ภาคเอกชนร่วมเซ็น MOU พัฒนาบุคลากรป้อนอุตฯ ยานยนต์ไฟฟ้า

กลุ่ม บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เซ็นลงนามบันทึกข้อตกความร่วมมือกันระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (RMUTT) บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัดหรือ (PPL) บริษัท 3 เค โซลูชั่น เมเนจเมนท์ และในโครงการการพัฒนาบุคลากร ด้านเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานประสิทธิภาพสูง อุตสาหกรรมด้านโอลิโอเคมีคัล และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ฟากซีอีโอระบุการเข้าร่วมโครงการนี้จะช่วยพัฒนาบุคลากรป้อนเข้าสู่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ จะเป็นการพัฒนากำลังคนอย่างตรงจุด รองรับความต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งเป้าขยายความร่วมมือออกไปสู่สถาบันการศึกษาทั่วไทย หวังช่วยสร้างโอกาส ยกระดับชีวิตนักศึกษาให้มีอาชีพรองรับรวมทั้งจะได้ช่วยสร้างคุณค่าคืนสู่สังคมต่อไป

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันในครั้งนี้ ในฐานะสถาบันการศึกษาถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการยกระดับความรู้ความสามารถของนักศึกษาในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ เพื่อเตรียมความพร้อมอย่างมืออาชีพ ทั้งด้านประสบการณ์ ความรู้ทางวิชาการและวิชาชีพ ไม่เพียงแต่การเรียนรู้ในห้องเรียนอย่างเดียว แต่จะเป็นการเติมเต็มความรู้จากสถานประกอบการจริง ที่นับว่าเป็นการอัพเดตความรู้ที่ทันสมัยอย่างยิ่ง ที่จะช่วยทำให้มีความพร้อมและครบสมบูรณ์ก่อนที่จะเข้าสู้โลกการทำงานหลังสำเร็จการศึกษา อีกด้านหนึ่งถือเป็นการช่วยพัฒนาและยกระดับการผลิตบุคลากรในด้านเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานประสิทธิภาพสูง อุตสาหกรรมด้านโอลิโอเคมี และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของมหาวิทยาลัย

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)หรือ EA เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทฯได้เซ็นลงนามบันทึกข้อตกความร่วมมือกันระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และ บริษัท 3 เค โซลูชั่น เมเนจเมนท์ ในโครงการร่วมดำเนินการพัฒนาบุคลากร ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อร่วมกันพัฒนาหลักสูตรแบบต่อเนื่องและเชื่อมโยงการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา เพื่อการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาบัณฑิตและบัณฑิตศึกษา ด้านเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานประสิทธิภาพสูง (Energy Storage System) อุตสาหกรรมด้านโอลิโอเคมี (Oleochemical) และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Electric Vehicle) เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางวิชาการ และเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัย
ตลอดทั้งการพัฒนากำลังคนผ่านหลักสูตรระยะสั้นและระยะปานกลางที่มุ่งเน้นผลทางปฏิบัติในศาสตร์ดังกล่าวข้างต้น ให้ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 และการพัฒนาบุคคลากรเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีระยะเวลาการดำเนินการ 3 ปี โดยให้มีผลใช้บังคับนับถัดจากวันลงนามในบันทึกข้อตกลง

นายสมโภชน์ กล่าวต่อว่า รูปแบบของความร่วมมือ โดยกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ และ บริษัท 3 เค โซลูชั่น เมเนจเมนท์ ได้ร่วมกันกับคณะอาจารย์ทำการออกแบบหลักสูตรทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ บนพื้นฐานของความต้องการกำลังคนจริงของกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เข้ามาเรียนรู้ และฝึกฝนการปฏิบัติงาน ณ สถานประกอบการ เพื่อให้นักศึกษาได้รับประโยชน์ในเชิงบูรณาการระหว่างการเรียนการสอนกับการทำงานอย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังร่วมมือในการจัดประชุมสัมมนาวิชาการและการเผยแพร่ผลงานวิชาการเพื่อเร่งสร้างสภาพแวดล้อมและความพร้อมด้านบุคลากรในพื้นที่ให้เติบโตไปกับกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์อย่างมั่นคง

รวมทั้งจะจัดสรรบุคลากรที่เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ ตลอดจนจัดสรรเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างสมรรถนะทางวิชาการและการปฏิบัติให้นักศึกษา และคาดหวังว่า เมื่อจบการศึกษาผู้เรียนจะมีศักยภาพที่จะปฏิบัติงานได้จริงทันที ทำให้บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ได้รับโอกาสในการคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณภาพได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพและความมีคุณลักษณะที่สอดคล้องกับค่านิยมขององค์กร

นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด หรือโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ เปิดเผยว่า การลงนามในครั้งนี้ทางโครงการฯจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการพัฒนาหลักสูตรแบบต่อเนื่องและเชื่อมโยงการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 และการพัฒนาบุคคลากรเพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมของเศรษฐกิจในพื้นที่ EECและของประเทศ

นายกนิษฐ์พงษ์ บุษบงค์ กรรมการจัดการ บริษัท 3 เค โซลูชั่น เมเนจเมนท์ กล่าวว่า ทั้งนี้ทาง บริษัท 3 เค โซลูชั่น เมเนจเมนท์ ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี(RMUTT) ที่ให้การสนับสนุนการอบรมและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนานักศึกษาให้เป็นกำลังหลักในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่

ความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยพัฒนาบุคคลากรและเชื่อมโยงการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งด้านทฤษฎี และการฝึกอบรม ตลอดจน การวิจัย การพัฒนาหลักสูตร รองรับด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสและยกระดับชีวิตที่ดีขึ้นให้กับนิสิต/นักศึกษาให้มีอาชีพรองรับในอนาคต และถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนากำลังคนอย่างตรงจุดเพื่อรองรับความต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอันจะเกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน

เริ่มแล้ว! The 17th CDIO International Conference

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
เป็นเจ้าภาพจัด งานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ครั้งที่ 17 The 17th CDIO International Conference ระหว่างวันที่ 21 –  23 มิถุนายน 2564 ภายใต้หัวข้อ Re-imagining Engineering Education for the New Normal มุ่งส่งเสริมการประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดการจัดการศึกษาเชิงนวัตกรรมสำหรับการสร้างวิศวกรรุ่นใหม่ในยุค New Normal

กรอบแนวคิดการจัดการศึกษาแบบซีดีไอโอ (Conceive – Design – Implement – Operate, CDIO-based Education) ได้รับการพัฒนามาจากคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจาก 4 สถาบันที่มีชื่อเสียงในโลก ได้แก่ Chalmers University of Technology, KTH Royal Institute of Technology, Linkoping University ประเทศสวีเดน และ Massachusetts Institute of Technology (MIT) ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2000 โดยมีแนวความคิดสำหรับการผลิตบัณฑิต   ที่พร้อมสำหรับยุคศตวรรษที่ 21 คือ การจัดการองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ใกล้เคียงกับวิชาชีพมากที่สุดในขณะศึกษา ณ สถาบันการศึกษา ซึ่งประกอบด้วย การรับรู้และเข้าใจปัญหา (Conceive) การออกแบบหรือหาแนวทางการแก้ปัญหา (Design) การประยุกต์ใช้ (Implement) และการดำเนินงาน (Operate) โดยนับเป็นบริบทที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาทุนมนุษย์ในโลกสากล โดยมีองค์กรกลางซึ่งไม่แสวงหากำไรในชื่อ CDIO Worldwide Initiatives ดำเนินการโดย ในปัจจุบันมีสมาชิกในฐานะ Collaborator จำนวน 260 สถาบันทั่วโลก

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ Conceive, Design, Implement, and Operate (CDIO) Framework for Re-Thinking Engineering Education, Thailand ภายใต้การสนับสนุนของ Temasek Foundation และ Singapore Polytechnic International ระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555 – เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2557 โดยเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมในการนำหลักการ CDIO-based Education มาประยุกต์ใช้ตั้งแต่ การประยุกต์ใช้ในระดับรายวิชา ระดับหลักสูตร จนถึงการเปลี่ยนแปลงระดับสถาบัน ซึ่งผลการประยุกต์ใช้พบว่ากรอบแนวคิดการจัดการศึกษาแบบซีดีไอโอ เป็นกรอบแนวปฏิบัติที่เหมาะสมอย่างยิ่ง  ในการผลิตบัณฑิตสำหรับโลกยุคศตวรรษที่ 21 โดยที่ CDIO มีสถาบันทางการศึกษาที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในทุกปี จนกระทั่งเมื่อปีพ.ศ. 2563 ที่ทั่วโลกประสบกับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้การประชุมนานาชาติ CDIO ครั้งที่ 16 ต้องทำการปรับรูปแบบการนำเสนอผลงานในรูปแบบออนไลน์ และด้วยปีนี้สถานการณ์การระบาดของโรค COVID -19 ยังมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้การประชุมวิชาการระดับนานาชาติ CDIO ครั้งที่ 17 ยังคงต้องดำเนินการนำเสนอผลงานในรูปแบบออนไลน์ โดยมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี รับเป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดประชุมในครั้งนี้ ภายใต้หัวข้อว่า “Re-imagining Engineering Education for the New Normal”  ระหว่างวันที่ 21-23 มิถุนายน 2564

โปรแกรมการประชุมนี้ ประกอบด้วย: 2 Keynotes, 81 ผลงานการนำเสนอทั่วไป, 3 Working groups, 4 Workshops และ 8 Roundtables ซึ่งโดยรวมทั้งหมดมีการนำเสนอผลงานทั้งหมด 98 ผลงาน โดยนักวิชาการจำนวนมากกว่า 150 ท่าน จากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจำนวน 27 ประเทศ ที่เข้าร่วมในการประชุมออนไลน์ครั้งนี้

ปาฐกถาพิเศษ คนที่ 1 โดย ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการอิสระ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) โดยจะบรรยายในหัวข้อ TRANSFORMING THE EDUCATIONAL CONTEXT FOR THAILAND IN THE NEW NORMAL ERA

ปาฐกถาพิเศษ คนที่ 2 โดย ศาสตราจารย์ ดร. โยฮันนา อันนาลา  (Johanna ANNALA) อาจารย์อาวุโสจากคณะศึกษาศาสตร์และวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยตัมเปเร่ ประเทศฟินแลนด์  โดยจะบรรยายในหัวข้อ Academics AS CURRICULUM CREATORS IN HIGHER EDUCATION

ศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงการประชุมวิชาการ CDIO ครั้งที่ 17 นี้ว่า การระบาดใหญ่ของ COVID-19 มีผล กระทบต่อชีวิตประจำวันของเราทุกคน เช่นเดียวกับการศึกษาที่เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และเมื่อยุคที่มีแพลตฟอร์มการจัดการเรียนรู้มากขึ้น อาจารย์ผู้สอนจะต้องปรับวิธีการสอนของตนเองเพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้อย่างเข้าถึงแก่นแท้ ขณะเดียวกันนิสิตก็เตรียมความพร้อมอุปกรณ์ และสัญญาณการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับการเรียนออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่แน่นอนว่า สถานการณ์เช่นนี้สามารถก่อทำให้เกิดสภาวะความเครียดต่ออาจารย์รวมถึงนิสิตได้ และผลเสียเหล่านี้เป็นข้อกังวลที่เป็นประเด็นสำคัญให้กับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทางด้านวิชาการทุกคนต้องเผชิญ ทั้งนี้ การประชุมนานาชาติ CDIO ครั้งที่ 17 ภายใต้หัวข้อ “Re-imagining Engineering Education for the New Normal” เป็นกิจกรรมงานประชุมที่คณาจารย์ทุกคนสามารถแบ่งปันประสบการณ์ในฐานะนักวิชาการด้านการศึกษา การประชุมครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมจะได้ทราบถึงการประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้ตามกรอบแนวคิดการจัดการศึกษาแบบซีดีไอโอ ในช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน และเปลี่ยนผ่านไปสู่ความปกติแบบใหม่ได้อย่างไร อีกทั้งการเรียนรู้ร่วมกันในช่วงหลังวิกฤตการณ์โดยที่สถาบันอุดมศึกษาก็ต้องมีการปรับตัว รวมถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเองก็เช่นกัน ที่เล็งเห็นความสำคัญและพร้อมที่จะสนับสนุนคณาจารย์ นิสิต และบุคลากรทางวิชาการ ในการเรียนรู้ถึงกรอบการจัดการการเรียนรู้แบบ CDIO และรวมถึงการปรับปรุงแพลตฟอร์มและโครงสร้างพื้นฐานด้านวิชาการ เพื่อให้มีความพร้อมทันกาลสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ผศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวเสริมถึงประเด็นเรื่อง ความร่วมมือระหว่างประเทศและการสร้างเครือข่ายนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดการกับปัญหาท้าทายระดับโลก จึงทำให้มีความสนใจที่จะให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันในการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศในทุกศาสตร์สาขาวิชา โดยที่มีการมุ่งเป้าไปที่การจัดการกับความท้าทายของการศึกษาและการวางตำแหน่งเครือข่ายของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลให้เป็นสถาบันระหว่างประเทศที่มีการแข่งขันสูง การทำงานกับมหาวิทยาลัยนานาชาติถือเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ทั่วโลก หลักการซีดีไอโอ (CDIO) เป็นแบบอย่างในการพัฒนาสถาบันการศึกษาและสร้างหลักสูตรที่จะช่วยยกระดับศักยภาพของบัณฑิต ส่งเสริมทักษะที่จำเป็นในการทำงานและเท่าทันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญที่ผลักดันให้สถาบันการศึกษาพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดการกับความท้าทายในการศึกษาภายใต้ความปกติใหม่ ทั้งนี้มหาวิทยาลัยมีความมั่นใจในความพยายามและมุ่งมั่นยกระดับการศึกษาให้ทันต่อความท้าทายของยุคสมัย บังเกิดผลทำให้สามารถผลิตบัณฑิตที่มีศักยภาพและคุณภาพ ซึ่งเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองและยั่งยืนของประเทศไทย

ขอเรียนเชิญเข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรอบการศึกษาเชิงนวัตกรรมสำหรับการสร้างวิศวกรรุ่นใหม่ ในงานการประชุมนานาชาติ CDIO ครั้งที่ 17 ที่จัดในรูปแบบออนไลน์ได้ที่ http://www.cdio2021.chula.ac.th