บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมศึกษาแนวทางพัฒนาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ-พลังงานทดแทน

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด  (มหาชน) หรือ BGRIM ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับนายชาลี โสภณพนิช กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จำกัด (นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย) เพื่อร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีระบบโครงข่ายสำหรับส่งไฟฟ้าอัจฉริยะแบบครบวงจรโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Smart Grid) ในนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย (สุวรรณภูมิ) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564

นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย (สุวรรณภูมิ) เป็นนิคมร่วมดำเนินงานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตั้งอยู่บริเวณ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีเนื้อที่กว่า 4,000 ไร่ เหมาะสมกับอุตสาหกรรมประเภทยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ โลจิสติคส์ อาหาร เวชภัณฑ์ อีคอมเมิร์ซ และดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ที่สามารถเดินทางเข้าสู่เขตธุรกิจของกรุงเทพฯ (40 กม.) และศูนย์กลางการขนส่งของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (20 กม.) ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติหลักของประเทศไทย สถานีแยกและบรรจุสินค้ากล่องลาดกระบัง (20 กม.) ท่าเรือคลองเตย (54 กม.) และท่าเรือแหลมฉบัง (85 กม.) ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว การเดินทางสู่นิคมสามารถทำได้โดยใช้สองเส้นทางหลัก คือ ถนนบางนา-ตราด ผ่านถนนรัตนโกสินทร์ 200 ปี และ มอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ-ชลบุรี ผ่านถนนหลวงเพ่ง ซึ่งปัจจุบันถือได้ว่าเป็นเส้นทางหลักจากกรุงเทพฯ ไปสู่จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื่องด้วยมีการขยายถนนเส้นดังกล่าวเป็น 4 ช่องและ 6 ช่องจราจร ปัจจุบัน ในนิคมมีผู้ประกอบการขนาดใหญ่ เช่น บริษัท ฮีโน่ มอเตอร์ส แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เอ็นจีเค เซรามิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท สายไฟฟ้าไทย-ยาซากิ จำกัด

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์  เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ของการทำบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมมือเพื่อขยายธุรกิจร่วมกัน ในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็นด้วยก๊าซธรรมชาติ รวมถึงพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนอื่น ๆ ตลอดจนการพัฒนาระบบสมาร์ทกริด ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพของ บี.กริม เพาเวอร์ ในการเป็นผู้นำด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

“บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งให้บริการพลังงานที่มีคุณภาพและเสถียรภาพผ่านการซื้อขายในระบบ energy trading โดยขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าโดยตรง ไม่ผ่านระบบของการไฟฟ้า ซึ่งอาศัยโครงข่ายอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่พัฒนาโดย บี.กริม เพาเวอร์ ซึ่งปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ ได้นำร่องทดสอบระบบ trading ระหว่างอาคารต่างๆ ในเครือ บี.กริม และในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ แล้ว” ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว

ก่อนหน้านี้ บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการศึกษานำร่องพัฒนาระบบสมาร์ทกริด ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จังหวัดชลบุรี กับสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงกำลังผลิตไฟฟ้าหลายรูปแบบ ทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งโซลาร์ลอยน้ำ โซลาร์รูฟท็อป ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) สถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) รวมถึง การอัพเกรดสายส่ง และระบบต่างๆ ให้ทันสมัย เป็นระบบอัจฉริยะเพื่อรองรับต่อการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยี 5G โดยโครงการนำร่องจะทยอยดำเนินการเป็นระยะๆ

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือระหว่าง บี.กริม เพาเวอร์ และ นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ในครั้งนี้ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่ต้องการมุ่งขยายธุรกิจระบบการส่งและระบบการจำหน่ายไฟฟ้าในภูมิภาค ซึ่งตลอดการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา บริษัทมีการสร้างและควบคุมระบบการส่งและระบบการจำหน่ายไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งสิ้น 9 แห่งทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่างๆ สู่การเป็น Smart City ในอนาคต

ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 50 โครงการ และตั้งเป้ากำลังการผลิตเติบโตจาก 3,058 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2563 เป็นมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 7,200 เมกะวัตต์ในปี 2568 และมุ่งสู่ 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 โดยมีเป้าหมายรายได้ต่อปีกว่า 100,000 ล้านบาท

โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ครบถ้วน พร้อมจ่ายไฟ ต.ค. นี้

โครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ เขื่อนสิรินธร ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้อนุมัติให้ กิจการค้าร่วม บี.กริม เพาเวอร์-เอ็นเนอร์จี้ ไชน่า (B.Grimm Power-Energy China Consortium) เป็นผู้ชนะการประกวดราคา และเป็นผู้รับผิดชอบส่วนงานการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ให้แก่ กฟผ. ซึ่งมีการลงนามไปเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563 แล้วนั้น

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ความคืบหน้าล่าสุด บริษัทได้มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กับทุ่นลอยน้ำในเขื่อนสิรินธรครบทั้งหมด 7 ชุด พร้อมติดตั้งทุ่นคอนกรีตของระบบยึดโยงใต้น้ำและก่อสร้างอาคารสวิตช์เกียร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดย กฟผ. ได้เริ่มทดสอบการขนานเครื่อง (First Synchronization) ชุดแรกเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 และจะทำการทดสอบอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนตุลาคม 2564 นี้

โครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ เขื่อนสิรินธร  ถือเป็นโครงการแบบไฮบริดที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนี้  มีกำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการกว่า 842 ล้านบาท ใช้แผงโซลาร์เซลล์ชนิดดับเบิ้ลกลาสที่เหมาะสมกับการวางแผงโซลาร์เซลล์ใกล้ผิวน้ำที่มีความชื้นสูง และมีการเคลื่อนไหวของผิวน้ำอยู่ตลอดเวลา และใช้ทุ่นลอยน้ำชนิด HDPE (High Density Polyethylene) ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อม โดยติดตั้งอุปกรณ์ทั้งหมดบนพื้นที่ผิวน้ำกว่า 450 ไร่ ใช้ระบบส่งไฟฟ้าเดิมร่วมกับเขื่อนของ กฟผ. เช่น หม้อแปลง  สายส่ง สถานีไฟฟ้าแรงสูง ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าในอนาคตมีราคาถูกลง โดยสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดร่วมกันระหว่างพลังงานแสงอาทิตย์และพลังน้ำ เพื่อเสริมความมั่นคงพลังงานสะอาดของประเทศไทย โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO2) ได้ประมาณ 47,000 ตันต่อปี

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า การพัฒนาและสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำให้กับ กฟผ. ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนของประเทศไทย รวมถึงเป็นโอกาสในการพัฒนาและดำเนินการโครงการโซลาร์ทุ่นลอยน้ำในโครงการอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต ด้วยความพร้อมและศักยภาพของบริษัทภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก “เอ็นเนอร์ยี่ ไชน่า” ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีศักยภาพและความได้เปรียบสูงในการบริหารจัดการต้นทุน การจัดหาวัสดุอุปกรณ์และการพัฒนาเทคนิควิศวกรรมที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการพัฒนาและก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งมั่นดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านการพัฒนาพลังงานสะอาด พร้อมตอบโจทย์รูปแบบความต้องการใช้พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์กรระหว่างประเทศที่มีนโยบายลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะยาว ซึ่งบริษัทพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและร่วมมือกับองค์กรเหล่านี้ เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อร่วมกันลดภาวะโลกร้อนและดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยกันอย่างยั่งยืน

เจาะ 7 ยุทธศาสตร์ “บี.กริม เพาเวอร์” สู่ผู้ผลิตพลังงานระดับโลก

บี.กริม เพาเวอร์ ประกาศ 7 ยุทธศาสตร์ ก้าวสู่ผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี เสริมโมเดลธุรกิจด้วยดิจิทัลและพลังงานสะอาด สู่เป้าหมาย 10,000 เมกะวัตต์

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า บี.กริม เพาเวอร์ได้ประกาศ 7 ยุทธศาสตร์ มุ่งสร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately) ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ บี.กริม เพาเวอร์ โดยยึดหลักการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี สร้างคุณค่าให้กับสังคมในรูปแบบของ Sustainable Utility Solution Provider ด้วยการผลิตพลังงานที่มีคุณภาพสูงและบริการแบบครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่มาของ “ค่านิยมองค์กร” บี.กริม ใน 4 เรื่องหลัก คือ ความเป็นมืออาชีพ การมีทัศนคติที่ดี ความร่วมมือกัน และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สำหรับ 7 ยุทธศาสตร์หลักในการขับเคลื่อนองค์กรในอนาคต เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก ประกอบด้วย

ยุทธศาสตร์ที่ 1 ขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งจากก๊าซธรรมชาติและพลังงานสะอาดภายใต้รูปแบบสัมปทานกับภาครัฐในประเทศต่างๆ ทั่วโลก (B2G) (Significantly expand our gas and renewable generating capacity in the region (B2G)) เพื่อให้บริการไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงอันเป็นรากฐานสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยจะเป็นการพัฒนาโครงการใหม่หรือการเข้าซื้อกิจการ ทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ เช่น สปป.ลาว, เวียดนาม, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, กัมพูชา และฟิลิปปินส์

ยุทธศาสตร์ที่ 2 สร้างบทบาทสำคัญในธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และเชื้อเพลิงสะอาด  (Become a significant player in the LNG business and clean fuel supply) จากความต้องการ LNG ของภูมิภาคอาเซียนซึ่งมีการเติบโตสูงที่สุดในโลก ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโควต้าการนำเข้า LNG จำนวน 1,200,000 ตันต่อปี อันจะนำมาสู่โอกาสในการบริหารต้นทุนการผลิตที่ดีขึ้น และโอกาสในการขยายธุรกิจใหม่ ทั้งด้านธุรกิจไฟฟ้าและการจำหน่าย LNG  นอกจากนี้ยังศึกษาเชื้อเพลิงทางเลือกต่างๆ เพื่อนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต

ยุทธศาสตร์ที่ 3 ให้บริการลูกค้าอุตสาหกรรมด้านสาธารณูปโภคแบบครบวงจร (Grow our B2B solution offerings to industrial customers) ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำที่มีคุณภาพสูงให้กับโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 300 รายอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม โดยจะขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมบริการด้านสาธารณูปโภคแบบครบวงจร และขยายพื้นที่การให้บริการที่นอกเหนือไปจากนิคมอุตสาหกรรมที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนแนวโน้มการกระจายตัวแบบไม่รวมศูนย์ (Decentralization) มุ่งสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตของภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ

ยุทธศาสตร์ที่ 4  ให้บริการสาธารณูปโภคครบวงจรสำหรับกลุ่มอาคารพาณิชย์ (Build a foothold in commercial and building segments) ในรูปแบบการนำเสนอโซลูชั่นทางด้านสาธารณูปโภค ภายใต้การผนึกกำลังของบริษัทต่างๆ ในเครือ บี.กริม เพื่อนำเสนอโซลูชั่นให้กับลูกค้าได้อย่างครบถ้วน

ยุทธศาสตร์ที่ 5 ขยายธุรกิจระบบการส่งและระบบการจำหน่ายไฟฟ้าในภูมิภาค (Become a significant player in private transmission & distribution) เพื่อสนับสนุนการส่งและจำหน่ายไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพไปสู่ผู้ใช้ โดยอาศัยความชำนาญกว่า 25 ปีของ บี.กริม เพาเวอร์ในการสร้างและควบคุมระบบการส่งและระบบการจำหน่ายไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม 9 แห่งทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา นำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการเป็น Smart City ต่อไปในอนาคต

ยุทธศาสตร์ที่ 6  ให้บริการพลังงานที่มีคุณภาพและเสถียรภาพผ่านการซื้อขายในระบบ energy trading (Maximize reliability and viability in energy trading) โดยเป็นการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าโดยตรง ไม่ผ่านระบบของการไฟฟ้า ซึ่งอาศัยโครงข่ายอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่พัฒนาโดย บี.กริม เพาเวอร์ ปัจจุบัน ทางบริษัทได้นำร่องทดสอบระบบ trading ระหว่างอาคารต่างๆ ในเครือ บี.กริม และในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ แล้ว

“ทิศทางธุรกิจพลังงานจากนี้ โรงไฟฟ้าจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ อนาคตคนจะมีโรงไฟฟ้าในบ้าน มีการติดแผงโซลาร์บนหลังคาผลิตไฟฟ้าขายเพื่อนบ้านแบบ Peer to Peer ที่แลกเปลี่ยนกันได้โดยตรง” ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว

ยุทธศาสตร์ที่ 7 เดินหน้าพัฒนาโมเดลธุรกิจในรูปแบบต่างๆ เพื่อรองรับ “ดิจิทัล ทรานฟอร์เมชั่น” ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการขับเคลื่อนด้วยทีมงานคนรุ่นใหม่ (Champion global best practices in digital transformation)

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า ภายใต้ยุทธศาสตร์ 7 ประการ จะควบคู่ไปกับจุดแข็ง 5 ข้อของ BGRIM คือ 1. ความสามารถในการสร้างโอกาสทางธุรกิจ 2. การเป็นพันธมิตรที่ดีและได้รับความไว้วางใจ 3. ความสามารถในการพัฒนาและบริหารโครงการ 4. การจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับการเติบโตด้วยต้นทุนที่เหมาะสม และ 5. ความพร้อมทางด้าน “ดิจิทัล ทรานฟอร์เมชั่น” เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว ด้วยเป้าหมายก้าวสู่บริษัทผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก โดย บี.กริม เพาเวอร์ มีเป้าหมายก้าวสู่องค์กรที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions ภายในปี ค.ศ. 2050 (ปี พ.ศ. 2593)

ปัจจุบันบี.กริม เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 48 โครงการ โดยตั้งเป้ากำลังการผลิตเติบโตจาก 3,058 เมกะวัตต์ในปี 2563 เป็น 7,200 เมกะวัตต์ในปี 2568 และมุ่งสู่ 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 ด้วยมีเป้าหมายรายได้ต่อปีกว่า 100,000 ล้านบาท โดยผ่านโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability) ภายใต้หลักธรรมภิบาล ตลอดจนการบริหารห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) อย่างรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หนึ่งในโครงการที่ บี.กริม ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง คือ โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง (Save the Tigers) ด้วยความร่วมมือกับ WWF เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรเสือในผืนป่า และปลูกจิตสำนึกให้แก่เด็กและเยาวชน เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์สัตว์ป่า นอกจากนี้ ยังมีโครงการเพื่อความยั่งยืนอื่นๆ อาทิ โครงการปลูกต้นไม้เพื่อขยายพื้นที่ป่า, โครงการปลูกป่าชายเลน และโครงการ บวร บี.กริม เป็นต้น

BGRIM ขึ้นแท่นนำเข้า LNG เอกชนรายใหญ่ที่สุดแล้ว

บี.กริม เพาเวอร์ เฮ กกพ. ไฟเขียวนำเข้า LNG เพิ่ม 5.5 แสนตัน รวม 1.2 ล้านตันต่อปี ป้อนโรงไฟฟ้าเพิ่ม 13 ราย ก้าวสู่หนึ่งในผู้นำเข้า LNG เอกชนรายใหญ่ที่สุด

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ บี.กริม เพาเวอร์ ถือหุ้น 100% ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการเพิ่มปริมาณการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) อีกจำนวนไม่เกิน 550,000 ตันต่อปีและเห็นชอบให้เพิ่มรายชื่อลูกค้าเพื่อจัดจำหน่ายเพิ่มเติมให้กับโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการของกลุ่มบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ อีกจำนวน 13 ราย

ก่อนหน้านี้ บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี จำกัด ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper) จาก กกพ. จำนวน 650,000 ตันต่อปี เพื่อจัดจำหน่ายให้กับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุสัญญาลง 5 โครงการ ของกลุ่มบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ ในปี 2565

ส่งผลให้ปริมาณการนำเข้า LNG ในแต่ละปีของกลุ่มบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ เพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 ตันต่อปี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้นำเข้า LNG ภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดที่จะจำหน่าย LNG ให้กับโครงการโรงไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรม (SPP) และยังจะช่วยเอื้อประโยชน์ในด้านการบริหารต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งมีสัดส่วน 65-70% ของต้นทุนในการขายและให้บริการของ บี.กริม เพาเวอร์

CEO บี.กริม โชว์วิสัยทัศน์สร้างธุรกิจอย่างยั่งยืน

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เเปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายขยายกำลังการผลิตไปสู่ 7,200 เมกะวัตต์ภายในปี 2568 ด้วยปณิธานที่จะส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักธรรมภิบาล ตลอดจนการบริหารห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) อย่างรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบใน 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมผ่านการพัฒนาพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเป้าหมายของ บี.กริม ในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อร่วมลดภาวะโลกร้อนและดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังคามร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 71% และจากพลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาดประมาณ 29%

ทั้งนี้ ในวันที่ 2 มิถุนายน 2564 บริษัทได้จัดโรดโชว์แก่กลุ่มผู้ลงทุนเพื่อให้ข้อมูลบริษัท และการเตรียมเสนอขายและจัดออกหุ้นกู้ครั้งใหม่จำนวนรวมไม่เกิน 8,000 ล้านบาท และมีกรีนชูอีก 2,000 ล้านบาท โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปลงทุนในโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าทั้งที่เป็นการสร้างใหม่ การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณา 2-3 ดีล อาทิ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ในประเทศเวียดนาม มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ภายในครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ ยังเพื่อใช้คืนเงินกู้เดิมเพื่อลดต้นทุนภาระดอกเบี้ยให้ต่ำลง รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ

สำหรับการออกหุ้นกู้รวม 8,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งจะเป็นหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) อายุ 5 ปี โดยเงินที่ได้จากการเสนอขาย Green Bone ประมาณ 87% จะใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประเทศเวียดนาม และอีกประมาณ 13% จะใช้ลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลม จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งขณะนี้มีผู้ลงทุนให้ความสนใจในหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 3 ปี 5 ปี (Green Bond) และ 10 ปี และคาดน่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี โดยจะมีกำหนดราคาจากความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) เร็วๆ นี้ โดยคาดว่าจะเสนอขายและจัดออกหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2564 ทั้งนี้ ได้แต่งตั้งธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ดังกล่าว

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคตของ บี.กริม มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อก้าวสู่องค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions ภายในปี ค.ศ.2050 (ปี พ.ศ. 2593) ผ่านโครงการการศึกษาเชื้อเพลิงทางเลือก เทคโนโลยีใหม่และแผนดำเนินงานต่างๆ โดยเฉพาะการเดินหน้าขยายพื้นที่ป่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอบโจทย์การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายสำคัญในการนำ บี.กริม เพาเวอร์ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices) หรือ DJSI จัดขึ้นด้วยความร่วมมือของ S&P Global และ SAM ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน รวมถึงการสร้างคุณค่าระยะยาวให้กับผู้มีส่วนได้เสีย

สำหรับการจัดหาเงินทุนผ่าน Green Financing บริษัทถือเป็นผู้บุกเบิกการระดมทุนผ่านการการออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) มาตั้งแต่ปี 2561 โดยเป็นบริษัทเอกชนบริษัทแรกที่ออก Green Bond จำนวน 5,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหุ้นกู้รายแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองโดย Climate Bonds Initiative ก่อนที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะมีการออกเกณฑ์การออก Green Bond อย่างเป็นทางการ ในปี 2562 ส่งผลให้บริษัทได้รับรางวัลจากองค์กรชั้นนำทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จากการจัดออกหุ้นกู้ชุดดังกล่าว อาทิ รางวัล Most Innovative Deal of The Year 2018 จากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) รวมถึงได้รับ รางวัล Green Financing of the Year in Thailand จาก The Asset Triple A Asia Infrastructure Awards 2019 จัดโดย The Asset นิตยสารทางการเงินชั้นนำของเอเชีย ณ โรงแรม Four Seasons ประเทศสิงคโปร์

ก่อนหน้านี้ ในเดือนตุลาคม 2563 ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian  Development Bank (“ ADB”) ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้สีเขียวเพื่อโครงการที่มีส่วนในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Loan) วงเงิน 183 ล้านเหรียญสหรัฐ กับบริษัท Phu Yen TTP Joint Stock Compan (“Phu Yen TTP JSC”) ซึ่งถือหุ้นโดย บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน 80% และ Truong Thanh Viet Nam Group Joint Stock Company (TTVN) ในสัดส่วน 20% เพื่อพัฒนาและดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กำลังการผลิต 257 เมกะวัตต์ ใน ฮว่า ฮอย จังหวัดฟู้เอียน ประเทศเวียดนาม

โดยสัญญาเงินกู้สีเขียววงเงิน 183 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบด้วย เงินกู้โดยตรงจาก ADB 28 ล้านเหรียญสหรัฐ เงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารเกียรตินาคิน, Industrial and Commercial Bank of China (ICBC), และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ผ่าน ADB (เงินกู้ B loan) 146 ล้านเหรียญสหรัฐ และการจัดสรรเงินกู้ 9 ล้านเหรียญสหรัฐจาก Private Infrastructure Fund (LEAP) โดยสัญญาเงินกู้ดังกล่าวถือเป็น Green Loan ที่ได้รับการรับรองจาก Climate Bonds Initiative หรือ CBI ครั้งแรกของประเทศเวียดนามและใน CLMVT นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับรางวัล Green Project of the Year in Vietnam จาก The Asset Triple A Asia Infrastructure Awards 2021 จัดโดย The Asset นิตยสารทางการเงินชั้นนำของเอเชียอีกด้วย

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทยังประสบความสำเร็จในการจัดหาเงินกู้เกือบ 40,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 7 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 980 MW เพื่อผลิตไฟฟ้าที่มีคุณภาพให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศไทย และไม่ก่อให้เกิดมลพิษมากเกินค่ามาตรฐาน โดยได้รับการสนับสนุนจาก 5 สถาบันการเงินชั้นนำประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เป็นเงินกู้เกือบ 40,000 ล้านบาท ในลักษณะเงินกู้โครงการ (project finance) สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทในการระดมทุนแม้จะมีสถานการณ์ไม่พึงประสงค์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้บริษัทได้รับรางวัล Power Deal of the Year in Thailand จาก The AssetTriple A Asia Infrastructure Awards 2021 จัดโดย TheAsset นิตยสารทางการเงินชั้นนำของเอเชีย