พรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 10,000 ล้าน

บลจ. พรินซิเพิล เดินหน้าเพิ่มทุนจดทะเบียนกองทุนเปิดพรินซิเพิล  เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) เป็น 10,000 ล้านบาท จากเดิม 5,000 ล้านบาท มีผลวันที่ 14  กันยายน 2564 ตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่แสดงความสนใจเป็นจำนวนมาก หลังโชว์ผลการดำเนินงานช่วง เดือนแรกของปีนี้ สูงสุดเป็นอันดับ ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามทั้งหมด (Source : Morning Star ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564) ให้ผลตอบแทน 43.33% และ ปีที่ 77.32% (Benchmark: 47.67% และ 84.31% Source : Bloomberg ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564) แนะเป็นจังหวะทยอยลงทุนแบบสะสมในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐาน เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่งจากการลงทุนโดยตรงของชาวต่างชาติก้าวสู่ฮับการผลิตของโลก  

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากเปิดตัวกองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) ในปี 2560 ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนเด่นที่ให้อัตราผลตอบแทนโดดเด่นและได้ความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยได้รับประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนโดยตรงของต่างชาติเพื่อขยายฐานการผลิตในประเทศเวียดนามที่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ ล่าสุด บลจ.พรินซิเพิล จึงขออนุมัติต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก...) เพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนกองทุนเปิดดังกล่าวเป็น 1 หมื่นล้านบาท จากเดิม 5 พันล้านบาท มีผลตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2564 เป็นต้นไป เพื่อขยายขนาดกองทุนฯ ให้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น สามารถลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่จะได้ประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านกองทุนเปิด เปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ 

สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา ให้อัตราผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ ของกลุ่มกองทุนที่ลงทุนเวียดนามในรอบ เดือนแรกของปี 2564 โดยนับจากวันที่ มกราคม – 31 สิงหาคม 2564 ให้อัตราผลตอบแทน 43.33% เทียบกับดัชนีชี้วัดที่ให้อัตราผลตอบแทน 47.67% ขณะที่ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ปี ให้อัตราผลตอบแทน 77.32% สูงสุดในกลุ่มกองทุนเวียดนามเช่นเดียวกัน และสูงกว่าดัชนีชี้วัดที่ให้ผลตอบแทน 84.31% (Source Bloomberg ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564

ทั้งนี้ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสดีที่จะทยอยลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามที่อยู่ในช่วงการปรับฐาน จากความกังวลตัวเลขอัตราผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ อย่างไรก็ตามประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามมีความแข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตสูง จากการลงทุนโดยตรงของต่างชาติ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) จำนวนมากจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต ส่งผลให้เวียดนามกำลังยกระดับจากประเทศเกษตรกรรมสู่ ฮับด้านการผลิตของโลก’ และการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมเมืองหรือ Urbanization จากรายได้ประชากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวและกลายเป็นประเทศที่น่าจับตามองที่สุดในภูมิภาคนี้ 

ขณะที่ การฉีดวัคซีนเป็นประเด็นเร่งด่วน ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสสุดท้าย โดยมีเป้าหมายฉีดวัคซีนแก่ประชาชนถึง 50% ภายในสิ้นปีนี้ และ 70% ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า พร้อมทั้งได้จัดหาวัคซีนรองรับจำนวน 100 ล้านโดส ซึ่งจะส่งผลดีต่อการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 

ทั้งนี้ กองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์  และตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9595 หรือ www.principal.th หรือ Principal TH Mobile App 

พรินซิเพิล แนะสะสมหุ้นเวียดนาม

บลจ. พรินซิเพิล ประเมินเศรษฐกิจเวียดนามแข็งแกร่ง รับเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ ยกระดับประเทศสู่ ฮับด้านการผลิตของโลก และก้าวสู่สังคมเมือง หนุนการเติบโตในระยะยาว มองสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ล่าสุด แม้ส่งผลต่อการปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังเติบโตสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย ชี้เป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้น หลังตลาดปรับฐานแล้วในช่วง เดือนที่ผ่านมา และจะกระทบต่อตลาดทุนในระยะสั้น ชูกองทุนเปิดพรินซิเพิล  เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปี 2564 (กรกฎาคม) ที่ 42.95% และ 1 ปีย้อนหลังที่ 96.84% สูงสุดเมื่อเทียบกับกองทุนหุ้นเวียดนามทั้งหมด (Benchmark : 51.18% และ 110.26% Source Bloomberg ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564) โดดเด่นเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในประเทศไทย

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและน่าสนใจต่อการเข้าลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากภายหลังเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา – จีน ส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) จำนวนมากจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต เนื่องจากค่าแรงที่ถูกกว่าประเทศไทยและจีน 2 – 2.5 เท่า และมีการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีเพื่อสิทธิประโยชน์จากภาษีมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายการบริหารประเทศที่ค่อนข้างนิ่ง มีประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้เวียดนามกำลังยกระดับจากประเทศ เกษตรกรรม ไปสู่ ฮับด้านการผลิตของโลก’ และการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมเมืองหรือ Urbanization จากรายได้ประชากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวและกลายเป็นประเทศที่น่าจับตามองที่สุดในภูมิภาคนี้

สำหรับเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติหรือ FDI ในเวียดนามในปี 2564 คาดว่าจะมีสัดส่วนประมาณ 6% ของ GDP และเคยพุ่งขึ้นสูงสุดคิดเป็นสัดส่วน 10% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าประเทศไทย จีนและค่าเฉลี่ยทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมาเม็ดเงินลงทุน FDI 3 อันดับแรกอยู่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต สาธารณูปโภคและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงมีการลงทุนในเซ็กเตอร์อื่นๆ เช่น ค้าปลีกส่ง, เทคโนโลยีและยานพาหนะ, โลจิสติกส์และการขนส่ง เป็นต้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามกำลังก้าวสู่ประเทศอุตสาหกรรมการผลิตและสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดส่งออกจากจีนได้มากพอสมควร โดยมีบริษัทต่างชาติชั้นนำที่ลงทุนในเวียดนาม อาทิ Nidec ผู้ผลิตมอเตอร์จากญี่ปุ่น, LG และ SAMSUNG บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์จากเกาหลีใต้, Goertek ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ในจีน ฯลฯ 

ทั้งนี้ มองว่าอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนในเวียดนาม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์และที่อยู่อาศัย โดยในเซ็กเตอร์นิคมอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีการขยายตัวจากพื้นที่ตอนใต้ สู่ตอนกลางและตอนเหนือของเวียดนาม เนื่องจากความต้องการจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง เช่น อุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยี, อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์, Vinfast แบรนด์รถยนต์ของเวียดนาม เป็นต้น ส่งผลให้ราคาที่ดินในเวียดนามภายหลังเกิดเทรดวอร์ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้รุกขยายธุรกิจจากการพัฒนาที่อยู่อาศัย สู่นิคมอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองดีมานด์ รวมถึงเกิดความต้องการด้านโลจิสติกส์และที่อยู่อาศัยโดยรอบนิคมฯ เพื่อรองรับการลงทุน จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ภาคการนำเข้าส่งออกของเวียดนามในช่วง ปีที่ผ่านมามีอัตราเติบโตสูงมาก โดยไตรมาส 2 ของปีนี้เติบโตถึง 40%

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. พรินซิเพิล กล่าวต่อว่า หากพิจารณาสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ของเวียดนามในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในระยะสั้น โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ตัวเลขผู้ติดเชื้อเฉลี่ย วันย้อนหลังเพิ่มขึ้นเป็น 7,878 คนต่อวัน และมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 150,000 คน ล่าสุดรัฐบาลเวียดนามจึงขยายระยะเวลาล็อกดาวน์นครโฮจิมินห์และอีก 18 พื้นที่ต่อไปถึงกลางเดือนสิงหาคม 2564 ส่วนเมืองดานังและฮานอยอาจถูกขยายระยะเวลาล็อกดาวน์เช่นกัน ขณะที่ผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่ แล้วมีสัดส่วน 5.49% และ 0.6% ของประชากรทั้งประเทศ (กว่า 90 ล้านคน) การฉีดวัคซีนจึงเป็นประเด็นเร่งด่วนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสสุดท้าย โดยมีเป้าหมายฉีดวัคซีนแก่ประชาชนถึง 50% ภายในสิ้นปีนี้ และ 70% ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า พร้อมทั้งได้จัดหาวัคซีนรองรับจำนวน 100 ล้านโดส 

ทั้งนี้ แม้ว่านักวิเคราะห์ทั่วโลกได้ปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในปีนี้เหลือ 6.55% (ข้อมูล ณ 30 กรกฎาคม 2564) จากเดิม 6.7% (ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564) และ 7.3% (ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564) อย่างไรก็ตาม บลจ. พรินซิเพิล มีมุมมองต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามยังมีความน่าสนใจอย่างมาก โดย IMF คาดการณ์อัตราเติบโตเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2022 – 2026 (ณ เมษายน 2564) ที่อัตราเฉลี่ย 6.84% ต่อปี ซึ่งจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในภูมิภาคเอเซีย ดังนั้นในช่วงไตรมาส นี้ เป็นจังหวะดีในการ ทยอยสะสม’ หุ้นเวียดนามโดยการซื้อเฉลี่ยแบบ DCA หลังจากในช่วง เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามได้ปรับฐานไปแล้ว โดยดัชนี VNINDEX ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดของเดือนที่ 1,243 จุด ณ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา จากจุดสูงสุดที่ 1,420 จุด ณ กรกฎาคมที่ผ่านมา และเชื่อว่าหากสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบนี้ได้ ตลาดหุ้นเวียดนามพร้อมปรับตัวขึ้นตอบรับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง 

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามผ่านกองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) ซึ่งเป็นกองทุนแฟลกชิพที่เข้าลงทุนโดยตรงในหุ้นเวียดนามและเน้นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต โดยมีผลการดำเนินงานในปี 2564 (YTD – กรกฎาคม 2564) ที่ 42.95% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง ปี ที่ 96.84% (Benchmark : 51.18% และ 110.26% Source Bloomberg ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564) โดดเด่นเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในประเทศไทย** โดยสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ตั้งแต่วันที่ สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ กองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์  และตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686  9595 หรือ www.principal.th หรือ Principal TH Mobile App 

แนะเตรียมพร้อมออมเงินภาคบังคับรับ ร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ผนึก บลจ.พรินซิเพิล จัดสัมมนาออนไลน์ The Retirement Plan Symposium ครั้งที่ 6 เจาะลึก กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. 2564 เร่งกระตุ้นการออมเงิน ด้านวิทยากรแนะลูกจ้างเตรียมพร้อมออมเงินภาคบังคับ หลังกระทรวงการคลังเดินหน้าส่งร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติเข้าสู่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เริ่มส่งเงินเข้ากองทุนฯ หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว 1 ปี พร้อมฉายภาพโมเดลกองทุนบำเหน็จบำนาญในจีน หลังรัฐบาลเร่งปรับโครงสร้างให้ประชาชนลดการพึ่งพาเงินสวัสดิการจากภาครัฐและกระตุ้นการออมเงินภาคบังคับและภาคสมัครใจ หนุนคนจีนมีเงินใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณแตะ 54% ของเงินเดือนในเดือนสุดท้าย  

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพรินซิเพิล จำกัด จัดสัมมนาออนไลน์ The Retirement Plan Symposium ครั้งที่ 6 ‘เจาะลึก กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. 2564’ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อสร้างความเข้าใจและส่งเสริมให้เห็นถึงความสำคัญของการออมเงินเพื่อไว้ใช้ในยามเกษียณ และเตรียมพร้อมก่อนบังคับใช้พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (ร่าง พ.ร.บ. กบช.) ซึ่งเป็นกฎหมายการออมเงินภาคบังคับรองรับการเกษียณอายุในอนาคตอันใกล้

สุปาณี จันทรมาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการออม     การลงทุนและพัฒนาตลาดทุน สำนักนโยบายการออม และการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

นางสาวสุปาณี จันทรมาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการออม การลงทุนและพัฒนาตลาดทุน สำนักนโยบายการออม และการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า ระบบบำเหน็จบำนาญของประเทศไทยประกอบด้วย 3 เสาหลัก ได้แก่ Pillar 0 ระบบสวัสดิการขั้นพื้นฐานจากรัฐบาล โดยรัฐบาลเป็นผู้ดูแลเงินช่วยเหลือแบบให้ฝ่ายเดียวแก่ผู้เกษียณอายุ เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เป็นต้น Pillar 1 ระบบการออมภาคบังคับขั้นพื้นฐานผ่านกองทุนประกันสังคมมาตรา 33 และมาตรา 39 Pillar 2 ระบบการออมภาคบังคับเพื่อความเพียงพอที่นายจ้างร่วมสมทบเงิน เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และ ร่าง พ.ร.บ. กบช. Pillar 3 ระบบการออมภาคสมัครใจเพิ่มเติม ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF), และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นต้น

ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (ร่าง พ.ร.บ. กบช.) ซึ่งเป็นกฎหมายที่เปรียบเสมือนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในภาคบังคับ สำหรับลูกจ้างและนายจ้าง (Pillar 2) โดยปัจจุบันร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว และอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จากนั้นจะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร หากผ่านการพิจารณาจึงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อมีผลบังคับใช้ต่อไป วัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการออมเงินเกษียณที่ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มาแล้วกว่า 30 ปี แต่ยังมีสมาชิกเพียง 3 ล้านคน

ทั้งนี้ หลังจาก พ.ร.บ. กบช. มีบังคับใช้แล้ว 1 ปี จึงเริ่มให้ลูกจ้างและนายจ้างส่งเงินเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 3 เฟส ได้แก่ 1) ช่วง 3 ปีแรก (นับตั้งแต่ กบช. เปิดรับสมาชิก) จะบังคับใช้กับกิจการเอกชนที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป กิจการที่ได้สัมปทานจากรัฐ กิจการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงานรัฐที่ไม่ได้อยู่ในบังคับของ กบข. กิจการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนและกิจการที่ต้องการเข้าในระบบกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ 2) ปีที่ 4 เป็นต้นไป (หลังจากประกาศใช้ พ.ร.บ. กบช.) จะบังคับใช้กับกิจการเอกชนที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป 3) และปีที่ 6 เป็นต้นไป (หลังจากประกาศใช้ พ.ร.บ. กบช.) จะบังคับใช้กับกิจการเอกชนที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป โดยผู้ที่เป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาตินั้น ต้องเป็นลูกจ้างอายุ 15 – 60 ปี

ขณะที่อัตราการส่งเงินสะสม (ลูกจ้าง) และเงินสมทบ (นายจ้าง) เข้า กบช. กำหนดจากเพดานค่าจ้างไม่เกิน 60,000 บาท แบ่งเป็น ปีที่ 1 – 3 (นับตั้งแต่วันที่ กบช.เปิดรับสมาชิก) ส่งเงินฝ่ายละไม่ต่ำกว่า 3% ของค่าจ้าง ปีที่ 4 – 6 ส่งเงินฝ่ายละไม่ต่ำกว่า 5% ปีที่ 7 – 9 ส่งเงินฝ่ายละไม่ต่ำกว่า 7% ปีที่ 10 เป็นต้นไป ส่งเงินฝ่ายละไม่ต่ำกว่า 10% (ตามกฎกระทรวง) โดยลูกจ้างที่มีอายุครบ 60 ปี สามารถเลือกรับเป็นเงินบำเหน็จ (เงินก้อน) หรือเลือกรับเงินบำนาญ (อย่างใดอย่างหนึ่ง) เป็นระยะเวลา 20 ปี โดยเมื่อเลือกรับบำนาญแล้วสามารถเปลี่ยนไปรับบำเหน็จในภายหลังได้ และหากสมาชิกเสียชีวิตก่อนเกษียณอายุหรือในช่วง 20 ปี
ที่ยังได้รับเงินบำนาญ เงินในกองทุนดังกล่าวจะถูกส่งต่อให้กับผู้ได้รับผลประโยชน์ตามที่ระบุในเอกสารสมาชิกกองทุนฯ

ทั้งนี้ ลูกจ้างและนายจ้างสามารถส่งเงินเพิ่มได้สูงสุดฝ่ายละไม่เกิน 30% ของค่าจ้าง (ไม่กำหนดเพดานค่าจ้าง) อย่างไรก็ตามสำหรับกิจการที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้วและส่งเงินในอัตราไม่ต่ำกว่าที่ กบช. กำหนด จะไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติก็ได้ ส่วนผู้ที่ได้รับค่าจ่างต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน กำหนดให้นายจ้างจะส่งเงินสมทบฝ่ายเดียว  และกรณีที่ย้ายงานไปยังนายจ้างรายใหม่ที่มีเฉพาะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถโอนย้ายเงินจาก กบช. ไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้

สำหรับการบริหารจัดการ กบช. จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดนโยบายการลงทุน ส่วนการบริหารจัดการเงินในกองทุนจะคัดเลือกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนมืออาชีพที่ได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.ล.ต.อย่างน้อย 3 ราย โดยจะสรรหาผู้มาทำหน้าที่ผู้จัดการกองทุน ด้วยวิธี E-Bidding หรือประมูลจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีรอบระยะเวลาการบริหารต่อรายประมาณ 3 ปี และลูกจ้างที่เป็นสมาชิก กบช. สามารถเลือกแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง โดยมีแนวโน้มจะมีแผนการลงทุนแบบ D.I.Y. ให้สมาชิกสามารถผสมผสานสินทรัพย์ในการลงทุนได้เอง โดยกำหนดให้แผน Life Path เป็น default policy หากสมาชิกไม่เลือกแผนการลงทุนเอง และหากสมาชิกมีอายุเกิน 60 ปี จะฝากเงินไว้ใน กบช.เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนบริหารจัดการต่อเนื่องก็ได้ นอกจากนี้ลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างชาติที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายประกันสังคม ก็สามารถเข้าเป็นสมาชิก กบช. ได้เช่นกัน ยกเว้นผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน จะไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกได้

ณัฐญา นิยมานุสร ผู้ช่วยเลขาธิการสายธุรกิจจัดการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

นางณัฐญา นิยมานุสร ผู้ช่วยเลขาธิการสายธุรกิจจัดการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังมีการออมเงินเพื่อเกษียณที่ไม่เพียงพอ แม้ว่าได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว (มีประชากรอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่า 20%) โดยส่วนใหญ่ขาดการเตรียมความพร้อมและขาดความรู้ด้านการเงิน ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานในภาคเอกชนประมาณ 15 ล้านคน ในจำนวนนี้มีเพียง 18.8% หรือ 2.9 ล้านคน ที่มีการออมเงินผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund หรือ PVD) นอกจากนี้ ในจำนวนผู้เกษียณอายุในแต่ละปี มีเพียง 20.8% ที่สะสมเงินได้ถึง 3 ล้านบาท ซึ่งจะเพียงพอสำหรับใช้จ่ายได้เดือนละ 12,500 บาท เป็นระยะเวลา 20 ปี และ 90% ของผู้เกษียณเลือกที่จะนำเงินออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แทนที่จะลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ ดังนั้น จึงอยากให้ทุกคนเริ่มออมเงินให้เร็วที่สุด
และมากที่สุดเท่าที่จะจัดสรรได้ รวมถึงลงทุนให้เป็นเพื่อให้มีเงินออมที่เพียงพอไว้ใช้ในช่วงเกษียณอายุ

ทั้งนี้ สำหรับกิจการที่มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว สามารถปรับเงื่อนไขในข้อบังคับกองทุนให้สอดคล้องกับ กบช. ได้ เช่น อัตราเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้ลูกจ้างมีทางเลือกในการเก็บเงิน โดยไม่จำเป็นต้องเข้าเป็นสมาชิก กบช. หรืออาจเลือกเป็นสมาชิกทั้งสองแห่งก็ได้ ซึ่งปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. อยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้สอดรับกับ กบช. และจะเปิดรับฟังความคิดเห็น (public hearing) ร่างแก้ไข พ.ร.บ. ต่อไป

Mr. Thomas Cheong – Executive Vice President of Principal Financial Group and President of Principal Asia

ด้าน Mr. Thomas Cheong – Executive Vice President of Principal Financial Group and President of Principal Asia กล่าวในงานสัมมนาออนไลน์ The Retirement Plan Symposium ครั้งที่ 6 ‘เจาะลึก กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. 2564’ ในหัวข้อ ‘Pension Fund in China’ (กองทุนบำเหน็จบำนาญในประเทศจีน) ว่า ปัจจุบันระบบการออมเงินเพื่อวัยเกษียณตามที่เวิลด์แบงก์กำหนด ถูกเรียกว่า Multi Pillar Pension System หรือระบบที่เปรียบเสมือนเป็นเสาหลักสำหรับการออมเพื่อวัยเกษียณ

สำหรับสถานการณ์การออมเงินเพื่อวัยเกษียณในประเทศจีนปัจจุบัน ยังคงพึ่งพา Pillar 0 หรือระบบสวัสดิการขั้นพื้นฐานจากภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีผลต่อการใช้จ่ายงบประมาณดูแลด้านสวัสดิการผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) จีนจะมีสัดส่วนประชากรสูงอายุ 30 – 40% ของทั้งหมด จึงต้องปรับโครงสร้างการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ จากเดิมที่พึ่งพาสวัสดิการจากภาครัฐเป็นส่วนใหญ่เป็นการออมเงินเพื่อเกษียณภาคบังคับและภาคสมัครใจ โดยมีบัญชีเก็บออมเงินโดยเฉพาะและพัฒนาระบบการเชื่อมต่อข้อมูลเงินออมเงินภาคบังคับร่วมกับนายจ้างที่มีประสิทธิภาพแม้มีการย้ายงาน นอกจากนี้ความท้าทายในการกระตุ้นการออมเงินภาคบังคับและภาคสมัครใจของจีนอีกส่วนหนึ่งคือ การนำเงินออมไปลงทุนให้งอกเงยที่ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก โดยส่วนใหญ่ให้ลงทุนในหุ้น A-shares จึงมีการพูดถึงการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลาย การลงทุนในสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับช่วงอายุ

สำหรับการออมเงินที่ดีควรจะมีเงินไว้ใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณที่ 70% ของเงินเดือนสุดท้ายของการทำงาน โดยสถานการณ์ทั่วโลก ณ สิ้นปีที่ผ่านมา บราซิลเป็นประเทศที่ประชาชนสามารถออมเงินเพื่อวัยเกษียณได้ดีที่สุดอยู่ที่ 56% ของเงินเดือนสุดท้ายของการทำงาน จีนอยู่ที่ 54% ของเงินเดือนในเดือนสุดท้ายของการทำงาน ไทย 47% ของเงินเดือนในเดือนสุดท้ายของการทำงาน โดยบราซิลได้ใช้มาตรการกระตุ้นให้ประชาชนใส่ใจการออมภาคบังคับ (Pillar 2) และการออมภาคสมัครใจ (Pillar 3) ขณะที่ชิลีประสบความสำเร็จในการกระตุ้นประชาชนออมเงินเพื่อวัยเกษียณ โดยใช้การออกตราสารหนี้ผลตอบแทนสูง 4% ให้กับประชาชนที่อยู่ในระบบการออมภาคบังคับ (Pillar 1) เพื่อจูงใจให้เข้าสู่การออมเงินภาคบังคับร่วมกับนายจ้าง