มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง เปิดกรุคอลเลกชั่นเครื่องประดับชั้นสูง

เครื่องประดับอันสวยงามนอกจากจะให้คุณค่าทางใจแก่ผู้ที่ได้สวมใส่แล้ว ในทางกลับกันยังแสดงถึงความมั่งคั่งส่วนบุคคลของเจ้าของ เพราะไม่ใช่แค่เพียงความสวยงามที่ได้เห็น เครื่องประดับยังบ่งบอกถึงความสามารถในการลงทุนในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกได้อีกด้วย ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับนั้นก็เติบโตทุกปี ซึ่งนักลงทุนแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง ‘มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง’ เจ้าของซาลอนสุดหรู Maison Mark Thawin Hair & Elite Lifestyle นั้นก็เป็นนักสะสมคนหนึ่งที่ชื่นชอบการลงทุนในเครื่องประดับชั้นสูง ที่ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีมากกว่าความสวยงาม

‘มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง’ กล่าวถึงความน่าสนใจของการลงทุนในเครื่องประดับชั้นสูง (High Jewelry) ว่า “ก่อนที่เราจะเริ่มลงทุนกับเครื่องประดับชั้นสูงนั้น เราก็เคยลงทุนและสะสมเพชรมาก่อน ได้ศึกษารายละเอียดของเพชรมาเป็นอย่างดี ทั้งการดูความบริสุทธิ์ของเพชร ระดับความแข็ง น้ำหนักของเพชร ใบรับรองต่างๆ ถึงขนาดที่ว่าใครจะเอาเพชรมาหลอกเราไม่ได้เลย แต่จุดที่ทำให้หันมาลงทุนในเครื่องประดับชั้นสูงนั้น มาจากประสบการณ์ที่ได้ไปตลาดประมูลที่ต่างประเทศ ทำให้เราได้เห็นมุมมองของนักลงทุนอื่นๆ ว่าทำไมนักลงทุนถึงไม่ได้สนใจลงทุนในเพชรกันมากนัก เพราะเพชรสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาด ราคาขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก (Rapaport) และยังผันผวนตามค่าเงินดอลล่าร์ แต่ในทางกลับกันเครื่องประดับอย่างไฮจิวเวลรี่กลับมีสตอรี่ที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องราวความเป็นมาอย่างยาวนานของแบรนด์ แหล่งที่มา ชื่อเสียงของดีไซน์เนอร์ ความประณีตในการผลิต ที่มีจำนวนชิ้นน้อยหรือมีชิ้นเดียว ทำให้ราคาไม่ได้ผันผวนตามตลาด และให้ผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเครื่องประดับไฮจิวเวลรี่นั้น สามารถสร้างผลตอบแทนได้หากเรารู้จักเลือกและถือครอง ซึ่งเหมาะกับการลงทุนในระยะยาว”

เครื่องประดับสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ไฟน์จิวเวลรี่ (Fine Jewelry) คือ เครื่องประดับที่ตัวเรือนทำจากโลหะมีค่า หรือฝังด้วยเพชรพลอยมีค่า จะเป็นแค่องค์ประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ เช่น ทองคำแท้ ทองขาว เพชร เพชรสี พลอยเนื้ออ่อน ทับทิม มุกแท้ ซึ่งจะมีแบรนด์หรือไม่มีแบรนด์ก็ได้ คุณภาพดี มีราคาแพง เป็นที่รู้จักของตลาด รวมถึงการออกแบบตัวเรือนเน้นความเป็นศิลปะ สวยงาม หรูหรา ที่สำคัญสามารถใส่ในชีวิตประจำวัน  และประเภทไฮจิวเวลรี่ (High Jewelry) คือ เครื่องประดับชั้นสูงที่เน้นความเอ็กซ์คลูซีฟ ต้องสั่งซื้อเป็นพิเศษ มีการนำสินค้าเดินทางไปจัดแสดงตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมเป็นหลัก มีประวัติความเป็นมาของแบรนด์อย่างยาวนาน มีแหล่งที่มา มีเรื่องราวแรงบันดาลใจในการออกแบบ พร้อมเทคนิคและนวัตกรรมในการผลิต

สำหรับผู้ที่สนใจในเครื่องประดับไฮจิวเวลรี่ แนะนำให้ศึกษารายละเอียดและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนการลงทุน นอกจากจะพิจารณาเรื่องราคาแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงแหล่งที่มา สภาพความสมบูรณ์ของเครื่องประดับ และความหายากในท้องตลาด รวมถึงต้องศึกษาข้อมูลแหล่งซื้อขาย อย่างเช่น สถาบันประมูล ‘คริสตี้ส์’ (Christie’s) ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการประมูลของโลก ทั้งงานศิลปะ เครื่องประดับ นาฬิกา ไวน์ชั้นยอด เครื่องดนตรี เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงพรม หรือสถาบันประมูล ‘ซัทเทบีส์’ (Sotheby’s) บริษัทจัดการประมูลที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ ศูนย์ในการประมูลของสะสมราคาแพง อาทิ เครื่องเพชร นาฬิกา งานศิลปะ และรถยนต์

และสำหรับเครื่องประดับชั้นสูง 6 ชิ้นเด่นจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง บูลการี’ (Bvlgari) และ ‘บูเชอรง’ (Boucheron) ที่มาร์ค ธาวินได้สะสมเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น ประกอบไปด้วยกำไลและสร้อยจากแบรนด์ บูลการี’ (Bvlgari) จิลเวลรี่ชั้นสูงแบรนด์ดังจากประเทศอิตาลี มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นด้วยเครื่องประดับรูปงู สัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์ สติปัญญา และพลังอำนาจ ซึ่งถ้าใครเห็นก็จะทราบได้ทันทีว่านี่คือเครื่องประดับจากบูลการี โดยจะมีไอเทมชิ้นเด่นอย่าง กำไล ‘บูลการี เซอร์เพนติ ไดมอนด์ เบรซเลท’ (Bvlgari Serpenti Diamond Bracelet) กำไลรูปงูที่ใช้เทคนิคการผลิตด้วยฝีมือโบราณ ‘Tubogas’  ในยุคศตวรรษที่ 18 มาแต่งแต้มในงานจิวเวลรี่ มีการนำทองหรือเหล็กมาตัดและขึ้นรูปให้คล้ายกับสปริง เพื่อใช้พันข้อมือหรือลำคอเข้ากับทรวดทรงของผู้สวมใส่ ราคา 13 ล้านบาท

สร้อย ‘บูลการี เซอเพนติ ไดมอนด์ เนคเลส’ (Bvlgari Serpenti Diamond Necklace) สร้อยคองูสุดโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ ตัวเรือนผลิตจากทองขาว (White Gold) โดยความพิเศษของเครื่องประดับชิ้นนี้อยู่ที่เป็นการสั่งทำไซส์ขนาดพิเศษ เพราะโดยปกติแล้วสร้อยคอชิ้นนี้จะผลิตไซส์สำหรับผู้หญิง หากต้องการขยายไซส์เพิ่มจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซื้อมาในราคา 13 ล้านบาท แต่ตอนนี้ราคาขึ้นไปถึง 16 ล้านบาท

สร้อย ‘บูลการี โมเนเต้ เพนแด้นท์ วอช’ (Bvlgari Monete Pendant Watch) สร้อยคอที่สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องประดับ และเครื่องบอกเวลา สร้อยชิ้นนี้ผู้ที่จะได้ครอบครองต้องเป็นลูกค้าวีไอพีของแบรนด์ถึงจะได้สิทธิ์ในการซื้อ มีความพิเศษอยู่ที่ตัวจี้จะเป็นเหรียญ Monete ที่ประดับอยู่บนนาฬิกาตูร์บิยง ซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตมาจากเหรียญโรมันโบราณที่มีชื่อว่า ‘เตตราดราคม’ (Tetradrachm) สืบทอดมาจาก Alexander the Great ซึ่งสร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยที่มีเส้นเดียวในโลก ส่งผลให้มูลค่าของสร้อยปรับเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา เมื่อสี่ปีที่แล้วราคาอยู่ที่ 16 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันราคายังประเมินไม่ได้

สร้อย ‘บูลการี ลอง ไดมอนด์ เซอเพนติ สเนค เนคเลส (Bvlgari Long Diamond Serpenti Snake Necklace) สร้อยคอทองขาว (White Gold) 18K ที่มีดีไซน์บ่งบอกถึงความหรูหรา สร้อยงูตัวยาวดึงดูดทุกสายตาเมื่อหยิบมาสวมใส่ รวมถึงเครื่องประดับชิ้นเอ็กซ์คลูซีฟอย่าง ‘สร้อยแบบสั่งทำพิเศษ’ (Bvlgari Special Order) ที่ผู้สวมใส่สามารถเลือกพลอยประดับได้เอง ตามความพึงพอใจ ในตัวเรือนอันงดงามของแบรนด์ ซึ่งการสั่งทำสร้อยแบบพิเศษนี้จะต้องเป็นลูกค้าวีวีไอพี (VVIP) ของแบรนด์เท่านั้นถึงจะสามารถสั่งทำได้ ซึ่งสร้อยเส้นนี้สนนราคาที่ 18.5 ล้านบาท

สุดท้ายที่แบรนด์ ‘บูเชอรง’ (Boucheron) แบรนด์จิวเวลรี่ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1858 ที่ใจกลางกรุงปารีส กับสร้อยข้อมือ ‘บูเชอรง ไพธ่อน เบรซเลท’ (Boucheron Python Bracelet) ผลิตจากทองขาว (White Gold) ถือเป็นสร้อยข้อมือชิ้นเด่นของแบรนด์ที่หายาก เพราะทำออกมาน้อยชิ้น และสร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นที่ฮือฮามากในวงการฮอลลีวูดตั้งแต่ปี 2014 โดยมีกลไกที่สามารถดึงลิ้นงูออกมาแล้วจะเจอลูกแอปเปิ้ลอยู่ในปากของงู ซึ่งเป็นดีเทลสุดพิเศษที่ทำให้สร้อยเส้นนี้ดูโดดเด่นจากเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ ราคาแรกซื้ออยู่ที่ 13 ล้านบาท และในปัจจุบันราคาก็ขยับสูงขึ้นไปหลายเปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ หลายคนอาจมีความสงสัยว่าสร้อยของบูลการีและบูเชอรงนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร? ทั้งที่ดีไซน์ต่างก็เป็นรูปงูเช่นเดียวกัน ซึ่งหากได้ศึกษาแล้วจะพบว่าแต่ละแบรนด์จะมีเรื่องราวแรงบันดาลใจที่แตกต่างกัน อย่างแบรนด์บูลการีนั้นได้แรงบันดาลใจจากงูในตำนานเทพนิยายกรีกโบราณ ส่วนแบรนด์บูเชอรงนั้นมาจากตำนานงูในสวนอีเดน (Eden) เรื่องราวความเป็นมาอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเครื่องประดับชั้นสูงนี้ช่วยสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้วเครื่องประดับแต่ละชิ้นยังสามารถดัดแปลงการใช้งานได้หลายอย่าง เช่น ถอดชิ้นส่วนมาใส่เป็นแหวน กำไล เข็มกลัด ทำให้เกิดฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย

เปิดกรุของนักสะสมแบรนด์เนมชื่อดัง มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง

หากพูดถึงเซเลบริตี้นักลงทุนแบรนด์เนมแถวหน้าของเมืองไทย แน่นอนว่าจะต้องมีชื่อของ มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง อยู่ในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ซึ่งหลายคนอาจรู้จักกันดีในฐานะเจ้าของธุรกิจร้านทำผมคุณภาพระดับเวิลด์คลาส Maison Mark Thawin Hair & Elite Lifestyle ที่นอกจากจะคอยดูแลให้คำปรึกษาด้านทรงผมแล้ว ยังมีคอร์ส Celebrity Coaching ที่จะคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องภาพลักษณ์ การแต่งตัว การทำผม รวมไปถึงการวางตัวเมื่อต้องออกงานสำคัญ โดยล่าสุดกูรูดังก็ได้มาให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนของล้ำค่า พร้อมชี้เป้าไอเทมเด็ดที่เหล่านักลงทุนไม่ควรพลาด!

มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง กล่าวถึงความน่าสนใจของการลงทุนในแบรนด์เนมว่า ในปัจจุบันการลงทุนเป็นเรื่องใกล้ตัว เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้มากขึ้น และไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในรูปแบบของการออมเงิน การสร้างธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน หรือหุ้น เท่านั้น แต่ทุกวันนี้ยังมีการลงทุนที่เกิดจากความหลงใหลหรือที่เรียกว่า Passion Investment  ในรูปแบบของสะสม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ งานศิลปะ ของใช้ เสื้อผ้า และสินค้าแบรนด์เนม ที่นับวันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์เนมที่มีประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของแบรนด์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถสร้างมูลค่าได้เป็นอย่างดี และสามารถต่อยอดความมั่นคงในชีวิตได้ หากนักลงทุนคนไหนอยากจะเข้ามาลงทุนในตลาดนี้ แน่นอนว่าต้องศึกษาเกี่ยวกับตัวแบรนด์ และของแต่ละชิ้นให้ลึกซึ้ง เพื่อที่จะประเมินได้ว่าของชิ้นไหนควรค่าแก่การลงทุน”

และด้วยประสบการณ์ในการเลือกซื้อและสะสมของมีค่าที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี “มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง” ได้มาแนะนำเคล็ดลับในการเลือกของล้ำค่าที่ลงทุนแล้วมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

เริ่มจากกลุ่มเครื่องประดับ และจิวเวลรี่ กับชิ้นแรกอย่าง ‘มุกเมโล’ ไข่มุกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากหอยทากทะเล ซึ่งมีโอกาสเกิดแค่ 1 ใน 3,000 ตัวเท่านั้น ถ้าหากจะหาไข่มุกเม็ดที่มีความสมบูรณ์ สวยงามไร้ที่ติ อาจจะเจอแค่ 1 ในแสนตัว และในอดีตมุกเมโลนั้นมีความพิเศษตรงที่เป็นมุกประดับบนมงกุฏของจักรพรรดิชาวจีน  ด้วยความพิเศษนี้มุกเมโลจึงมีมูลค่าสูง อย่างเม็ดที่มีอยู่นี้มีความสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่ หากเปิดประมูลก็จะได้ราคาก็ไม่ต่ำว่า 8 หลัก ต่อมาที่ ‘พลอยสี’ พลอยที่มีสีสัน เอกลักษณ์ และลวดลายเฉพาะตามถิ่นกำเนิด ไม่สามารถผลิตทดแทนกันได้ อย่าง ทับทิมสยาม และทับทิมพม่า ก็เป็นพลอยสีที่หายากมากในท้องตลาด เพราะต้นกำเนิดเหมืองพลอยที่พม่าได้ปิดทำการไปแล้ว ส่งผลให้ทับทิมสยาม และทับทิมพม่าเป็นพลอยสีที่มีมูลค่ามากในความเป็นธรรมชาติ หากเป็นมรกตควรเลือกเป็นสีมูโซ่กรีน (Muzo Green) ซึ่งเป็นสีเขียวเหลือบฟ้า จะเป็นสีที่สวย และสะอาดที่สุด โดยสำหรับคนที่กำลังเริ่มสะสม และลงทุนกับพลอยสี ควรเลือกพลอยสีที่มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่ผ่านความร้อนหรือกระบวนการหลอมใดๆ ไม่มีสารปนเปื้อน และมีตำหนิน้อยที่สุด ซึ่งความธรรมชาติของพลอยสีนั้นจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับพลอยสีเป็นอย่างดี ชิ้นถัดมาเป็นไฮจิวเวลรี่จากแบรนด์ ‘บุลการี’ (Bvlgari) ลักซ์ชัวรี่แบรนด์ที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ตำนานเครื่องประดับรูปงู ที่มีชิ้นเด่นเป็นสร้อยคอ Monete Pendant Watch ซึ่งเป็นทั้งเครื่องประดับ และเครื่องบอกเวลา โดยความพิเศษอยู่ที่ตัวจี้จะเป็นเหรียญ Monete ที่ประดับอยู่บนนาฬิกาตูร์บิยง ซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตมาจากเหรียญโรมันโบราณที่มีชื่อว่าเตตราดราคม (Tetradrachm) สืบทอดมาจาก Alexander the Great โดยสร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยที่มีเส้นเดียวในโลก ส่งผลให้มูลค่าของสร้อยปรับเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา

กลุ่มถัดมาเป็นกลุ่มนาฬิกา โดยเริ่มจากแบรนด์  ‘โรเล็กซ์’ (Rolex) แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ถูกสวมใส่โดยคนดังระดับโลกมากมายเหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ อย่างรุ่น Daytona Rainbow Everose นี้ เปิดตัวในปี 2012 หน้าปัดนาฬิกาล้อมรอบด้วยพลอยสีไล่เรียงเฉดสวยเสมอกัน วางประดับบนตัวเรือนที่ออกแบบมาสามสีด้วยกัน ได้แก่ สีทองคำขาว, สีทองเหลือง และสีทองชมพู ซึ่งในปัจจุบันไม่มีการผลิตในรูปแบบนี้แล้ว จะมีก็แต่การแบบ After setting ที่ซื้อนาฬิกามาแล้วเอาไปฝังพลอยเอง ซึ่งคุณภาพก็จะไม่เหมือนกับที่แบรนด์ทำอย่างแน่นอน โดยรุ่นราคาเปิดตัวเมื่อตอนวางขายประมาณ 2.8 ล้านบาท ราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท ต่อมาที่แบรนด์ ‘ปาเต็ก ฟิลิปป์’ (Patek Philippe) แบรนด์นาฬิกาข้อมือเรือนแรกในประวัติศาสตร์ ที่มาพร้อมดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ และฟังก์ชันที่มีมากกว่าการบอกเวลา เป็นที่รู้กันดีในกลุ่มนักลงทุนว่าเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างแน่นอน อย่างรุ่น Patek Philippe Nautilus 5724R-001 ขนาด 40 มม. ตัวเรือนเป็นโรสโกลด์ 18K ประดับเพชรด้านหลัง คริสตัลแซฟไฟร์เม็ดมะยมแบบขันเกลียว ตัวสายทำจากหนังจระเข้สีน้ำตาล ที่ใช้มือเย็บแบบแฮนด์เมดทั้งหมด ความพิถีพิถันในการผลิตอย่างหรูหราไร้ที่ติ ทำให้ปาเต็ก ฟิลิปป์น่าหลงใหล ไม่เสื่อมค่าไปตามกาลเวลา

ถัดมาเป็นกลุ่ม ‘เสื้อผ้า’ ซึ่งหลายคนอาจจะมีความเข้าใจว่าเสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ลงทุนไม่ได้ แต่หากเรามีหลักในการเลือก เสื้อผ้าก็สามารถลงทุนเพื่อเก็งกำไรได้เช่นกัน อย่างเช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ผลิตเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น หรือคอลเลกชั่นที่ออกแบบร่วมกับดีไซน์เนอร์แบรนด์อื่นๆ ก็จะมีความโดดเด่นกว่าเสื้อผ้าทั่วไป สำหรับแบรนด์เสื้อผ้าที่เหมาะแก่การลงทุนในมุมของ “มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง” นั้น คือแบรนด์ กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ (COMME des GARCONS) แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น โดยเรย์ คาวาคูโบะ แบรนด์นี้จะเด่นในเรื่องของการนำความงดงามทางศิลปะที่แปลกตามาผสมผสานกับแฟชั่น ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากคอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว ปี 2013 ด้วยลายพิมพ์ดอกไม้บนชุดโอเวอร์โค้ท ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบความ    อาวองการ์ด (Avant-Garde) ซึ่งราคาวางขายประมาณ 8 หมื่นบาท แต่ปัจจุบันราคาทะยานขึ้นสูงถึง 2 แสนบาท

สุดท้ายเป็นกลุ่ม ‘กระเป๋า’ แน่นอนว่าแบรนด์ไฮเอนด์ที่น่าลงทุน และน่าครอบครองมากที่สุดคือ ‘แอร์เมส’ (Hermès) ลักชัวรี่แบรนด์ที่มีกลยุทธ์ในการขายสินค้าที่แตกต่าง และไม่เหมือนใคร ซึ่งถ้าหากไม่ได้เป็นแฟนตัวจริงของแบรนด์ก็ยากที่จะได้เป็นเจ้าของ สำหรับรุ่นที่สามารถลงทุนได้นั้น อาทิ รุ่น Hermes Ghillies Kelly 35 Tri-Color Alligator Bag หรือที่เรียกกันว่ารุ่น 3 หนัง โดยความพิเศษของตัวกระเป๋าผลิตจากหนังสัตว์สามชนิดประกอบกัน ได้แก่ หนังนกกระจอกเทศ, หนังลิซซาร์ด (Lizard) และหนังจระเข้ ซึ่งในปัจจุบันไม่มีการผลิตรุ่นนี้แล้ว ราคาเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 2.25 ล้านบาท ส่วนราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาท นอกจากนั้นแล้วยังมี Hermes Kelly 40 Limited Edition Teddy Shearling Plush ที่ตัวกระเป๋าด้านนอกผลิตจากหนังแกะสีน้ำตาล ส่วนด้านในกระเป๋า และหูกระเป๋าผลิตด้วยหนังแพะภูเขา ราคาเมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมา ประมาณเกือบ 1 ล้านบาท ส่วนปัจจุบันสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่าของแบรนด์เนมแต่ละชิ้นนั้น เมื่อเทียบราคาซื้อกับราคาปัจจุบันแล้ว ราคาปัจจุบันปรับตัวสูงกว่าหลายเท่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามูลค่าของสินค้าแบรนด์เนมนั้นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอยู่ทุกปี ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจรูปแบบใด การลงทุนกับสินค้าแบรนด์เนมจึงถูกจัดว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอีกทางหนึ่ง โดยเคล็ดลับสำคัญก็คือต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบ และแบรนด์ที่สนใจ รวมถึงความต้องการในท้องตลาด สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสร้างมูลค่าให้กับของสิ่งนั้น และเพิ่มกำไรให้กับผู้ลงทุนได้

สามารถรับชมเรื่องราวการลงทุนของล้ำค่าเพิ่มเติมได้ทาง https://www.youtube.com/watch?v=VB7Sa-s1CxA หรือติดคอนเทนต์ดีๆ เกี่ยวกับการลงทุนโดยเซเลบริตี้นักลงทุนแบรนด์เนมแถวชื่อดัง “มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง” ได้ทาง Facebook, Instagram และ YouTube ชื่อ The World of Mark Thawin