซีนโมเดอร์นา สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 94.1% และป้องกันการติดเชื้อได้ 86.4% สำหรับผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ทั้งยังลดความรุนแรงของโรคและลดโอกาสการเสียชีวิตจากโรคได้ถึง 100% แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือประสิทธิภาพในการป้องกันสายพันธุ์อันยุ่งเหยิงของไวรัสนี้ได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น สายพันธุ์อัลฟา (พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร), บีต้า (พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้), แกมมา (พบครั้งแรกในบราซิล) และเดลต้า (พบครั้งแรกในอินเดีย)

แน่นอนว่าประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้มากถึง 94.1% ย่อมส่งผลถึงความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หรือ Herd immunity ได้อย่างแน่นอน เห็นได้จากตัวอย่างไกลๆ ในประเทศเยอรมนี, สหรัฐอเมริกา,อิสราเอล หรือฮังการี ที่ผู้คนถอดแมสใช้ชีวิตแบบ Old Normal อย่างแพร่หลายแล้ว แต่ในประเทศไทยที่มีความคืบหน้าด้านวัคซีนที่ค่อนข้างช้า(จนถึงช้ามาก) อาจเกิดคำถามว่าวัคซีนที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้มากน้อยแค่ไหน หรืออาจเลยไปอีกคำถามหนึ่ง ว่าตนเองจะสามารถกลับลำมาฉีด mRNA เป็นเข็มที่ 3 ต่อจากวัคซีนที่เคยได้รับมาแล้ว ได้หรือไม่?

คำตอบสั้นๆ คือ ‘ฉีดได้’ แต่คำอธิบายค่อนข้างยาวเสียหน่อย คือการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเป็นเข็มที่ 3 นั้น อาจต้องมีระยะห่างที่เหมาะสมขึ้นกับว่าได้รับวัคซีนตัวไหนมา ในกรณีที่ฉีด แอสตร้าเซนเนกา มาครบ 2 โดส ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าร่างกายจะมีภูมิมากพอให้เว้นระยะรับเข็มที่ 3 ออกไปได้ราว 6-12 เดือน แต่ในอีกทางหนึ่งเมื่อประเทศกำลังรับมือกับสายพันธุ์เดลต้าที่มีความรุนแรงค่อนข้างมาก เราจึงมีลุ้นร่นระยะการรับ mRNA เป็นเข็ม 3 ได้เร็วขึ้น 1-2 เดือน เพื่อเร่งให้ภูมิสูงขึ้นพอจะรับมือกับสายพันธุ์เดลต้าได้ ส่วนในกรณีที่ผ่านการฉีด ซิโนแวค มานั้น ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดใดๆ มารับรอง ทางเลือกเดียวคือต้องเว้นระยะออกไป 3-6 เดือนก่อน แล้วรอข้อมูลทางวิชาการมารับรองในภายหลัง

ข้อสุดท้ายที่อยากบอกถึงโมเดอร์นาและ mRNA คือวัคซีนตัวเลือกนี้เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป (ต่ำกว่านี้ไม่แนะนำ) ส่วนใหญ่แล้วปลอดภัยกับคนทุกกลุ่ม ยกเว้น กลุ่มผู้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน, ผู้ป่วยติดเชื้อ HIVรวมถึงสตรีที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ ที่อาจต้องปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิดก่อนฉีด หรือหากเคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนหน้านี้ ก็จำเป็นต้องเว้นระยะหลังติดเชื้ออย่างน้อย 3-6 เดือนก่อนรับวัคซีน และแน่นอน ไม่ว่าเราจะอยู่ในเงื่อนไขใด การพิจารณาความเห็นจากแพทย์คือเรื่องสำคัญสุดเสมอ

ศึกษารายละเอียดวัคซีนโมเดอร์นาเพิ่มเติมก่อนฉีดจริงได้ที่ www.praram9.com/moderna-vaccine หรือจองวัคซีนทางเลือกโมเดอร์นา กับโรงพยาบาลพระรามเก้า ได้ทาง Line Official@Praram9hospital หรือ https://lin.ee/vR9xrQs หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1270

พรุ่งนี้เตรียมเซ็นต์สัญญาลงนามซื้อ-ขาย วัคซีนโมเดอร์นา​

เตรียมเซ็นต์สัญญาพรุ่งนี้ (16 ก.ค.64) อภ.ลงนามซื้อ-ขาย วัคซีนโมเดอร์นา​ กับรพ.เอกชน คาดได้ใช้ไตรมาส 4
องค์การเภสัชกรรม (GPO) ลงนามซื้อ-ขาย วัคซีนโมเดอร์นา กับโรงพยาบาลเอกชน คาด 23 ก.ค.64 ลงนามสัญญาซื้อ-ขายกับบริษัทซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ซึ่งองค์การเภสัชกรรม จัดสรรโควต้าวัคซีนให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ ไปแล้วทั้งสิ้น 285 แห่ง
  • วันที่ 16 ก.ค. 64 ทยอยลงนามในสัญญาซื้อ-ขายและรับชำระเงินค่าวัคซีนจากโรงพยาบาลต่าง ๆ
  • วันที่ 21 ก.ค. 64 วันสุดท้ายกำหนดลงนามและรับชำระเงินให้เสร็จสิ้น
  • วันที่ 23 ก.ค. 64 องค์การฯจะลงนามในสัญญาซื้อ-ขาย กับบริษัทซิลลิค ฟาร์ม่า จำกัด ตัวแทนของโมเดอร์นา ซึ่งเป็นการลงนามในสัญญาได้เร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้
วัคซีนโมเดอร์นา จำนวน 5 ล้านโดส จะเข้ามาช่วงแรกไตรมาส 4 ปี 64 และไตรมาส 1 ปี 65 โดย อภ.ดำเนินการจัดหาวัคซีนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นภารกิจที่ได้รับมอบหมายเพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้มีวัคซีนทางเลือกเพิ่มขึ้น โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ไม่มุ่งหวังแสวงผลกำไร

PRINC เปิดจองวัคซีนโมเดอร์นาทั่วประเทศ 5 ก.ค. นี้

นายธานี มณีนุตร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านพัฒนาธุรกิจ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด(มหาชน) หรือ PRINC ผู้นำธุรกิจบริหารจัดการโรงพยาบาลและธุรกิจสุขภาพ ระบุถึงความคืบหน้าในการเร่งให้บริการวัคซีนทางเลือก (โมเดอร์นา) ล่าสุดเครือรพ.พริ้นซ์ได้เปิดลงทะเบียนจองวัคซีนทางเลือก(โมเดอร์นา) ผ่าน Line Official Account: @Dr.PRINC เลือกลงทะเบียนจองวัคซีนทางเลือก หรือคลิก https://register.princhealth.com ซึ่งสามารถเลือกโรงพยาบาลในเครือพริ้นซ์ฯทุกแห่ง หรือคลินิกใกล้บ้านใกล้ใจทั้ง 12 แห่งทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด พร้อมเปิดให้ชำระเงินค่าวัคซีนทางเลือก(โมเดอร์นา) นับตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 นี้เป็นต้นไป ในราคา 1,700 บาทต่อเข็ม ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะรับ 1 (Booster Dose) หรือ 2 เข็ม (Full Doses) ขณะเดียวกันการจัดสรรวัคซีนจะพิจารณาจากลำดับการจองเป็นสำคัญ ยังคงคำแนะนำการรับวัคซีนโควิด-19 ภาครัฐเป็นลำดับแรกเพื่อลดโอกาสเกิดผลกระทบรุนแรงในกรณีที่ได้รับเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะในพื้นที่ระบาดสูง ทั้งนี้คาดว่าวัคซีนทางเลือก (โมเดอร์นา) จะพร้อมให้บริการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไป

ธานี มณีนุตร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านพัฒนาธุรกิจ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด(มหาชน) หรือ PRINC

ส่วนความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ภาครัฐ ซึ่งถือเป็นวัคซีนหลักของประเทศ นายธานี เปิดเผยว่า ในปัจจุบัน (ข้อมูล ณ  27 มิ.ย. 64) เครือโรงพยาบาลพริ้นซ์ฯ หลายแห่งร่วมกระจายวัคซีนโควิด-19 ภาครัฐแล้วจำนวน 10,600 โดส ส่วนวัคซีนตัวเลือก(ซิโนฟาร์ม) เครือโรงพยาบาลพริ้นซ์ฯ ทุกแห่งขึ้นทะเบียนเป็นสถานพยาบาลที่ได้รับเลือกให้บริการวัคซีนตัวเลือก (ซิโนฟาร์ม) นับตั้งแต่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา เริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มองค์กรที่ได้รับการจัดสรรจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ระยะที่ 1 และยอดรวมล่าสุด องค์กรทั่วประเทศเลือกโรงพยาบาลในเครือโรงพยาบาลพริ้นซ์ฯ ไม่ต่ำกว่า 16,000 โดส

สำหรับศักยภาพของโรงพยาบาลในเครือพริ้นซ์ มีศักยภาพรองรับกระจายวัคซีนโควิด-19 รวมเฉลี่ย 500-800 เคสต่อวันสำหรับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ และ 200-300 เคสต่อวันสำหรับโรงพยาบาลขนาดกลางและเล็ก นอกจากนี้ยังร่วมมือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ นำร่องศูนย์ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกสถานพยาบาล ศูนย์การค้าเมกาบางนา-รพ.พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ รองรับได้สูงสุด 1,500 ถึง 2,000 เคสต่อวัน ล่าสุด (29 มิ.ย.) ระดมฉีดให้กับบุคลากรครูของจังหวัดสมุทรปราการไม่ต่ำกว่า 2,000 คน หากให้บริการเต็มศักยภาพกระจายวัคซีนโควิด-19 ทั้งหมดทั่วประเทศ เฉลี่ย 8,000 โดสต่อวัน หรือกว่า  240,000 โดสต่อเดือน

ทั้งนี้ โรงพยาบาลในเครือ PRINC ทั่วประเทศ 10 แห่งใน 10 จังหวัด ได้แก่ รพ.พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ, รพ.พริ้นซ์ ปากน้ำโพ, รพ.พริ้นซ์ อุทัยธานี, รพ.พริ้นซ์ ลำพูน, รพ.พริ้นซ์ ศรีสะเกษ, รพ.พริ้นซ์ อุบลราชธานี, รพ.วิรัชศิลป์, รพ.พิษณุเวช พิษณุโลก, รพ.พิษณุเวช อุตรดิตถ์ และรพ.พิษณุเวช พิจิตร กำลังเร่งดำเนินการให้บริการวัคซีนโควิด-19 การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ควบคู่การขยายเตียง เพื่อแบ่งเบาภาครัฐในการรับมือสถานการณ์ระบาดและยืนหยัดอยู่เคียงข้างคนไทยในสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้น