บลจ.บีแคป แนะหุ้นจีนเน้นไบโอเทค หุ้นเทคโนโลยีพลังงานสะอาด

บลจ.บีแคป ชี้รัฐบาลจีนรุกคืบออกมาตรการคุมเข้มธุรกิจ Consumer Technology มากขึ้น หวังสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพและลดเหลื่อมล้ำระบบเศรษฐกิจ คาดกระทบราคาหุ้นกลุ่มนี้ ปรับฐานลงในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า แนะโยกลงทุนจากกลุ่ม Consumer Technology พวก e-commerce fintech media และ e-platform มาเน้น Non-consumer Technology เช่น Biotech Clean Energy ของจีน เหตุยังเติบโตดีแต่ไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับนโยบายของจีนดังกล่าว

ดร. ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการหัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP เปิดเผยถึงกรณีที่ ประเทศจีน ได้ออกมาตรการควบคุมกิจการของบริษัท Consumer Technology มาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปลายปี 2563 ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นเทคฯจีนโดยรวม จากความกังวลเรื่องนโยบายของภาครัฐว่า จะเพ่งเล็งธุรกิจใดต่อไป

โดยผู้จัดการกองทุน ประเมินว่ารัฐบาลกลางมี 2 เป้าหมายสำคัญในการออกมาตรการควบคุมกลุ่ม Consumer Technology เรื่องแรกคือการสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพและลดความเหลื่อมล้ำของระบบเศรษฐกิจของประเทศจีน และเรื่องที่สองคือความมั่นคงทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยมาตรการต่าง ๆ ที่ทยอยออกมาต่างมุ่งเน้นไปสู่ 4 เสาหลักแห่งความมั่นคง (four pillars of stability) กล่าวคือ 1) เสถียรภาพทางด้านการเงิน 2) การแข่งขันอย่างเสมอภาคและป้องกันการกีดกันทางการค้า 3) การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและการนำข้อมูลไปใช้อย่างเป็นธรรม และ 4) การสร้างความเท่าเทียมกันทางสังคม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา การพัฒนาของเทคโนโลยี ทำให้เกิดผู้ประกอบการรายใหญ่ขึ้น จนนำมาสู่การผูกขาดทางการค้า การนำข้อมูลของผู้บริโภคมาใช้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการและเอาเปรียบผู้บริโภค การให้ผลตอบแทนที่ไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้าง ซึ่งหากปล่อยปัญหาทิ้งไว้นานอาจทำให้เกิดปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะต่อไป ตัวอย่างเช่น บริษัท Alibaba ใช้ฐานข้อมูลที่มี และพยายามเสนอเงินกู้เกินความจำเป็นแก่ผู้บริโภค โดยไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลด้านเสถียรภาพจากภาครัฐ หรือบริษัท Meituan ที่ใช้อำนาจผูกขาดในธุรกิจจนเกิดการจ้างพนักงานในอัตราที่ไม่เป็นธรรม

กลุ่ม China Consumer Tech กำลังเข้าสู่ new growth regime ที่อาจจะถูกปรับฐานเพื่อสะท้อนการเติบโตที่ลดลง เชื่อว่าทางการจีนจะยังคงมีนโยบายในเชิงควบคุมกลุ่ม Consumer Tech ออกมาอีกเป็นระยะ ๆ แต่การพัฒนานวัตกรรมยังมีความจำอย่างยิ่งสำหรับประเทศจีน เพื่อนำไปสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลกภายใต้แผนแม่บทในการพัฒนาประเทศ

ดังนั้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เราเรียกว่า China Non-consumer Tech อาทิเช่น เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม Clean Energy กลุ่ม Biotech ที่เป็นฐานการผลิตของโลก และกลุ่มเทคโนโลยีเพื่อการอุตสาหกรรม จะยิ่งมีความน่าสนใจมากขึ้น จากการที่ราคาปรับลงมาจากปัจจัยแวดล้อมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง และจากนโยบายสนับสนุนต่อเนื่องจากภาครัฐจึงเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดังกล่าว

“เราประเมินว่าหุ้นกลุ่ม China Consumer Tech ยังมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีในระยะยาว แต่จะมีการปรับฐานเพื่อสะท้อน new growth regime ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า ตามมาตรการควบคุมต่างๆสำหรับ 4 เสาหลักแห่งความมั่นคงของจีนทยอยกันมีความชัดเจนขึ้น ดังนั้นเราแนะนำโยก จากกลุ่ม China Consumer Tech ไปสู่กลุ่ม Non-consumer Tech ซึ่งราคาย่อตัวลงบางส่วนจาก sentiment ลบของหุ้นกลุ่ม china consumer tech” ดร.ธนาวุฒิกล่าว

กอง BCAP-XHEALTH และ BCAP-CLEAN เป็นตัวเลือกสองกองทุนของ BCAP ที่มีสัดส่วนการลงทุนใน China Non-consumer Technology ที่ว่านี้อย่างมีนัยยะ และมีการกระจายกลุ่มอุตสาหกรรมและภูมิภาคทั่วโลกที่สมดุลซึ่งจะช่วยบริหารความเสี่ยงของความผันผวนของราคาได้ดีขึ้นในช่วงนี้และที่สำคัญหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสุขภาพและพลังงานสะอาดไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายป้องกันการผูกขาดทั้งฝั่งสหรัฐฯและจีน

หุ้นเทคฯ จีนแนวโน้มยังเติบโตสูง แนะ “ถือ” รอความชัดเจน

บลจ.บีแคป เผยหุ้นเทคโนโลยีในจีนปรับตัวลงแรง จากผลกระทบทางการจีนคุมเข้ม เข้าตรวจสอบการทำธุรกรรมของบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการผูกขาด ประเมินกระทบแค่ช่วงสั้น เชื่อระยะยาวเติบโตได้ดี ส่วนนักลงทุน

บีแคป ไชน่า เทคโนโลยี หรือ BCAP-CTECH แนะนำให้ “ ถือ” รอความชัดเจนว่ารัฐบาลจีนจะมีมาตรการอะไรออกมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่เพื่อประเมินผลกระทบ

ดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร  รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP เปิดเผยถึงกรณีที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีของประเทศจีน ปรับตัวลงแรงซึ่งมีสาเหตุมาจาก สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) สั่งถอด Application Didi ภายหลังข้อหาการเก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้

นอกจากนี้ ยังเข้าสอบสวนเพิ่มเติมกับหุ้นจีนที่ขายหุ้น IPO ในตลาดสหรัฐอเมริกา อีก 2 แห่งคือ Kanzhun ซึ่งทำธุรกิจคล้าย Linkedin) และ Full Truck Alliance ทำธุรกิจคล้าย Uber แต่จำกัดแค่รถบรรทุก รวมทั้งทางการจีนสั่งขัดขวางไม่ให้ Tencent ควบรวมบริษัทลูก Huya กับ DouYu ซึ่งเป็นบริษัทวีดิโอ เกมส์ สตรีมมิ่ง ใหญ่ที่สุดของจีน โดยประเด็นนี้มองว่าเป็นประเด็นเดิมที่รัฐบาลจีนต้องการป้องกันการผูกขาด

ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ ทางการจีนได้จัดการ Tech Giants ที่มีลักษณะการทำธุรกิจแบบผูกขาดไม่ว่าจะเป็น Alibaba Tencent หรือ Meituan อย่างไรก็ตาม ข้อหาที่ใช้ในการจัดการเริ่มกว้างขึ้น โดยจะเห็นว่าทางการจีนเริ่มขอเข้าตรวจสอบบริษัทที่มีการเก็บและใช้ข้อมูลของ user จำนวนมาก ทั้งนี้ยังไม่มีรายละเอียดออกมาว่าทางการจีนเข้าไปตรวจสอบบริษัทเหล่านี้เพื่อจุดประสงค์อะไร บริษัทละเมิดการใช้ข้อมูลในเรื่องใด หรือแนวทางในการจัดการบริษัทเหล่านี้เป็นอย่างไร นอกจากนี้ ทางผู้จัดการกองทุน ยังไม่ทราบอีกว่าทางการจีนจะเพิ่มประเด็นอื่น ๆ ในการจัดการบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีอีกหรือไม่ และจะกระทบผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้ขนาดไหน

ดร.ธนาวุฒิ กล่าวต่อว่า นักลงทุนควรรอความชัดเจนให้มากกว่านี้ก่อน เพื่อประเมินผลกระทบต่อบริษัท โดยคาดว่า ในระยะสั้น หุ้นบางตัวอาจได้รับผลกระทบด้านกำไรจากการโดนค่าปรับหรือแนวทางจัดการของทางการจีนอื่น ๆ แต่ในระยะยาวนั้น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนยังมีการเติบโตในระดับสูง

ทั้งนี้ในส่วนของนักลงทุนที่ลงทุนใน กองทุนเปิดบีแคป ไชน่า เทคโนโลยี (BCAP-CTECH) หากถือหน่วยลงทุนอยู่แล้ว แนะนำถือเพื่อรอดูสถานการณ์ แต่ยังไม่แนะนำให้ขายออกหรือซื้อเพิ่ม แต่หากนักลงทุนที่ยังไม่มี BCAP-CTECH ไม่แนะนำให้เข้าซื้อ

สำหรับกองทุนเปิด BCAP-CTECH มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ โดยกองทุนปลายทางมีการกระจายการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศของบริษัทที่ดำเนินการและ/หรือมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน โดยเน้นทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บัวหลวงทรัพย์มั่งคั่ง คว้ารางวัลชนะเลิศปี 63

บลจ.บีแคป ปลื้ม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ “บัวหลวงทรัพย์มั่งคั่ง “คว้ารางวัลชนะเลิศ ประจำปี 63 ประเภทกองทุนร่วม ที่มีขนาดกองทุนต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทได้รับโล่­รางวัลพระราชทานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทส่ง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เข้าร่วมประกวดในโครงการกวดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดีเด่น ครั้งที่ 9 ประจำปี 2563 ของสมาคมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นที่น่ายินดีว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ “บัวหลวงทรัพย์มั่งคั่ง” ได้รับรางวัลการประกวดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดีเด่น  รางวัลชนะเลิศ ประเภทกองทุนร่วม กองทุนร่วม Pooled Fund กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีขนาดกองทุนต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท โดยได้รับพระราชทานโล่รางวัล สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมาร

“รางวัลชนะเลิศจากการประกวดกองทุนสํารองเลี้ยงชีพดีเด่นในครั้งนี้ถือเป็นความภูมิใจ และตอบแทนการทำงานหนักของคณะผู้บริหาร ทีมผู้จัดการกองทุน และทุกคนในบริษัท ที่พยายามจะยกระดับมาตรฐานของบริษัทให้ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ไว้วางใจให้ทางบริษัทดูแลบริหารเงินสำรองเลี้ยงชีพ ทั้งนี้ เราจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนามาตรฐานในทุกด้านของเราอย่างต่อเนื่องเพื่อมอบบริการที่ดีที่สุด ตอบแทนความไว้วางใจของสมาชิกกองทุน” นางเมธ์วดี กล่าว

 

บลจ.บีแคป คว้า 3 รางวัล Alpha Southeast Asia Award 2021

บลจ.บีแคป คว้ารางวัลเพิ่มอีก 3 รางวัลจาก Alpha Southeast Asia Award 2021 เป็นรางวัลระดับเอเชียรางวัลที่ 5 ในรอบ 2 ปี ตอกย้ำคุณภาพการบริหารสินทรัพย์เทียบมาตรฐานระดับเอเชีย

นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP กล่าวว่า บริษัทได้รับข่าวดีล่าสุดจาก Alpha Southeast Asia Award 2021 ตัดสินมอบ 3 รางวัลให้กับทางบริษัท ได้แก่

  1. Best Overall Asset & Fund Manager
  2. Best Asset Manager (Balanced Funds)
  3. Best Fund with the optimal Sharpe ratio

ทำให้ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ทาง บลจ. บีแคป รวมรับรางวัลทั้งระดับประเทศและระดับชาติไปเป็นรางวัลที่ 8 แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาทาง บลจ.บีแคป ได้รับรางวัลจากระบบการบริหารการลงทุน รางวัลจาก CIO ยอดเยี่ยม (ดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร ) รางวัลกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รางวัลนวัตกรรมการบริหารการลงทุนของกอง BCAP-Global Wealth จนถึง 3 รางวัลล่าสุดนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานของบริษัทและนโยบายการบริหารสินทรัพย์เป็นอย่างดี

“บลจ.บีแคป จะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อยกระดับให้ดียิ่งขึ้นไปอีกเพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนักลงทุน” นางเมธ์วดี กล่าว

BCAP เตรียมคลอดกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจนวัตกรรม

บลจ.บีแคป เตรียมคลอดกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รับกระแสเมกะเทรนด์ใหญ่ของโลก ประเมิน 20-30 ปีข้างหน้าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชี้เป็นธุรกิจขาขึ้นที่มีความต้องการสูง

นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP กล่าวว่า บริษัทเตรียมที่จะออกกองทุนใหม่ ซึ่งเน้นการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมช่วยลดการปล่อยก๊าสเรือนกระจก หรือคลีน อินโนเวชั่น ซึ่งถือว่าเป็นเมกะเทรนด์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยประเมินว่าตั้งแต่วันนี้จนถึง 20-30 ปีข้างหน้าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล ตอบรับนโยบายกว่า 196 ประเทศทั่วโลก ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2050

การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นการตอบโจกท์การลงทุนแห่งศตวรรษเพราะถือว่าเป็นนวัตกรรมเพื่อความอยู่รอดของโลก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO2)และอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นคือวิกฤตที่เรากำลังเผชิญอยู่ เพราะก๊าซ CO2 เป็นสาเหตุหลักของปัญหาภาวะโลกร้อน และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในอดีต ระดับของ CO2 และอุณหภูมิโลกมีการปรับเข้าสมดุลมาตลอด แต่หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมก็ทำให้เสียสมดุลไปและปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงขณะที่ จีน เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซ CO2มากที่สุดในโลกและยังรับมือกับปัญหาได้น้อย WWF หรือองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล คาดการณ์ว่าถ้าไม่เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้น 1.5 °C ภายในปี 2040เพิ่มขึ้น 2 °C ภายในปี 2065 และเพิ่มขึ้น 4°Cภายในปี 2100 ซึ่งธนาคารโลกมองว่าถ้าไม่ได้รับการแก้ไขปล่อยให้อุณหภูมิโลกขึ้นไปถึง 4°C จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เช่นจะเกิดการขาดแคลนอาหารเพราะพื้นที่บางภูมิภาคของโลกไม่สามารถทำการเกษตรได้พืชและสัตว์จะหายไปจากโลก 50% ธุรกิจประมงเกิดการสูญพันธุ์น้ำแข็งจากขั้วโลกละลายหนุนน้ำทะเลขึ้นสูง 3-7 เมตร

นางเมธ์วดี อธิบายต่อว่า จากสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ทั่วโลกมีการตื่นตัวลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจากส่งผลให้ทั่วโลกจำเป็นต้องกำหนด การลดโลกร้อนเป็นวาระแห่งชาติ โดยความตกลงปารีสทำให้แผนลดการปล่อยก๊าซCO2เป็นรูปธรรมมากขึ้น เห็นได้จากมหาอำนาจของโลก
ต่างต้องการเป็นผู้นำเทคโนโลยีลดโลกร้อนโดยสหรัฐอเมริกา ในยุคของโจไบเดน
เป็นประธานาธิบดีกลับมาให้ความสำคัญกับปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกพร้อมกับทุ่มงบลงทุนกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ในพลังงานสะอาดรวมถึงเก็บภาษีสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขณะที่ สี จิ้นผิงประกาศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14(ปี 2021-2025) ซึ่งมุ่งเน้นแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีน
โดยต้องการเป็นผู้นำการผลิตเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด และลงทุน 1.7
ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับการส่งพลังงานสูงและสถานีชาร์ตรถไฟฟ้าดังนั้นจะเห็นได้ว่าแรงผลักดันทั้งโลกมุ่งสู่ Net Zero CO2 emissionถือเป็นโอกาสการลงทุนแห่งศตวรรษ โดยทางบีแคปมองว่าปัจจุบันกองทุนส่วนใหญ่จะลงทุนแค่ในธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานทางเลือกไม่ได้ครอบคลุมไปในธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ที่มีโอกาสในการเติบโตที่สูงมาก