บีโอไอ ชี้เทรนด์การลงทุนอุตสาหกรรม BCG มาแรง

บีโอไอ ชี้ทิศทางการลงทุนตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทวีบทบาทสำคัญ สอดรับกับแนวทางพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ขององค์การสหประชาชาติ ระบุสถิติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการกลุ่ม BCG ตั้งแต่ปี 2558 ถึง กันยายน 2564 มีมูลค่ารวมเกือบ 7 แสนล้านบาท พร้อมผลักดันสตาร์ทอัพไทยให้แข็งแกร่งเตรียมร่วมมือ NIA และ สอวช. จัดมหกรรม BCG Startup Investment Day ต้นปี 2565

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ด้วยสภาพการณ์การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงอันเนื่องมาจากเทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ และการที่ประเทศไทยต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ รัฐบาลจึงได้กำหนดให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular – Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องการต่อยอดจุดแข็งของไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยแนวทางพัฒนานี้ยังถูกจัดอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันมาตรการส่งเสริมการลงทุนครอบคลุมกิจการจำนวนมากตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง และบีโอไอได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามแนวทาง BCG ในหลายด้าน เช่น

· มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานทดแทน หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรการด้านการยกระดับไปสู่มาตรฐานเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล เช่น มาตรฐานการรับรองป่าไม้ตามแนวทางขององค์การพิทักษ์ป่าไม้ (Forest Stewardship Council: FSC) เป็นต้น

· มาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งครอบคลุมถึงการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่น
ในการพัฒนากิจการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกข้าวแบบปล่อยมีเทนต่ำ เป็นต้น

· ปรับปรุงประเภทกิจการและสิทธิประโยชน์โดยให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม คือ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและโรงแยกก๊าซ ในกรณีใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน โดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี และกิจการห้องเย็น หรือกิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น หากใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี

จากสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกิจการในกลุ่ม BCG ตั้งแต่ ปี 2558 – กันยายน 2564 มีจำนวน 2,829 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 677,157 ล้านบาท โดย 5 อันดับแรกกิจการ BCG ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ 1. กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า ที่เป็นพลังงานหมุนเวียน (รวมถึงไฟฟ้าจากขยะ) 289,007 ล้านบาท 2. กิจการผลิตหรือถนอมอาหาร เครื่องดื่ม วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive) หรือสิ่งปรุงอาหาร (Food Ingredient) โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย 94,226 ล้านบาท 3. กิจการผลิตเคมีภัณฑ์หรือพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นรูปต่อเนื่องจากการผลิตพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในโครงการเดียวกัน 40,998 ล้านบาท 4. กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุทางการเกษตร 25,838 ล้านบาท 5. กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ 22,250 ล้านบาท

โดยเฉพาะในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2564 (ม.ค. – ก.ย.) มีสัญญาณบ่งชี้อัตราเติบโตที่ดี โดยมีกิจการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 564 โครงการ จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 74 และมีมูลค่าลงทุน 128,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อนร้อยละ 160 และสูงกว่ามูลค่าการลงทุนในปี 2563 ทั้งปี (93,883 ล้านบาท) โดยมีตัวอย่างบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนภายใต้กิจการ BCG อาทิ

o กลุ่มโปรตีนทางเลือก (Alternative Protein)

– บริษัท โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย โครงการผลิตโปรตีนจากจิ้งหรีด

– บริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค (ประเทศไทย) จำกัด โครงการผลิตโปรตีนผงจากหนอนแมลงวันผลไม้

o กลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ Biotechnology

– บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด โครงการผลิตผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนบำบัด เพื่อรักษาโรคสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาหลัก

– บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด โครงการผลิตยาจากเทคโนโลยีชีวภาพหรือชีวเภสัชภัณฑ์ที่ได้จากการใช้
ต้นยาสูบเป็นเจ้าบ้าน (HOST)

o กลุ่มพลาสติกชีวภาพ Bioplastic

– บริษัท โททาล คอร์เบียน พีแอลเอ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เนเชอร์เวิร์คส์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด โครงการผลิตโพลีแลคติค แอซิด (Polylactic Acid : PLA) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายประเภท

– บริษัท พีทีที เอ็มซีซี ไบโอเคม จำกัด โครงการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพชนิด PBS (Polybutylene Succinate)

– บริษัท ไทยวา จำกัด โครงการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด TPS (THERMOPLASTIC STARCH) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังของไทย

– บริษัท ฟรุตต้า ไบโอเมด จำกัด โครงการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PHA (POLYHYDROXYALKANOATE) และ PHA BIOPLASTIC COMPOUND และผลิตภัณฑ์ขึ้นรูปจากพลาสติก PHA ซึ่งเป็นกิจการที่นำของเหลือทางการเกษตร

o กลุ่มพลาสติกรีไซเคิลเกรดอาหาร (Food-Grade Recycled Plastics)

– บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด โครงการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด rPET (FOOD GRADE) เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท ALPLA TH RECYCLING BETEILIGUNGSGELLSCHAFT
M.B.H ประเทศออสเตรีย ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม ALPLA ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกรายใหญ่ของยุโรป

– บริษัท อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ส์ จำกัด (มหาชน) โครงการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด
PET เม็ดพลาสติก PET รีไซเคิล (rPET) สำหรับการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสอาหาร

– บริษัท เซอร์คูลาร์ พลาส จำกัด โครงการวิจัยและพัฒนาระดับโรงงานสาธิตเพื่อผลิต PYROLYSIS NAPHTHA หรือ CIP-N โดยเป็นการวิจัยในขั้นทดลองในห้องปฏิบัติการ (LAB SCALE) และการวิจัยพัฒนาระดับนำร่อง (PILOT SCALE)

“โมเดลเศรษฐกิจ BCG จะเป็นแนวทางในการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยการใช้จุดแข็งที่ไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยการสร้างความสมดุลจากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ ทั้งนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจตามโมเดล BCG ของไทย จะนำไปสู่การปรับกระบวนทัศน์ และการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs และคาดว่าในอีก 5 ข้างหน้าอุตสาหกรรม BCG ของไทยจะมีมูลค่าร้อยละ 25 ของ GDP ซึ่งบีโอไอพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่จะนำเป้าหมายดังกล่าวให้เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน” เลขาธิการบีโอไอ กล่าว

เลขาธิการบีโอไอ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนกิจการในกลุ่ม BCG ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ บีโอไอร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และหน่วยงานพันธมิตร เตรียมจัด “มหกรรม BCG Startup Investment Day” ในช่วงต้นปี 2565 เพื่อสนับสนุนให้ Startup ที่มีศักยภาพได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน และมาตรการสนับสนุนต่างๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ Startup ให้แข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้ด้วย

 

บีโอไอสัมมนาต่อยอดเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจภูมิภาค

บีโอไอ เตรียมจัดสัมมนาในงาน SUBCON Thailand 2021 วันที่ 23 กันยายนนี้ ระดมกูรูจาก 4 กองส่งเสริมการลงทุน เพื่อแนะแนวทางยื่นขอรับส่งเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกิจการดิจิทัลที่พลิกโฉมรูปแบบใหม่ให้ผู้ประกอบการในภูมิภาค สร้างแต้มต่อให้กับการประกอบธุรกิจ พร้อมดึง SME D Bank สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์แก่นักลงทุนที่เข้าร่วมสัมมนา

นายขวัญชัย วรกัลยากุล ผู้อำนวยการกองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน บีโอไอ เปิดเผยว่า บีโอไอจะจัดสัมมนาออนไลน์เรื่อง “เพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจ เพิ่มวัคซีนให้เศรษฐกิจภูมิภาคกับบีโอไอ” ในงาน SUBCON Thailand Virtual Edition วันที่ 23 กันยายน 2564 เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคธุรกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะในกิจการที่ได้รับความนิยมซึ่งมีผู้มายื่นขอรับส่งเสริมจำนวนมากจาก 4 กองส่งเสริมการลงทุนคือ กองฯ 1 อุตสาหกรรมเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ และการแพทย์ กองฯ 2 อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
กองฯ 3 อุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมสนับสนุน และกองฯ 4 อุตสาหกรรมดิจิทัล สร้างสรรค์ และบริการที่มีมูลค่าสูง

ทั้งนี้ การขอรับส่งเสริมตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบันเดือนกรกฎาคม 2564 มีจำนวน 911 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 95,048 ล้านบาท ในด้านการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนปี 2558 ถึงปัจจุบัน เดือนกรกฎาคม 2564 มีจำนวน 806 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 61,411 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงาน พลังงานทดแทน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รองลงมาคือ การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ภายในงานจะมีเวทีการสัมมนาให้ความรู้ในการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้วยระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ แผงโซลาร์ และสร้างความเข้าใจในการขอกิจการดิจิทัลที่พลิกโฉมรูปแบบใหม่ โดยเจ้าหน้าที่วิเคราะห์โครงการผู้เชี่ยวชาญจากกองส่งเสริมการลงทุนที่ 1 – 4 เข้าร่วมให้ข้อมูล รวมทั้งมีช่วงอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ นวัตกรรมด้านความคิด เพื่อปรับเพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ดิจิทัลในยุคโควิดเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด โดยผู้ทรงวุฒิ และมีประสบการณ์หลากหลาย ประกอบด้วย นายชัยณรงค์ ฉัตรรัตนวารี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจดิจิทัล ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ดร.อุดมธิปก ไพรเกษตร เลขาธิการสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย นายศักดา สารพัดวิทยา รองนายกสมาคม สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) นางสาวรุ่งรัตน์ ศิริรัตนพานิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แม่น้ำเมคคานิกา จำกัด/สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) และนยมนตรี สันติลักขณาวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามารถ เอ็ด เท็ค จำกัด

ผู้สนใจลงทะเบียนฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่  https://forms.gle/Tq3G7EFZegrxWayc6 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน โทร 0 2553 8111 ต่อ 8399 อีเมล [email protected]

บีโอไอ จับมือ 5 สภาธุรกิจไทยใน CLMVI อัพเดทการลงทุนไทยในอาเซียน

กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย บีโอไอ เตรียมจัดสัมมนาออนไลน์ร่วมกับ 5 สภาธุรกิจไทยใน CLMVI เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ตรงในการเข้าไปลงทุนในกลุ่มเพื่อนบ้านอาเซียน

นายพัลลภ บุญศิริ ผู้อำนวยการกองพัฒนาผู้ประกอบการไทย บีโอไอ เปิดเผยว่า บีโอไอเตรียมจัดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ จับสัญญาณอนาคตการลงทุนใน CLMVI” หนึ่งในกิจกรรมสัมมนาภายในงาน SUBCON Thailand 2021 เพื่อให้ความรู้แก่นักลงทุนไทยเกี่ยวกับลู่ทางการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย

พบกับ วิทยากรซึ่งเป็นตัวแทนจากสภาธุรกิจไทยในประเทศ CLMVI อีกทั้งยังเป็นนักลงทุนไทยที่ไปประกอบธุรกิจและประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ประกอบด้วย นางสาวนฤมล รินเรืองสิน กรรมการสภาธุรกิจไทย – กัมพูชา นายฉลองชัย ชยุตระพงศ์ รองประธานสภาธุรกิจไทย – ลาว/รองนายกสมาคมนักธุรกิจไทยใน สปป. ลาว นายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย – เมียนมา นายราเกส ซิงห์ กรรมการเลขาธิการสภาธุรกิจไทยเวียดนาม และนายรัชชุ์นภ พจนาวราพันธุ์ ผู้แทนจากสภาธุรกิจไทย – อินโดนีเซีย

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมสัมมนาจะได้ทราบข้อมูลสถานการณ์การลงทุน และความรู้ในการไปประกอบธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนที่เป็นปัจจุบัน เพื่อเตรียมความพร้อมในการออกไปลงทุนอันจะนำไปสู่การขยายธุรกิจ และสร้างเครือข่ายนักลงทุนไทยในการไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ สัมมนาดังกล่าวจะจัดขึ้นวันอังคารที่ 21 กันยายน 2564 เวลา 13.30 – 16.00 น. ผ่านระบบ Zoom Webinar ผู้สนใจสามารถสมัครได้ที่ https://bit.ly/3tl5DLk สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 0 2553 8111 ต่อ 6797

;

บีโอไอ ลงทุนครึ่งปีแรกปี 64 คำขอมูลค่ากว่า 3.8 แสนล้าน

บีโอไอ เผยยอดคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มูลค่ากว่า 3.8 แสนล้านบาท เติบโตร้อยละ 158 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ผลจากการลงทุนขนาดใหญ่ในกิจการพลังงานไฟฟ้า โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าสูงสุดอยู่ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมการแพทย์ ขณะที่ FDI ครึ่งปีแรกมีมูลค่าสูงถึง 2.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 3.8 เท่า โดยการลงทุนจากญี่ปุ่นครองอันดับหนึ่งการขอรับการส่งเสริมฯ สูงสุด

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ภาวะการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ปี 2564 มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 801 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14 มูลค่าเงินลงทุน 386,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 158 ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการขนาดใหญ่ในกิจการพลังงานไฟฟ้าที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากถึง 198 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 120,814 ล้านบาท สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าเงินลงทุน 60,970 ล้านบาท รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมการแพทย์มีมูลค่าเงินลงทุน

43,040 ล้านบาท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์มีมูลค่าเงินลงทุน 28,160 ล้านบาท อุตสาหกรรมการเกษตรและแปรรูปอาหารมีมูลค่าเงินลงทุน 23,170 ล้านบาท และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพมีมูลค่าเงินลงทุน 20,720 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งหากพิจารณาด้านอัตราการเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ พบว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพเติบโตขึ้นสูงถึงร้อยละ 850 หรือ 9.5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่จากกลุ่มทุนสหรัฐฯ ในกิจการผลิต Polylactic Acid (PLA) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายประเภท ตลอดจนกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ที่เติบโตมากกว่า 3.3 เท่า จากความต้องการอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงมือยางทางการแพทย์ที่ไทยมีศักยภาพ

ทั้งนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 403 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 278,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 3.8 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2563 ทั้งปี (171,160 ล้านบาท) ร้อยละ 62 โดยประเทศที่ยื่นขอรับการส่งเสริมที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่นมีมูลค่าเงินลงทุน 42,773 ล้านบาท รองลงมาคือ สหรัฐฯ มีมูลค่าเงินลงทุน 24,131 ล้านบาท และจีนมีมูลค่าเงินลงทุน 18,615 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับพื้นที่เป้าหมาย EEC มีการขอรับส่งเสริมจำนวน 232 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 126,640 ล้านบาท โดยจังหวัดระยอง มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 64,350 ล้านบาท รองลงมาเป็นจังหวัดชลบุรี มูลค่าเงินลงทุน 40,860 ล้านบาท และจังหวัดฉะเชิงเทรา มูลค่าเงินลงทุน 21,430 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพื้นที่ 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ มีมูลค่าเงินลงทุน 5,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 132 และพื้นที่นิคมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริม มีมูลค่าเงินลงทุน 184,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 133

นอกจากนี้ การขอรับส่งเสริมตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุง ประสิทธิภาพ ในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวน 83 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 12,270 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงาน พลังงานทดแทน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รองลงมาคือ การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการลงทุนวิจัยและพัฒนาหรือออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ตามลำดับ ขณะที่มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs มีมูลค่าเงินลงทุน 1,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16

บีโอไอ จัดสัมมนาสร้างเครือข่ายปลั๊กแอนด์ชาร์จให้นักธุรกิจในภูมิภาค

กองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน พร้อมด้วยบีโอไอศูนย์ภูมิภาคทั้ง 7 แห่ง ร่วมกับบีโอไอโซล จัดสัมมนาสร้างเครือข่ายทางธุรกิจด้าน EV & Charging Station และ Smart Cities ระหว่างผู้ประกอบการไทยในภูมิภาค บริษัทพัฒนาเมืองกับนักลงทุนเกาหลีใต้ คาดจะช่วยให้นักธุรกิจไทยต่อยอดการลงทุน และสร้างเครือข่ายธุรกิจใหม่ๆ รองรับแผนต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP)  เพิ่มช่องทางเพื่อแข่งขันสู่ตลาดต่างประเทศ

นายขวัญชัย วรกัลยากุล ผู้อำนวยการ (ระดับสูง) กองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน บีโอไอ เปิดเผยว่า กองประสานฯ ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุน 1-7 ร่วมกับ สำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ขอเชิญผู้ประกอบการร่วมงานสัมมนาออนไลน์ เรื่อง THAI-KOREA BIZ NETWORKING: EV & Charging Station for Public Transportation in the Smart Cities” เพื่อสร้างเครือข่ายต่อยอดธุรกิจรองรับธุรกิจในยุคโควิดและหลังโควิด โดยผู้เข้าร่วมงานสัมมนาจะได้มีโอกาสเพิ่มพันธมิตรต่อยอดวิสัยทัศน์จากผู้แทนภาครัฐและภาคธุรกิจของทั้งไทยและเกาหลีใต้

วัตถุประสงค์สำคัญของกิจกรรมนี้เพื่อให้มีส่วนช่วยสร้างเครือข่าย ขับเคลื่อน ยกระดับศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับนักธุรกิจและบริษัทพัฒนาเมืองทั่วไทย อีกทั้งยังเป็นการช่วยวางแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่องให้ดำเนินต่อไปได้ โดยการเพิ่มช่องทางและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ระหว่างประเทศในปัจจุบันและรองรับอนาคตอันใกล้ ซึ่งในทุกปีกองประสานฯ ได้ร่วมกับ บีโอไอศูนย์ภูมิภาคในการพานักลงทุนไทยไปต่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายโอกาสธุรกิจนี้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อยอดการลงทุน สำรวจการนำมาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาประยุกต์ใช้ การออกแสดงนิทรรศการ การหาผู้ร่วมทุน แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงทำให้ไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ จึงได้ปรับรูปแบบเป็น Webinar แทน

สำหรับการสัมมนาแบบออนไลน์ครั้งนี้จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 10 สิงหาคม 2564 เวลา 13.00 – 16.25 น. โดยมีวิทยากรจากภาครัฐและเอกชน สมาคม มหาวิทยาลัยของไทย และเกาหลีใต้ อาทิ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ส่วนกลางและภูเก็ต (โครงการล่าสุดในภูเก็ต Sand BOX) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) Korea Agency for Infrastructure Technology Advancement สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย มหาวิทยาลัย ULSAN ของเกาหลีใต้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และผู้บริหารจากบริษัทเอกชนชั้นนำ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนทั้งมาตรการส่งเสริมการลงทุน เปิดโอกาสสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างไทย-เกาหลีใต้ ในกลุ่ม EV & Charging Station กลุ่มพัฒนาเมือง และ Smart Cities ตลอดจนอัพเดตโครงการที่น่าสนใจ ความร่วมมือ การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน มหาวิทยาลัยของไทยและเกาหลีใต้ รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศนวัตกรรมด้าน EV & Charging Station และ Smart Cities

ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ [email protected] หรือ[email protected]  โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

บีโอไอ หนุนผู้ประกอบการไทยรุกตลาดอาเซียน

บีโอไอ จัดกิจกรรมเชิงรุกเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยลุยลงทุนต่างแดน โดยเฉพาะตลาดเพื่อนบ้านในอาเซียน ระดมจัดสัมมนาต่อยอดความรู้จากประสบการณ์ตรงของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ หวังสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมทุนไทยให้เติบโต สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

นายพัลลภ บุญศิริ ผู้อำนวยการกองพัฒนาผู้ประกอบการไทย บีโอไอ เปิดเผยว่า ในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 กองพัฒนาผู้ประกอบการไทยได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรมด้านการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศให้สอดคล้องกับยุค New Normal ตามพันธกิจสำคัญที่นอกเหนือจากการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ บีโอไอยังได้สนับสนุนการลงทุนไทยต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเติบโต และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

ทั้งนี้ กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย ได้เตรียมการจัดสัมมนาออนไลน์ที่น่าสนใจในหลากหลายประเด็นตลอดช่วงเดือนสิงหาคม 2564 เพื่อช่วยเตรียมความพร้อม และเสริมศักยภาพนักธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศ โดยมีหัวข้อสัมมนาที่เปิดให้ผู้ประกอบการไทยได้เข้าร่วม ดังนี้

หัวข้อเรื่อง “ลงทุนในเวียดนามอย่างไร? ให้ประสบความสำเร็จ” โดยร่วมมือกับสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม หรือบีโอไอ เวียดนาม ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้ทราบถึงโอกาสการลงทุนในเวียดนาม จากมุมมองของนายอรรจน์สิทธิ สร้อยทอง ผู้อำนวยการบีโอไอ ณ กรุงฮานอย รวมถึงข้อมูลใหม่ๆ  เกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนของเวียดนาม ผ่านผู้แทนจาก Foreign Investment Agency (FIA), Vietnam พร้อมร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ลงทุนในเวียดนามกับ 4 นักธุรกิจ  จาก CP, SCG สยามนิตตั้น และอุไรเพ้นท์ จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 เวลา 09.30 – 12.00 น.

หัวข้อเรื่อง “อินโดนีเซียยังน่าลงทุนหรือไม่? ในสถานการณ์ COVID-19″ โดยร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย หรือบีโอไอ จาการ์ตา ซึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับฟังข้อมูลสถานการณ์การลงทุนและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนางสาวณภัทร ทัพพันธุ์ ผู้อำนวยการบีโอไอ จาการ์ตา จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 เวลา 14.00 – 15.30 น.

หัวข้อเรื่อง “ทิศทางธุรกิจ โอกาสการค้าและการลงทุน ของผู้ประกอบการไทยในเอเชียกลาง” โดยภายในงานจะมีการบรรยายภาพรวมตลาด โอกาสการลงทุน และอุตสาหกรรมเด่นในเอเชียกลางโดย นายเมธา จารัตนากร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีไอพี แวลู จำกัด โอกาสการค้า และการลงทุนในอุซเบกิสถาน โดย ดร.เหมโชค สิงห์สมบุญ รองประธานโครงการนาคราชนคร / ประธานสมาพันธ์ SME เชียงราย / ประธาน Logistics and Ecommerce สมาพันธ์ SME ภาคเหนือ และโอกาสการค้า และการลงทุนในคาซัคสถาน โดย นายพีระพล พิภวากร Director, LLP Kazthai Corp (Almaty) / Vice President, Business Development Foodville Co., Ltd. จัดขึ้น
ในวันอังคารที่ 10 สิงหาคม 2564 เวลา 13.30 – 16.00 น.

หัวข้อเรื่อง “การบริหารแรงงานในต่างประเทศ สำหรับผู้ประกอบการไทย” สำหรับงานสัมมนานี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 โดยมุ่งหวังให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการบริหารแรงงานในต่างประเทศ ทั้งการนำแรงงานจากไทยไปทำงานในต่างประเทศ และการว่าจ้างแรงงานท้องถิ่น รวมถึงกฎระเบียบข้อบังคับด้านแรงงานในแต่ละประเทศที่ผู้ลงทุนต้องรู้จัดขึ้นในวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564 เวลา 10.00 – 11.30 น.

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมออนไลน์ และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย อีเมล [email protected] โทรศัพท์ 0 2553 8111 กด 5 ต่อด้วยกด 4
และติดตามข้อมูลกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ www.boi.go.th

บีโอไอ ส่งเสริม Food Tech สู่ Future Food

Food Tech หรือเทคโนโลยีอาหารถือเป็นการผลิตอาหารให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดช่วยลดปริมาณขยะและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิต เทคโนโลยีอาหารยังมีส่วนผลักดันให้เกิด Future Foodหรืออาหารแห่งอนาคตที่มีความสลับซับซ้อนในกระบวนการผลิต ซึ่งต้องใช้องค์ความรู้หลายแขนง รวมถึงต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย

อาหารแห่งอนาคตอาจจะเริ่มต้นจากผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม แต่วันนี้อาหารแห่งอนาคตได้รับการยอมรับและเริ่มเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่รักสุขภาพ และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอาหารแห่งอนาคตจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการอาหารที่แตกต่างจากอดีต มีการใส่ใจสุขภาพ และเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น รวมถึงกระแสการรักษ์โลก เนื่องจากอาหารแห่งอนาคตจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่ทำร้ายสัตว์ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ตามแนวทางของสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ได้แบ่งอาหารแห่งอนาคตเป็น 4 ประเภท คือ

1) อาหารอินทรีย์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผลิตผลทางการเกษตรที่ปลอดภัยจากสารเคมี อยู่ในรูปแบบของผักปลอดสารพิษ เนื้อสุกรที่เลี้ยงด้วยวีถีธรรมชาติ หรือนมพาสเจอร์ไรซ์ออร์แกนิก เป็นต้น ปัจจุบันอาหารอินทรีย์ได้รับความสนใจ และสามารถหารับประทานได้ง่าย 2) อาหารเสริมสุขภาพหรืออาหารฟังก์ชั่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำหน้าที่ให้คุณค่าทางอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น อาหารปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย อาหารชะลอการเสื่อมโทรมของอวัยวะ เป็นต้น โดยจะเป็นอาหารที่เติมสารอาหารเข้าไป เช่น ซุปไก่สกัด ไข่ไก่ที่เพิ่มโอเมก้า 3 เป็นต้น 3) อาหารทางการแพทย์ อาหารที่ออกแบบเพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยเฉพาะโรคหรือผู้ที่ไม่สามารถทานอาหารปกติได้ เช่น เจลลี่สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก ซึ่งมีปัญหาด้านการเคี้ยวและการกลืนอาหาร เป็นต้น และ 4) อาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ทางนวัตกรรม เช่น โปรตีนทางเลือกจากพืช และแมลง เป็นต้น

อาหารแห่งอนาคตมีความโดดเด่นหลายอย่าง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ทำให้อุตสาหกรรมอาหารทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง รวมถึงกลุ่มสตาร์ทอัพ เข้ามาให้ความสนใจและทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอาหาร หนึ่งในเทคโนโลยีที่นิยม คือ การแปรรูปวัตถุดิบการเกษตรเพื่อสร้างโปรตีนทางเลือกซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1) โปรตีนจากพืช (Plant-based Protein) การนำพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา เห็ดพ็อตโตเบลโล่ เห็ดแครง ฯลฯ มาผ่านการวิจัยและพัฒนาให้มีรสชาติ เนื้อสัมผัส กลิ่นเหมือนโปรตีนมากที่สุดในระดับราคาเท่ากับเนื้อสัตว์ โดยนิยมทำในรูปแบบเนื้อเบอร์เกอร์ 2) โปรตีนจากแมลง (Insect Proteins) อย่างการนำจิ้งหรีดมาผ่านการวิจัยและพัฒนาผลิตเป็นอาหารและวัตถุดิบหลักสำหรับอาหารเสริม เช่น เส้นพาสต้าโปรตีนเชค โปรตีนบาร์ เครื่องดื่ม ลูกอม ฯลฯ สำหรับประเทศไทยตลาดโปรตีนจากพืชมีมูลค่าตลาด 28,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะเติบโตร้อยละ 10 ในปี 2567

การพัฒนาเทคโนโลยีอาหารจำเป็นต้องอาศัยองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมในการวิจัยและพัฒนาสูตรต่างๆ ในทุกกระบวนการจนไปสู่ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมซึ่งต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ลงทุนในด้านนี้ สามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุน จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอได้ ซึ่งบีโอไอมีประเภทให้การส่งเสริมการลงทุนครอบคลุมทั้ง 4 ประเภทของอาหารแห่งอนาคต โดยสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมฯ ภายใต้ประเภทกิจการวิจัยและพัฒนาในกรณีที่มีการพัฒนาสูตรต่างๆ โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี โดยไม่กำหนดวงเงิน ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนา ฯลฯ และจะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% อีก 5 ปี หากตั้งอยู่ในเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับการส่งเสริมหรือเห็นชอบจากคณะกรรมการ

ทั้งนี้ หากเป็นการผลิตอาหารแห่งอนาคตที่เกี่ยวข้องกับอาหารทางการแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอได้เช่นกัน ภายใต้ประเภทกิจการอาหารทางการแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยกิจการทั้ง 2 ประเภทต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือหน่วยงานอื่นที่เป็นมาตรฐานสากล สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้องมีกระบวนการสกัดเพื่อให้ได้ Active Ingredient โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี

นอกจากนี้ ในส่วนของการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคตเพื่อจำหน่ายสามารถขอรับการส่งเสริมฯ ในกิจการผลิตและถนอมอาหาร เครื่องดื่ม วัตถุเจือปนอาหาร หรือสิ่งปรุงแต่งอาหาร โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยได้ด้วย โดยรับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปีซึ่งสิทธิประโยชน์ของบีโอไอแม้จะไม่มีการสนับสนุนเงินทุน แต่ก็ช่วยสร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการในการลงทุนจากการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ

ปัจจุบันทั่วโลกหันมาให้ความสนใจและคิดค้นเทคโนโลยีอาหารในรูปแบบอาหารแห่งอนาคต เพื่อสนองความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพที่เพิ่มขึ้น สำหรับประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมากจากความหลากหลายทางชีวภาพที่สามารถพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการผลิตเพื่อความยั่งยืนของอาหาร ซึ่งการส่งเสริมฯ ของบีโอไอในกิจการดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารอนาคต หรือ ซิลิคอน วัลเลย์อาหารแห่งอนาคต (Silicon Valley of Future Food) ได้ในไม่ช้า

ฺBOI เสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจไทย – ญี่ปุ่น

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวเปิดการประชุมกิจกรรมเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจไทย – ญี่ปุ่น ครั้งที่ 10 ภายใต้ความตกลง JTEPA ผ่านการประชุมทางไกล โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการไทยและญี่ปุ่นเข้าร่วมประชุม เพื่อหารือแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้แก่นักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุน กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ซึ่งจะนำไปสู่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านการลงทุนระหว่างกันต่อไป

BOI อนุมัติส่งเสริมลงทุนขนาดใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้ามูลค่าเกือบ 5 หมื่นล้าน

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยที่ประชุมฯ ได้อนุมัติการปรับปรุงมาตรการและประเภทกิจการให้การส่งเสริมการลงทุน เพื่อเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยได้ปรับปรุงสิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Incentives) เพิ่มสิทธิประโยชน์กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล ยกระดับบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ ปรับเงื่อนไขกิจการ IBC/TISO พร้อมอนุมัติให้การส่งเสริมแก่กิจการลงทุนขนาดใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้ามูลค่าเกือบ 5 หมื่นล้านบาท

ไฟเขียวโครงการใหญ่แตะ 5 หมื่นล้าน หนุนกิจการผลิตไฟฟ้า 

บอร์ดบีโอไอ อนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่รวมเกือบ 50,000 ล้านบาท หนุนกิจการสาธารณูปโภคและบริการพื้นฐานในการผลิตไฟฟ้า การขนส่งก๊าซทางท่อ สร้างควมมั่นคงของระบบไฟฟ้าในประเทศ

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนกับกิจการขนาดใหญ่รวม 5 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุน 49,911 ล้านบาท ประกอบด้วยกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานและบริการพื้นฐานในกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานไฟฟ้าและไอน้ำจากพลังงานอื่นๆ และกิจการสร้างสรรค์ ดังนี้

1) บริษัท หินกองเพาเวอร์ จำกัด กิจการผลิตไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชัน มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 32,464 ล้านบาท โครงการผลิตไฟฟ้าขนาด 1,540 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่จังหวัดราชบุรี

2) บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 2 จำกัด กิจการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำระบบโคเจนเนอเรชัน มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 5,300 ล้านบาท มีกำลังการผลิตไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชัน 145 เมกะวัตต์ ไอน้ำระบบโคเจนเนอเรชัน 30 ตัน/ชั่วโมง ตั้งโครงการอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง

3) บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 3 จำกัด กิจการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำระบบโคเจนเนอเรชัน มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 5,200 ล้านบาท มีกำลังการผลิตไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชัน 145 เมกะวัตต์ ไอน้ำระบบโคเจนเนอเรชัน 30 ตัน/ชั่วโมง และขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ 13,914 ล้านลูกบาศก์ฟุต/ปี ตั้งโครงการ
ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง

4) บริษัท ท็อป เอสพีพี จำกัด กิจการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำระบบโคเจนเนอเรชัน มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 4,350 ล้านบาท โครงการผลิตไฟฟ้าขนาด 120 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 294 ตัน/ชั่วโมง ตั้งโครงการที่จังหวัดชลบุรี

5) บริษัท โตโยโบะ อินโดรามา แอดวานซ์ ไฟเบอร์ส จำกัด ผลิตเส้นด้ายที่มีคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งเป็นเส้นด้ายสังเคราะห์ความหนาแน่นสูง ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงลมนิรภัยรถยนต์ มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 2,596 ล้านบาท ตั้งโครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง

“กิจการที่บอร์ดบีโอไออนุมัติส่งเสริมในครั้งนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ด้านกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยเฉพาะการผลิตพลังงานไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะมีส่วนช่วยสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศในระยะยาวตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 แล้ว ยังเป็นการลงทุนด้านอุตสาหกรรมพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตภายหลังจากภาคเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวหลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย” เลขาธิการบีโอไอกล่าว